หลังจากเสร็จสิ้นการสอบและกลับมายังเมืองหลวง ฮาโรลด์ยังคงดำเนินชีวิตต่อไปอย่างวุ่นวายเหมือนดั่งแต่ก่อน ทำงานเบ็ดเตล็ด, ฝึกฝน วนไป ขณะที่รอฟังผลการสอบและคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องของยูสทัสว่าจะทำอย่างไรดี ห้องแลปของยูสทัสเองก็อยู่ในเมืองหลวงเหมือนดั่งในเกมส์เสียด้วย ถ้าหากเขาอยากจะติดต่อกับยูสทัสจริงก็สามารถเป็นไปได้อยู่

แต่ว่าถ้าหากเขาประมาท มันอาจนำพาไปสู่หนทางที่ยากยิ่งขึ้น นั้นเพราะแผนของยูสทัสนั้นโครตจะเป็นความลับ และถึงแม้ยูสทัสจะใช้งานใครซักคนเพื่อแผนของเขาอยู่บ้าง แต่งานหลักๆในการดำเนินแผนงานยูสทัสจะเป็นคนลงมือด้วยตนเองอยู่เสมอ และฮาโรลด์ก็ทราบเรื่องเหล่านี้ดี เพราะตัวของยูสทัสนั้นเป็นอัจฉริยะ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ยูสทัสจะมองออกถึงเจตนาจริงๆของฮาโรลด์ และถ้าหากเป็นเช่นนั้นยูสทัสคงทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าปิดปากเขาเป็นแน่

 

[ ฮา….. ]

 

ถึงแม้ว่าฮาโรลด์อาจจะใช้วิธีบุกรวบตัวยูสทัสก่อนเลยก็ได้ แต่ว่าแผนนี้มันยังเสี่ยงเกินไป เพราะแผนการบุกรุกโลกนั้นถูกวางไว้อย่างลัดกุมมาก แม้ว่าจะเข้าจับกุมยูสทัสได้สำเร็จ แต่ถ้าหากแผนบุกรุกโลกดำเนินไปแล้ว คนๆเดี่ยวที่จะหยุดมันได้ก็คือตัวของยูสทัสเองเท่านั้น

 

[ ….. โรลด์ ]

 

แต่การที่แผนการจะถูกหยุดโดยตัวของยูสทัสเองนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะต่อให้ต้องเสียสละชีวิตของตัวเอง ยูสทัสก็ยอมเพื่อที่จะได้เติมเต็มความปรารถนาของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาปลุก “พลังนั้น” ขึ้นมา ก็ไม่มีทางเลยที่ฮาโรลด์จะเอาชนะยูสทัสได้เพียงลำพัง และหากแผนการผิดพลาดก่อนที่ปาร์ตี้ของไรเนอร์จะลงมือใดๆ แน่นอนว่าทั้งทวีปคงจะสูญสิ้นไปแล้ว

ดังนั้นตอนนี้ มันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเข้าจับกุมตัวของยูสทัส แม้ว่าฮาโรลด์อาจจะลองพยายามบอกแผนการเหล่านี้กับวินเซนต์หรือคนอื่นๆ แต่มันนึกภาพได้ไม่ได้ยากเลยว่าพวกเขาคงไม่สนใจอะไรในเรื่องนี้นักเพราะมันคงฟังดูบ้าจนเกินไป ใครมันจะไปเชื่อว่ายูสทัสพยายามที่จะสังเวยโลกทั้งใบเพื่อที่จะพยายามชุบชีวิตคนตาย

 

[ ฮาโร— ]

[ หุบปาก ! ]

 

ฮาโรลด์ได้ตัดบทคนที่เรียกเขาซ้ำๆมาซักระยะนึงแล้ว เนื่องจากชื่อของเขาถูกเรียกอย่างไม่ลดละ แน่นอนว่าความอดทนของเขามีขีดจำกัด ฮาโรลด์จึงหยุดแขนที่กำลังเหวี่ยงดาบและหันไปหา ชิโด้

 

[ เอ๊ะ นายรู้สึกตัวด้วยหรอ ? ]

 

ชิโด้กล่าวออกมา พลางแสดงออกราวกับว่าตกใจจริงๆ เห้อ เพราะว่าฮาโรลด์กำลังฝึกฝนอยู่ในคนเดียวในสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าใครกำลังเข้ามาหา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสถานที่สลัวๆใต้เงาไม้และอาคารยังดูแข็งแรงดีแม้จะทรุดโทรมไปหน่อย มันจึงค่อนข้างเหมาะที่จะมาแอบฝึกเงียบๆอยู่คนเดียว ถามว่าทำไมเขาจึงต้องมาฝึกอยู่คนเดียวแบบนี้น่ะหรอ ? นั้นเพราะเร็วๆนี้ แม้กระทั้งในสนามฝึกซ้อมก็เริ่มจะมีเรื่องให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น เพราะพวกรุ่นพี่จะใช้ข้ออ้างว่าฝึกซ้อมในการมาหาเรื่องกับเขา ฮาโรลด์เลยตัดสินใจที่แยกตัวออกมาอยู่ที่เงียบๆเช่นนี้ นั้นเพราะหากเกิดเหตุต้องให้ลงไม้ลงมือกันจริงๆ คนอื่นๆจะได้ไม่พลอยเดือดร้อนไปด้วย

 

[ นี่ไม่รู้ตัวอีกหรอ? ข้ารู้อยู่แล้วแค่ไม่สนใจ ]

[ จะไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยรึปล่าว ? ]

 

จริงๆก็ตามที่ปากนี้กล่าวนั้นแหละ ถึงเขาจะไม่ได้อยากพูดออกมาตรงๆแต่ปากนี้มันไม่สามารถปกปิดเรื่องอะไรแบบนี้ได้ ฮาโรลด์จึงได้แต่ยอมรับความจริง และปล่อยจมกับการตอบกลับของชิโด้และถามออกไป

 

[ แล้ว ? นายต้องการอะไร ? ]

 

เมื่อเห็นว่าฮาโรลด์เริ่มที่จะสนใจในตัวเขาแล้ว ชิโด้ก็โค้งคำนับทันที ถ้าหากลำตัวของเขาเป็นคันธนู มันคงจะงอเกือบจะเป็นมุมฉากเลยล่ะ ทันทีที่เห็นฮาโรลด์ดูตกตะลึง ชิโด้ก็กล่าวคำขอร้องออกมาทันที

 

[ ได้โปรดฝึกฝนพวกเราด้วย ! ]

 

ฮาโรลด์สูญเสียคำพูดไปเล็กน้อย แน่นอนว่าชิโด้ไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะผ่านการฝึกฝนอันยากลำบากของกองอัศวินมาตลอด 3 ปีเต็ม และได้ยืนยันความแข็งแกร่งของตนแล้ว แต่ชิโด้กับมาก้มหัวขอร้องฮาโรลด์ ผู้ที่เป็นเด็กใหม่อายุน้อยกว่าตนเกือบ 6 ปี มันเป็นเรื่องที่ฮาโรลด์คาดไม่ถึง

 

[ เป็นภาพที่รกหูรกตาจริง ยกหัวของนายขึ้นซะ ก่อนอื่น ใครบ้างที่นายพูดว่า “พวกเรา” ]

[ ชั้น โรบิ้น และไอรีน ]

 

เหมือนดังที่คาดไว้ ดูเหมือนว่าคำร้องนี้จะมาจากแก้ง 3 หน่อนี่ ขณะที่ฟังอยู่ ฮาโรลด์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่เกรงใจ ราวกับพยายามจะบอกว่า “พวกนี้ด้วยสินะ เห้อ”

 

[ แล้ว 2 คนนั้นไปไหน ? ]

[ พวกเขาอยู่ระหว่างการลาดตระเวนถายในเมือง นั้นคือเหตุผลว่าทำไม ชั้นถึงมาของร้องนายคนเดียว แน่นอนว่าคนอื่นเองก็อยากจะมาฝึกด้วยเช่นกัน ]

 

เมื่อได้รับการขอร้องให้ช่วยฝึกฝน มันจึงช่วยไม่ได้ที่ฮาโรลด์จะรู้สึกงงหน่อยๆ เพราะจริงๆแล้วฮาโรลด์ก็ไม่มีเทคนิคพิเศษอะไรที่จะใช้ฝึกฝนพวกเขาได้ อันที่จริง ชิโด้และคนอื่นๆอาจจะเข้าใจพื้นฐานของอัศวินมากกว่าตัวเขาเสียอีก ถึงแม้จะมาขอร้องให้ฮาโรลด์ฝึกให้ แต่สิ่งที่ฮาโรลด์กำลังทำก็มีเพียงพยายามเลียนแบบการเคลื่อนใหวดั่งในเกมส์ซึ่งมันไม่ใช่เทคนิคที่สามารถนำไปใช้สอนอะไรได้

นั้นคือทั้งหมดที่เขาคิดออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทำให้คนเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไร มันมีความเป็นไปได้สูงที่ ชิโด้ โรบินสัน และไอรีน จะตายในการต่อสู้ ในอีก 2 ปีข้างหน้า และตัวของฮาโรลด์เองก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะช่วยคนเหล่านี้ดีหรือไม่ จะทำลายเนื้อเรื่องดั่งเดิมเหมือนอย่างในเกมส์ ซึ่งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องช่วยเหลือคนเหล่านี้ในเหตุการณ์ไหนกันแน่

มันก็ผ่านมานานเกือบเดือนแล้วที่เขาได้พบปะกับทั้ง 3 คน มีโอกาสมากมายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับฮาโรลด์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้ ฮาโรลด์ก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องตาย เขาไม่อยากให้มันสายเกินไปกว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าจะต้องช่วยคนเหล่านี้ให้ได้ ดังนั้นการฝึกฝนพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นตอนนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ไร้ค่าซะทีเดียว

 

[ ….. ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ พา 2 คนนั้นมาด้วย ]

[ ได้ ขอบคุณนะ ! ]

 

หลังจากชั่งใจอยู่พักนึง ฮาโรลด์ก็ตอบตกลง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ว่าสิ่งที่ทำในตอนนี้ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ และตัวของฮาโรลด์ก็มีจุดประสงค์อีกอย่างด้วยเช่นกัน เพราะว่าอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากคนเหล่านี้ได้ และมันก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆตามมา

ในวันต่อมาหลังจากที่ให้คำตอบแก่ชิโด้ แม้ว่าจริงๆจะมีเจตนาแอบแฝงก็เถอะ ในสถานที่ที่ดูสลัวๆ มีคน 8 คนรวมตัวกันอยู่ 3 คนจากลุ่มของชิโด้ และอีก 5 คนจากหน่วยที่ 7 ของรุ่นที่ 94 รวมถึงฮาโรลด์ด้วย บรรยากาศเริ่มที่จะอึดอัดเพราะกลุ่มของไอแซคและชิโด้ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน แต่ฮาโรลด์ก็ไม่สนใจและเริ่มพูด

 

[ งั้น มาเริ่มกันเลย ]

 

โดยที่ไม่มีกล่าวนำหรืออธิบายใดๆ ฮาโรลด์พูดออกมาอย่างกะทันหัน 7 คนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันอย่างงุนงง

 

[ ถึงนายจะบอกว่าเริ่มก็เถอะ แล้วพวกเขาควรจะทำอะไรล่ะ ? ]

[ ชักดาบของพวกแกออกมา พวกแกทั้งหมดเข้ามาพร้อมกันได้เลย ]

[ ห๊ะ ? มันจะไม่ดูถูกพวกเราเกินไปหน่อยหรอ ? ]

 

เจ้าของคำพูดนั้นคือผู้หญิงคนเดียวในที่นี้ หรือก็คือ ไอรีน ถึงแม้ฮาโรลด์จะรู้สึกว่าเสียงมันจะดูไม่ค่อยเหมือนผู้ ญ เท่าไหร่ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจดีกับความรู้สึกของเธอที่สื่อออกมา แต่ปัญหามันอยู่ที่ปากของเขา และเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้ด้วย ช่างเถอะ มันคงง่ายกว่าถ้าทำให้พวกเขาทั้งหมดเข้าใจโดยการให้พวกเขาได้ลองสู้จริงๆดูซักครั้ง

 

[ อย่ามัวแต่พูด ]

 

เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน แต่ความหงุดหงิดที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยระเบิดออกมาเป็นความโกรธ ใบหน้าคนอื่นๆเริ่มถอดสี และฮาโรลด์ได้แต่คิดว่า“สงสัยจัง ผมดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ? ผมแค่ขู่พวกเขาไปนิดหน่อยเอง” หากเป็นเช่นนี้ ฮาโรลด์ก็เข้าใจได้ว่าทำไมคนอื่นๆถึงไม่กล้าที่จะเข้าหาตัวเขา ทุกๆคนคงมองเขาเป็นตัวปัญหาที่มักจะมีเรื่องกับพวกรุ่นพี่บ่อยๆ และปล่อยบรรยากาศที่น่ากลัวออกมาอยู่เสมอ คงไม่แปลกอะไรที่คนอื่นๆจะหลบเลี่ยงตัวตนของเขา

 

[ พวกหนอนแมลงก็ควรปฎิบัติตัวเฉกเช่นหนอนแมลง เข้ามาพร้อมกันเลย ข้าจะสอนพวกแกให้รู้ซึ้งเอง ว่าตัวตนของข้า พวกแกไม่มีทางเอื้อมถึง ]

 

ขณะที่น้อยใจในความสันโดษของตัวเอง มันก็ถึงเวลาที่จะกระตุ้นพวกเขาซักหน่อย นี่เป็นอีก 1 ในหลายๆสถานการณ์ที่ฮาโรลด์เคยหวังเอาไว้ จนถึงตอนนี้ ฮาโรลด์เคยได้แค่ต่อสู้กับมอนเตอร์หลายๆตัวด้วยตัวคนเดียว แต่เขาไม่เคยที่จะได้ต่อสู้กับคนจำนวนมากเลยซักครั้ง สำหรับในอนาคต การเก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้กับคนกลุ่มมากเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันมีโอกาสสูงที่ตัวของฮาโรลด์เองจะต้องได้เผชิญหน้ากับกลุ่มของตัวเอกเพียงลำพัง

 

[ ข้าจะใช้พวกโง่อย่างพวกแกเป็นบันใดให้ข้าก้าวขึ้นไปอีกขั้น ถ้าหากอยากจะแข็งแกร่งขึ้น เรียนรู้มันจากการที่ได้สู้กับข้า และขโมยเทคนิคเหล่านั้นเองซะ ! แม้ว่าข้าจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ ]

 

กระนั้น เขาก็ยังคงไม่ลืมที่จะถากถางออกมา

 

[ .. เข้ามา ! ]

 

ชิโด้จ้องเขม่งไปที่ฮาโรลด์และชักดาบออกมา ซึ่งคนอื่นๆก็ทำตามเช่นกัน ทั้งหมดตั้งท่าเตรียมที่จะต่อสู้ ไม่ว่าจะมองยังไง คนเหล่านี้ก็คือ 1 ในหน่วยอัศวิน พวกเขาถือว่าเป็นคนพิเศษ การถูกดูถูกเช่นนี้ไม่มีทางที่ใครจะไม่โกรธ

 

[ ดีมาก พยายามดิ้นรนให้มากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้ข้าบรรเทิงซะ ]

 

ราวกับคำกล่าวนั้นเป็นสัญญาณการต่อสู้ พวกเขาทั้ง 8 คนต่างพุ่งเข้าหาฮาโรลด์

 

 

 

 [ – และนี่คือทั้งหมดในรายงาน ]

 

ซาคริสได้รายงานเกี่ยวกับการสอบจบหลักสูตรพื้นฐานของฮาโรลด์ทั้งหมด ขณะที่ฟัง คนอื่นๆที่มาฟังรายงานเพื่อตัดสินผลการสอบต่างแสดงความรู้สึกของพวกเขาออกมา  หลายๆคนประหลาดใจเกี่ยวกับเนื้อหาของรายงานที่ได้ฟังมาเมื่อสักครู่ เพราะเกือบทั้งหมดของเนื้อหามันเกี่ยวกับความสามารถอันเหลือล้นของฮาโรลด์และตัวตนของมอนเตอร์ชนิดใหม่ที่พวกเขาค้นพบระหว่างการเดินทาง ซึ่งหลายๆคนก็สงสัยเช่นกัน และคนที่อยู่ต่อหน้าของทุกคนตอนนี้ คือวินเซนต์และเขาก็เริ่มพูด

 

[ ผมเข้าใจว่าพวกท่านแต่ละคนย่อมมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง แต่อย่างที่ทุกท่านได้ยินมา แม้ว่าฮาโรลด์จะยังเด็ก แต่ถ้าหากนับแค่ความแข็งแกร่งนั้นเขาเหนือกว่าผู้บัญชาการกองร้อยเสียอีก และความสามารถในการตัดสินใจของฮาโรลด์นั้นหาตัวจับได้ยาก ดังนั้นพวกเราควรตัดสินให้เด็กคนนี้เข้าร่วมหน่วยอย่างเป็นทางการตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้ส่งเสริมประสบการณ์การต่อสู้ของเขาให้มากยิ่งขึ้น และทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเช่นกัน ]

[ ข้าเข้าใจในสิ่งที่ที่วินเซนต์คุงคิด เพราะข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าแผนการที่จะฝึกฝนเขานั้นฟังดูสมเหตุสมผลดี ]

 

คนที่กล่าวออกมานั้นคือ เมลสตอม 1 ในผู้บริหารของกองอัศวิน ขณะที่เขาหรี่ตาลง ก็เกิดริ้วรอยที่เห็นได้ชัดแสดงถึงอายุของเขาอย่างชัดเจน สายตาที่จ้องมองนั้น มันไม่ได้ดูเฉียบคมราวกับมองทะลุปรุโปร่ง แต่ถึงกระนั้น มันก็แสดงถึงความกดดันที่เมลสตอมมีต่อ วินเซนต์

 

[ แต่ในทางกลับกัน ข้ารู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไป ด้วยนิสัยของฮาโรลด์ที่ข้าได้ยินมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องก่อปัญหากับความสัมพันธ์รอบๆตัวของเขาแน่ๆ เขายังเป็นแค่เด็ก มันจึงไม่สายเกินไปที่จะสั่งสอนเขาก่อนไม่ดีกว่าหรือ ? ]

[ ที่ท่านพูดว่าก็ถูกครับ แต่ผมได้เตรียมหน่วยที่เหมาะสมไว้แก้ไขปัญหาเอาไว้แล้วครับ ]

[หืม ขอข้าฟังหน่อย ]

[ ครับ ผมคิดว่า ท่านเมลสตอมคงจะไม่รู้แต่ …. ]

 

วินเซนต์อธิบายสถานการณ์รอบตัวของฮาโรลด์ในปัจจุบัน ฮาโรลด์สามารถเอาชนะรุ่นพี่ของเขาทุกคนในการดวล 1 ต่อ 1 ตอนการสอบเข้า ด้วยเหตุนี้จึงมีรุ่นพี่จำนวนมากไม่พอใจและเป็นเหตุให้ฮาโรลด์ถูกหาเรื่องอยู่เสมอ และด้วยเหตุนี้ คนอื่นๆต่างพากันหลีกเลี่ยงตัวของฮาโรลด์ ด้วยสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาสามารถเพิ่มความสัมพันธ์กับคนอื่นๆได้

 

[ … ข้าเข้าใจล่ะ พวกเราควรรีบให้ฮาโรลด์เข้าประจำการกับหน่วยที่ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อเขาโดยเร็ว ในกรณีนี้  บางทีเขาอาจจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนในหน่วยได้ ]

[ ใช่ครับ และหน่วยที่ผมแนะนำ คือหน่วยของโคดี้ เขาเก่งในเรื่องเข้าใจหัวอกคนอื่น การสร้างความสัมพันธ์กับลูกน้องไม่มีใครดีไปกว่าเขาอีกแล้ว นอกจากนี้โคดี้ก็เป็นคนที่เชิญชวนฮาโรลด์มาเข้าร่วมกับกองอัศวินอีกด้วย และตัวของฮาโรลด์เองก็ดูจะคุ้นเคยกับคนอื่นๆในหน่วยของโคดี้เช่นกัน ดูจากการสนทนาของเขากับคนอื่นๆในหน่วยก็ดูเป็นกันเองดี ]

 

จริงๆวินเซนต์พูดเกินจริงไปหน่อย จากที่แชนน่อนเคยรายงาน ดูเหมือนว่าชิโด้มักจะเป็นฝ่ายเข้าไปพัวพันกับฮาโรลด์เองอยู่เสมอ ซึ่งฮาโรลด์ก็จะมักจะดูหงุดหงิด  โรบินสันกับไอรีน ที่อยู่ดูอยู่ข้างๆมักจะแสดงอารมณ์โกรธออกมาเล็กๆไม่ก็ยิ้มอย่างบิดเบี๊ยว แต่ถึงกระนั้น ฮาโรลด์ก็ไม่ได้แสดงท่าทางแข็งกระด่างแต่อย่างใด และดูเหมือนว่าเขาจะเปิดใจบ้างเช่นกัน

 

[ อย่างไรก็ตาม มันก็น่าเศร้าที่ว่านิสัยอวดดีของฮาโรลด์เองก็มีส่วนผิด แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นๆจะใช้ข้ออ้างเหล่านี้ทำเรื่องรุนแรงภายในกองอัศวิน ]

[ มันเป็นความผิดของผมเองครับที่ดูแลไม่ทั่วถึง ทันทีที่ผมยืนยันผู้กระทำผิดได้ ผมจะลงโทษอย่างเหมาะสมทันที และดูเหมือนว่าจะมีหัวโจกที่คอยยุแยงคนอื่นๆให้ต่อต้านฮาโรลด์ เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกันครับ ]

[ ในเมื่อนายจะเป็นคนจัดการเอง ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีก กลับมาเข้าเรื่อง การให้ฮาโรลด์เข้าร่วมทีมเพราะต้องการให้เขาสะสมประสบการณ์ แก้ไขบุคลิกภาพของเขา และปกป้องเขาจากความประสงค์ร้ายรอบๆตัวเขาใช่มั้ย ? ]

[ ครับ ถึงสิ่งที่ผมกำลังจะกล่าวมันอาจจะฟังดูไม่น่าชื่นชมเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่าไม่เป็นไรถ้าหากท่านจะคิดว่านี่คือวิธีการรักษาความสามารถของฮาโรลด์เอาไว้กับกออัศวิน ]

 

ตามที่วินเซนต์กล่าว ทุกคนในที่นี้ต่างเริ่มไม่สงบ เพราะตัวของวินเซนต์เองถือว่ามีชื่อเสียงในเรื่องของความยุติธรรมและเที่ยงตรงในเรื่องการปฎิบัติหน้าที่ของเขา และเป็นผู้ตัดสินที่เป็นกลางไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม แต่กลับกล่าวออกมาว่าฮาโรลด์จะได้รับการปฎิบัติเป็นพิเศษ ซึ่งทุกๆคนในห้องนี้ต่างเข้าใจดี เพราะฮาโรลด์คือบุคคลที่ซึ่งเต็มไปด้วยความสามารถถึงขนาดทำให้ตัวของวินเซนต์เองยังรู้สึกสนใจ

 

[ ….. เด็กนั้นมีความสามารถถึงขนาดทำให้วินเซนต์คุงรู้สึกสนใจสินะ เห้อ งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ตกลง ข้าอนุญาตให้รับเด็กนั้นเข้าร่วมหน่วย ]

[ ขอบพระคุณที่เข้าใจครับ ]

 

ไม่มีใครในที่นี้คัดค้านการตัดสินใจของเมลสตอม ถือได้ว่าฮาโรลด์ได้เข้าร่วมทีมของโคดี้อย่างเป็นทางการแล้ว จนถึงตอนนี้ ทุกๆอย่างดำเนินไปตามแผนของวินเซนต์อย่างราบลื่น แต่ในวินาทีสุดท้ายที่ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีก็เกิดเหตุหยุดชะงั้กขึ้น 

ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ไม่มีเสียงตอบรับใดๆนอกเสียจากเสียงของคนที่เดินเข้ามา [ ขออภัยด้วย ] เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีพุงยื่นออกมาหน่อยๆ

 

[ พวกท่านทุกคน ขอโทษที่กะทันหันไปหน่อย ดูเหมือนว่าจะมีเด็กใหม่ที่ดูหน่วยก้านดีเข้าร่วมกองอัศวินสินะ ]

[ ใช่ครับ ช่างดีจริงๆ แต่ว่า ท่านมีธุระอะไรรึปล่าวครับ ท่านแฮริสัน? ]

[ ปล่าวข้า แค่ได้ยินมาว่าเด็กนี่ได้รับการปฎิบัติเป็นพิเศษ ข้าเลยสนใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้จะขัดขวางอะไรหรอกนะ จริงๆมีเรื่องที่อยากจะแนะนำและดูเป็นประโยชน์ด้วย ข้าเลยเผลอบุกรุกเข้ามา ]

 

ขณะตบท้องของตัวดังแปะๆ แฮร์ริสันก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่ยังว่างโดยไม่ได้อธิบายอะไรออกมาอีก สักพักก็หัวเราะออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดี ช่างเป็นภาพที่ดูหยิ่งผยองมาก 

 

[ ช่วยอธิบายพวกเราเป็นรูปธรรมได้หรือไม่ครับท่านแฮริสัน? ]

[ ก็คล้ายๆกับการออกภาคสนามล่ะนะ ก็ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินหรือมีความเสี่ยงสูงอะไร แต่สถานที่ที่จะให้ไปมันค่อนข้างไกล ข้าว่าจะให้เด็กนั้นไปชายแดนน่ะ ]

[ เรื่องนี้อีกแล้ว มันค่อนข้างยากอยู่นะ ]

[  ถ้าหากเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน ไม่ใช่ว่ามีหน่วยที่ได้รับมอบหมายให้ประจำการอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ ? ]

 

ถ้าหากอัศวินทุกคนอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของกองอัศวินที่เมืองหลวงเพียงที่เดียว มันคงไม่สามารถตามแก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที เหตุนี้จึงมีสาขาย่อยของกองอัศวินอีก 2 – 3 กลุ่มที่ไปประจำการอยู่จุดต่างๆภายในอาณาจักร เพื่อที่คอยรับมือกับเหตุฉุกเฉินและสามารถแก้ไข่สถานการณ์ได้ทัน และหากพวกเขาสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยตนเอง พวกเขาก็ทำเพียงแค่ส่งรายงานต่อสำนักงานใหญ่เพื่อรายงายเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น และงานลาดตระเวณบริเวณชายแดน มันคือ 1 ในงานของสาขาย่อยของกองอัศวิน

 

[ มีการร้องของกำลังเสริมเข้ามาแล้ว ล่าสุดเหมือนจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่บริเวณป่าเบลติส แต่เพราะกำลังไม่เพียงพอเลยไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้อย่างจริงจัง ]

[ ผมยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนั้นเลยนะ …. ? ]

[ อะไรนะ นั้นจริงหรอ ? มันคงมีเรื่องอะไรผิดพลาดบางอย่าง ]

 

แฮร์ริสันได้จับไปที่คางของตนและเอียงคอด้วยความสงสัย แม้ว่าท่าทีของเขาจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็ไม่อาจมองข้ามได้เกี่ยวกับเรื่องที่แฮร์ริสันพูด

 

[ อย่างไรก็ตาม ตามที่ท่านแฮร์ริสันกล่าวมาเกี่ยวกับป่าเบลติส มันคือดินแดนที่เผ่า[[สเตลล่า]] ผู้อ่านดารา อาศัยอยู่ และมันคงไม่ง่ายนักที่จะเข้าไปตรวจสอบ ]

 

เผ่าสเตลล่า ผู้อ่านดารา เรียกอีกอย่างว่าผู้คนแห่งดวงดาว พวกเขาเป็นชนเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ พวกเขาเหล่านี้เคยปกครองทวีปแห่งนี้เมื่อครั้งในอดีต หลังจากความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขาสิ้นสุดลง ประชากรของพวกเขาก็ลดลงอย่างมากเนื่องจากความขัดแย้งที่ดำเนินมาเป็นเวลานาน เหล่าลูกหลานเหลือรอดชีวิตเพียงเล็กน้อยจนถึงตอนนี้สร้างชุมชนอาศัยเล็กๆและปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก พวกเขาเป็นชนเผ่าที่มีความลึกลับมากมาย

อาจเพราะเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ความเกลียดชังของพวกเขาต่อชนเผ่าอื่นมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก หากมีคำสั่งให้อัศวินเข้าไปตรวจสอบในป่าเบลติส เผ่าสเตลล่าจะต้องต่อต้านอย่างรุนแรงเป็นแน่ และหากยังดึงดันฝืนเข้าไป คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกัน เมื่อเมลสตอมถามคำถามที่เป็นกังวลของตนออกไป แฮร์ริสันก็ตอบกลับมาด้วยท่าทีราวกับได้ชัยชนะพลางเขย่าพุงของตัวเองเล่น

 

[ ขณะนี้พวกเราอยู่ในระหว่างทำการเจรจากับเผ่าสเตลล่า ไม่ใช่ว่าเราต้องการที่จะลุกล้ำเข้าไปยังดินแดนของพวกเขา ถ้าหากพวกเราแจ้งล่วงหน้ากับพวกเขาก่อน มันก็ไม่มีปัญหา ซึ่งประเด็นหลัก ข้าอยากจะให้เด็กนี่เข้าร่วมกับภารกิจลาดตระเวณครั้งนี้ด้วย ]

[ ….. เหตุผลเพราะ ? ]

[  ถึงแม้ว่าเด็กนี่จะโดดเด่นซักแค่ไหน มันจะไม่เสี่ยงเกินไปหรอที่จู่ๆเราจะโยนเค้าเข้าไปในการต่อสู้จริง ? อย่างที่ข้าได้อธิบายไป การลาดตระเวณในครั้งนี้มีความเสี่ยงต่ำ และถ้าหากเป็นการสืบสวนที่กินระยะเวลานาน เด็กนี่ก็จะมีเวลามากขึ้นในการเชื่อมความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่านี่คือภารกิจที่สมบูรณ์แบบในการลงสนามจริงครั้งแรกหรอกรึ ? ]

 

แน่นอนว่าคำพูดของแฮร์ริสันมีเหตุผล แม้ว่าตัวของวินเซนต์เองจะไม่เคยคิดที่จะให้ฮาโรลด์ลงสนามจริงที่ต้องอาศัยการต่อสู้จริงเป็นครั้งแรก แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าตัวของวินเซนต์เองต้องการที่จะส่งฮาโรลด์ออกไปทำภารกิจโดยเร็ว เมื่อพิจารณาแผนของวินเซนต์แล้ว แฮร์ริสันจึงเรียกการแนะนำในครั้งนี้ว่า “ความช่วยเหลือที่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม”

สิ่งที่วินเซนต์ยังคงกังวลคึอทำไมแฮร์ริสันถึงให้ความร่วมมือ เขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้บังคับบัญชากองทัพ ผู้ที่สามารถออกคำสั่งกองอัศวินและกองกำลังของอาณาจักร อีกความหมายก็คือ คนๆนี้สามารถควบคุมทหารในราชอาณาจักรได้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายอัศวินและกองทัพไม่สามารถให้ความร่วมมือกันได้ เหตุผลเพราะมีภาพจำที่ว่ากองอัศวินมีฐานะเหนือกว่ากองกำลังทหารแพร่กระจายอยู่โดยทั่ว อันที่จริง จะทหารหรืออัศวิน ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าใครทั้งนั้น ในฐานะองค์กร พวกเขามีตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน แต่เพราะบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันทำให้ภาพจำเหล่านี้แพร่สะพัดออกไป

กองอัศวินจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อมีคำสั่งหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นในบางสถาการณ์เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากกองทัพ ที่แทบจะไม่เคลื่อนไหวใดๆนอกเสียจากภารกิจหลักที่สำคัญที่สุดนั้นคือการปกป้องดินแดนของอาณาจักร กองอัศวินเป็นงานที่ฉูดฉาดมากมายส่วนกองทัพกลับเป็นงานที่เรียบง่าย – ภาพจำเหล่านี้หยั่งรากลึก ซึ่งในความเป็นจริง มีคนจำนวนมากมายที่ตั้งเป้าจะเข้าร่วมกับกองอัศวิน แต่กลับต้องเข้าร่วมกับกองทัพแทนเพราะไม่สามารถผ่านการทดสอบของกองอัศวินที่โหดหินได้ ภาพจำเหล่านี้จึงทำให้คิดกันไปเองว่ากองอัศวินนั้นเหนือกว่ากองทัพ

ขณะที่เปิดเผยจุดประสงค์ของตัวเขา แฮร์ริสันเคยมีประวัติตอนที่กำลังไต่เต้าเข้าสู่ตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทัพ ในตอนนั้น ดูเหมือนเขาก็พยายามที่จะทำให้กองทัพแข่งขันกับกองอัศวินอยู่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขายังเคยเล่าว่า “ข้าได้เปลี่ยนแปลงความไม่พอใจที่ไม่สามารถเข้ากองอัศวินได้เป็นพลังที่สามารถผลักดันโลกใบนี้ได้” คงจะมีแค่ตัวของเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของเขาจนถึงตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเขามองกองอัศวินเป็นศัตรูของเขา

มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะพูดเรื่องนี้ออกไป แฮร์ริสันยังคงน่าสงสัย ทำไมเขาถึงให้ความร่วมมือขนาดนี้ ? สิ่งเหล่านี้พุดขึ้นมาในหัวของวินเซนต์ มันช่างแตกต่างจากภาพจำของแฮร์ริสันที่วินเซนต์นึกออก

 

[ ……… ท่านพูดถูก ผมจะพิจารนาดู ]

 

วินเซนต์ไม่สามารถอ่านเป้าหมายที่แท้จริงของแฮรฺริสันได้ แต่เขาเองก็ไม่มีเหตุผลดีๆที่จะปฎิเสธข้อเสนอของแฮร์ริสันเช่นกัน วินเซนต์จึงทำได้เพียงแค่ตอบรับ และเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ออกจากห้องไปพร้อมทิ้งท้ายว่า [ ข้าแค่อยากจะช่วยเหลือพวกเธอก็แค่นั้น ] และ 2 – 3 วัน หลังจากนั้น ชื่อของฮาโรลด์ก็ปรากฎใน 1 ของสมาชิกที่จะต้องเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้