ชายรูปงามอันดับหนึ่งหรือ… หลี่เฟิงเผลอนึกถึงชายที่อยู่ในวังหลวงขึ้นมา จริงสิ องค์ชายก็จะเสด็จกลับมาที่สำนักไท่ไป๋ในปีนี้เหมือนกันนี่ ไม่รู้ว่าพอถอดหน้ากากออกแล้ว หน้าตาเขาจะเป็นเช่นไร  

จะเสียโฉมเพราะบาดแผลจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ใหญ่ในตอนนั้น หรือจะยังหล่อเหลาปานเทพบุตรเหมือนเคยกัน  

แต่เกรงว่านอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็คงมีเพียงท่านปรมาจารย์กับท่านเจ้าสำนักตู๋ซูเท่านั้นที่รู้ เพราะมีเพียง พวกเขาสองคนเท่านั้นที่เคยเห็นรูปร่างหน้าตา ขององค์ชายหลังจากปีนั้น 

จริงสิ อาจจะมีท่านมหาปุโรหิตด้วยอีกคน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ท่านมหาปุโรหิตจะยังอยู่ในช่วงกักตน คงไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้ 

มิฉะนั้น ด้วยรูปร่างหน้าตาและบุคลิกของคนทั้งสอง การปรากฏตัวของพวกเขาจะต้องสร้าง ความวุ่นวายครั้งใหญ่ ในสำนักไท่ไป๋แห่งนี้แน่นอน 

“ศิษย์ข้า เจ้าจงวางใจ เจ้าเป็นถึงศิษย์คนแรกของปรมาจารย์อย่างข้า ใครหน้าไหน จะกล้าพูด ว่าเกลียดลูกศิษย์ข้า!” ชายชราพูดด้วยความมั่นใจ สีหน้าของเขาเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น 

หลี่เฟิงกระแอมเล็กน้อย “องค์ชายไงขอรับ ไม่ใช่แค่กล้าพูด แต่ยังกล้ายกขาข้างหนึ่งขึ้นเตะท่านออกมาด้วย ท่านปรมาจารย์ลืมเรื่องนั้นไปแล้วหรือ” 

“เจ้า!” ปรมาจารย์หันขวับ สงสัยนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หลี่เฟิงคนนี้ ทำไมวันนี้ ถึงได้ขัด เขาอยู่เรื่อย! 

“องค์ชายผู้นั้นน่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม 

ปรมาจารย์กระเถิบตัวเข้าไปหานาง แล้วตอบเสียงเบาว่า “องค์ชายสามองค์ปัจจุบัน ปีนี้เขาก็จะ เข้าเรียนที่สำนักไท่ไป๋เหมือนกัน เจ้าหนูนั่นทั้งร้ายกาจ ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียไม่มี ศิษย์ข้า หลังจากนี้หากเจ้าบังเอิญพบชายสวมหน้ากากเข้า เจ้าต้องอยู่ห่างๆ เข้าไว้ ล่ะ!” 

“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยรับคำอย่างไม่ใส่ใจ 

ปรมาจารย์หารู้ไม่ว่าลูกศิษย์สุดที่รักของตนทำให้ คนผู้นั้นขุ่นเคืองใจไปเสียแล้ว อีกทั้งสิ่งที่นางทำลงไปยังร้ายแรงมากเสียด้วย… 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ถามต่อ อย่างไรเสียตั้งแต่ตอนที่นางก้าวเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ และจนกระทั่งถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่เห็นชายสวมหน้ากาก คนที่ว่าเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางจำเป็นต้องบอกกับอีกฝ่าย “ท่านอาจารย์ ท่านอย่าเพิ่งเอาเรื่องที่รับข้าเป็นศิษย์ไปเล่าให้ใครฟังได้หรือเปล่า” 

“ทำไมล่ะ” ดวงตาของปรมาจารย์เบิกกว้าง กว่าเขาจะยอมรับใครเป็นศิษย์นั้นไม่ ใช่เรื่องง่าย เขากำลังคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปอวด ตู๋เทียนและคนอื่นๆ อยู่เลย 

มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “คงดีกว่าหากศัตรูอยู่ในที่แจ้ง แต่ข้าซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ยิ่งกว่านั้น… ท่านอาจารย์เพียงแค่สอนวิชาให้ข้าก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นข้าสามารถหาทางจัดการเองได้” 

จริงอยู่ที่นางต้องการคนคอยหนุนหลัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางอยากให้ใครมาปกป้องไปเสียทุกเรื่องเหมือนบรรดาคุณหนู จากตระกูลอันร่ำรวยพวกนั้น 

แทนที่จะพึ่งพาคนอื่น นางชอบต่อสู้บนสังเวียนด้วย ตัวเองมากกว่า 

“ศิษย์ข้า เฮ้อ” ปรมาจารย์มองลูกศิษย์ของตน แล้วตอบเสียงเบาว่า “ ที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องคิดมากถึงเพียงนี้ก็ได้” ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะยอมรับใครสักคนเป็นศิษย์เช่นนี้ แล้วเขาก็อยากจะพานางเดินอวดให้ทั่วอย่างไร เล่า! 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนกรานใน ความคิดนี้ “ท่านต้องรับปากกับข้า แล้วก็ที่สำคัญ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ท่านต้องทำเป็นว่าไม่รู้จักข้าด้วย” 

“ไม่ได้ !” ปรมาจารย์ส่าย หน้าไปมาเหมือนเด็ก “ผู้เฒ่าขอปฏิเสธ! ผู้เฒ่ายังอยาก จะสั่งสอนเจ้าเด็กมู่หรงนั่นให้ เจ้าอยู่ นะ!” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าชายชราต้องการทำดีกับ นาง แต่นางเพียงแค่ หัวเราะออกมา แล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ที่สำนักไท่ไป๋นี้มีผู้คนมากมาย ท่านเองก็เป็นถึงอาจารย์ของที่นี่ หากทุกคนรู้ว่าท่านยอมรับขยะไร้ค่าเช่นข้าเป็นศิษย์ พวกเขาจะหัวเราะเยาะท่านเอาได้” 

“ใครมัน กล้า!” ปรมาจารย์หันกลับมา แล้วคำรามลั่น “หลี่เฟิง ไหนเจ้าบอกผู้เฒ่าสิ ใครหน้าไหนจะกล้าหัวเราะเยาะ ลูกศิษย์ของข้าหรือ!” 

หลี่เฟิงปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของตน หวาดกลัวเกินกว่าจะส่งเสียง เขารู้ว่าเวลานี้ท่านปรมาจารย์โมโหเข้าแล้วจริงๆ  

เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบจมูกตัวเอง “เช่นนั้นรอหนึ่งเดือนหลังจากนี้ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้อีกทีก็แล้วกัน” 

“หนึ่งเดือนหรือ” ดวงตาของปรมาจารย์เป็นประกายขึ้นมาทันที “ศิษย์ข้า เจ้ากำลังพูดถึงการทดสอบที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้น่ะหรือ” 

“ถูกต้อง “ ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยวาววับ ประกายของมันสว่างสดใส “ข้าอยากให้ทุกคนได้รู้ว่า ข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่ใช่คนบ้าผู้ชาย แล้วก็ไม่ใช่คนไร้ค่าด้วย!” 

ปรมาจารย์มองนางนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ เยี่ยม ศิษย์ของข้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก!” 

เช่นนั้นก็ให้พวกเขาได้เห็นกันชัด ๆ ไปเลยว่าลูกศิษย์ของเขาไม่ได้มีดีเพียงแค่การสร้างอาวุธ แต่ยังมีฝีมือในการอัดคนด้วย! 

แต่หลี่เฟิงไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับปรมาจารย์ เขายังไม่ลืมว่าผลการทดสอบครั้งก่อนของเฮ่อเหลียนเวยเวย มีพื้นฐานพลังปราณ เป็นศูนย์ แม้นางจะเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างอาวุธ แต่นั่น ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าคุณสมบัติทางร่างกายของนางอยู่ในขั้นต่ำได้ อีกทั้งสำนักไท่ไป๋เองก็ยังมีบรรดาหัวกะทิอยู่มากมาย เขากังวลว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่สามารถทำผลงานได้ตามที่กล่าวไว้ … 

 

ค่ำคืนมาเยือน จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่บนฟ้า ส่องให้เห็นเงาของต้นไม้ใบหญ้าไหวลู่ลม 

ณ ฝั่งตะวันออกของสำนักอันเป็นหอพักของกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานกันว่าเหล่าอัจฉริยะ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นบุตรสาวและบุตรชายจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ด้วยกันทั้งสิ้น 

ดังนั้นเมื่อมีคนบุกรุกเข้ามา ความสนใจของศิษย์ใหม่ทุกคนจึงพุ่งตรงไปยังเขา 

ยิ่งกว่านั้น ครั้งนี้ยังมาพร้อมกันสองคนเสียด้วย 

“อาเจวี๋ย ที่นี่ล่ะ” หนานกงเลี่ยยิ้ม อย่างมีเลศนัย และ ย่องไปยังประตูไม้ที่อยู่ตรงหน้า “ข้าลองช่วยเจ้า ถามดูแล้ว ‘เจ้าแมวน้อย’ อยู่ในห้องนี้!” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกยิ้ม ขณะกัดถุงมือข้าง ซ้ายของตน แสงจันทร์ส่องให้เห็นรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาไร้ที่ติ ของเขา ดูคล้ายปีศาจที่พร้อมล่อลวงและย่ำยีจิตใจของผู้คน “ดีมาก” 

จากนั้น 

เสียง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้น! 

เขาล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในเสื้อคลุมขนสัตว์สีเงิน จากนั้นจึงใช้ขายาวๆ ถีบประตูไม้ตรงหน้าให้เปิดออก! 

หนานกงเลี่ยกระโดดโหยงไปยืนอยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงยื่นหน้าออกมา แล้วบ่นว่า “อาเจวี๋ย เจ้าบ้า! คราวหน้าก่อนจะถีบประตู เจ้าช่วยบอกข้าล่วงหน้า ก่อนได้ไหม! ป่าเถื่อนชะมัด !” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเขา และ เดินทอดน่องเข้าไปในห้องอันแปลกตาอย่างช้าๆ บรรดาคุณหนูกับคุณชายจากตระกูลขุนนางที่ ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อครู่ หยุดสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ลง พลางหันมองไปทางต้นเสียงพร้อมกัน 

เขากวาดสายตาไปทั่ว แล้วสาวเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังห้องด้านในด้วยท่าทางสง่างาม… 

“นั่นคุณชายที่เพิ่งเข้าสำนักมาวันนี้นี่!” 

“โอ้สวรรค์ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขามาหาเจียวเอ๋อร์หรือ” 

“สมกับเป็นเจียวเอ๋อร์ นางรู้จักกระทั่งคนแบบ เขาด้วย” 

บรรดาคุณหนูต่างรวมกลุ่มกันมองแผ่นหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาของพวกนางดูเหมือนจะเปล่งแสงออกมาได้  

 ช่างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อะไรอย่างนี้ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้แล้ว 

ทุกประโยค ทุกคำพูด แม้กระทั่งอิริยาบถธรรมดาๆ ของเขาก็นำมาซึ่งความสง่างามที่ไม่อาจ หาคำใด มาอธิบายได้ การเคลื่อนไหวนั้นเปรียบเสมือนการวางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่าย [1] แต่สามารถเอาชนะข้าศึกที่อยู่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ ได้โดยแท้  

“คุณชายหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ แต่นางไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา เพราะที่นี่ยังมีคุณหนู จากตระกูลขุนนางอยู่หลายคน นางจำต้องสงวนท่าทีเอาไว้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเย็นชา ดุจน้ำแข็งของเขา ใบหน้าของนางก็พลันกลายเป็นสีแดงระเรื่อ นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านมาหาข้าด้วยเหตุอันใดหรือ” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ แต่หลังจากเห็น ใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นแล้ว คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่น จากนั้น ก็หันหลัง เดินจากไป! 

“เอ๋ อาเจวี๋ย ทำไมถึงออกมาเร็วนักล่ะ!?” หนานกงเลี่ยยังคงง่วนอยู่กับการทักทายคุณหนูคนอื่นๆ ที่อยู่นอกห้อง แต่หลังจากที่ เห็นสหายคนสนิทของตน เขาก็หัวเราะออกมาอย่างไม่คิดที่จะอดกลั้น “อย่าบอกนะว่า ‘เจ้าแมวน้อย’ นั่นอ่อนปวกเปียกเกินไปหรือ” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งสัญญาณอันเย็นชา ให้เขาผ่านทางสายตา เชิดคางขึ้นด้วยท่วงท่างามสง่า น้ำเสียงที่แฝงอยู่ภายในคำพูดของเขา เยือกเย็นราวกับ น้ำแข็ง “ไม่ใช่นาง” 

“อะไรนะ” หนานกงเลี่ยที่หัวเราะอย่างมีเลศนัยอยู่เมื่อครู่ถึงกับเปลี่ยนท่าที เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในห้อง แล้วมองใบหน้าอันงดงามของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ดวงตาเรียวรีของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ! 

……………………………………………………………………… 

[1] การวางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่าย แต่สามารถเอาชนะข้าศึกที่อยู่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ เป็นการเปรียบเปรยถึงคนที่มีความสามารถว่าไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สนามรบ เพียงแต่ทำให้การใช้กลยุทธ์ประสบความสำเร็จก็พอ