ตอนที่ 21 ไม่ชอบก็แยกย้าย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 21 ไม่ชอบก็แยกย้าย

พ่อของฟางจั๋วหรานเหมาโต๊ะจีนสิบโต๊ะจัดงานวันเกิดให้กับแม่ยายในโรงแรมแห่งหนึ่งของเจียงเฉิง

ที่แห่งนี้แน่นขนัดไปด้วยญาติสนิทมิตรสหาย บรรยากาศคึกคักมากทีเดียว

งานเลี้ยงงานหนึ่งจะกินเลี้ยงกันถึงบ่ายสองเศษจึงนับว่าเป็นอันสิ้นสุด

ครอบครัวของลูกชายและลูกสาวทั้งสองของแม่เฒ่าหวังทยอยกันกลับบ้านของหล่อนอย่างพร้อมหน้า

คู่ชีวิตที่เสียชีวิตไปของแม่เฒ่าหวังเป็นนักธุรกิจขนาดย่อมในสังคม แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่ก็เทียบกันไม่ติด ทั้งยังเหลือกินเหลือใช้ อย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็เป็นเรือนแบบสี่ประสานโบราณที่งดงามมาก

หลังจากขายปล่อยได้ไม่นาน เรือนแบบสี่ประสานหลังนั้นก็ถูกมอบให้ประเทศ แต่เมื่อสองปีก่อน ทางประเทศได้คืนกลับมาให้กับแม่เฒ่าหวังอีกครั้ง

ตอนนี้แม่เฒ่าหวังจึงอาศัยอยู่ในเรือนแบบสี่ประสานอันงดงามนั้น

กระทั่งเห็นบรรดาลูกหลานเข้ามารุมล้อมอยู่ข้างกายของนาง แม่เฒ่าหวังก็เบิกบานใจอย่างมาก

หวังหรงกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงหวานเยิ้มกับนาง “คุณย่า หนูจะช่วยใส่แหวนที่หนูลากพี่ไปซื้อมาให้คุณย่านะคะ”

แม่เฒ่าหวังยิ้มกว้างราวดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่ง “ รอเธอมาใส่ทำไม พี่เธอให้ฉันมาหนึ่งคู่แล้ว ฉันใส่เองได้”

เอ่ยจบก็ยื่นมือออกไปให้ทุกคนได้เห็นแหวนทองในมือ

หวังหรงเม้มปากหัวเราะ “วันนี้หนูอาศัยบารมีของคุณย่า พี่เลยซื้อเครื่องประดับมาให้หนู”

แม่เฒ่าหวังยิ้มตาหยี “เครื่องประดับอะไร ไหนให้ย่าดูหน่อยสิ”

หวังหรงถกแขนเสื้อขึ้นด้านบน เผยให้เห็นถึงกำไลเงินที่เปล่งประกายแวววาวยามต้องแสงไฟบนข้อมือข้างนั้น “คุณย่า สวยไหมคะ?”

“สวยมาก สวยมาก!” แม่เฒ่าหวังยิ้มอย่างเบิกบานใจ

จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับฟางจั๋วหรานว่า “ไหนบอกว่าไม่ชอบน้อง ขนาดกำไลก็ยังยอมซื้อให้หล่อน ฉันว่าพวกเธอสองคนคบกันไปเลยดีกว่า อายุของฉันก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ถึงเวลาก็ต้องแต่งงาน ยายยังอยากเห็นลูกน้อยของแกกับหรงหรงออกมาลืมตาดูโลกอยู่นะ แกคงไม่ได้รำคาญใจกับความปรารถนาคนแก่อย่างยายหรอกใช่ไหม”

“กำไลเงินวงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากซื้อให้หรอกครับ หล่อนอยากได้เอง” ฟางจั๋วหรานเอ่ยอย่างหมดคำพูดและจนปัญญา “คุณยาย ถ้าเป็นความปรารถนาอื่น ต่อให้ต้องปีนเขาบุกน้ำลุยไฟ ผมจะทำให้มันเป็นความจริงแทนคุณยายเอง เรื่องความปรารถนานี้เกรงว่า….”

หวังเหวินฟางผู้เป็นแม่เลี้ยงพูดตัดบทเขาอย่างฉับพลัน “แกยังไม่ลืมเรื่องของกู้ม่านซือใช่ไหม เจ้าตัวแต่งงานย้ายไปอยู่กับครอบครัวตั้งหลายปีแล้ว ตอนนี้คงจะมีลูกไปแล้วมั้ง”

แม้จะบอกว่าประวัติการศึกษาของหรงหรงสู้กู้ม่านซือไม่ได้ แต่ด้านอื่นก็ไม่ได้แย่ไปกว่าหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าตา ทิ้งห่างจากหล่อนไปหลายขุมเลยทีเดียว

“แกกับหรงหรงโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจซึ่งกันและกัน หลังจากแต่งงานแล้ว ต้องมีความรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกัน  ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมแกถึงไม่ยอมแต่งงานกับหรงหรง”

แม่เฒ่าหวังเห็นสีหน้าของฟางจั๋วหรานหม่นหมองลง จึงรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยทันที “เรื่องหลังจากนี้ค่อยว่ากัน ค่อยว่ากัน”

หวังเหวินฟางมองแม่ของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ 

ลูกเลี้ยงของหล่อนกำลังจะมีอนาคตที่สดใส อายุแค่นี้แต่ได้กลายเป็นถึงรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ทั้งยังเป็นศัลยแพทย์อีกด้วย

เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ไม่บีบบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับหรงหรง แล้วจะให้เขาแต่งงานกับหญิงอื่นเหรอ?

ยิ่งแม่ของหล่อนอายุมากขึ้น นางก็ยิ่งเลอะเลือนมากขึ้นเท่านั้น อย่าว่าแต่การบังคับให้จั๋วหลานสู่ขอหรงหรงเลย เพราะเรื่องนั้นแทบจะมองไม่เห็นหนทางเช่นกัน !

คำพูดไม่ต้องเอื้อนเอ่ยมากความ แม้จะมีคุณยายคอยไกล่เกลี่ย แต่ฟางจั๋วหรานก็ไม่อยากคิดถึงภาพหลังจากนี้ เขาไม่สนใจของว่าคุณยายจะทุกข์ระทมเพียงใด ยืนหยัดแต่จะจากไปเท่านั้น

กระทั่งเดินมาถึงถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยสายลมที่เหน็บหนาวเสียดขั้วกระดูก เขาซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อ กระทั่งนึกได้ว่ายังมีเกาลัดคั่วที่หญิงงามผิวคล้ำผู้นั้นห่อมาให้อยู่ในกระเป๋า

นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาเอาแค่เรียกหลินม่ายว่าหญิงงามผิวคล้ำอยู่ในใจ เพราะเขาไม่รู้ชื่อของหล่อน

หล่อนมีหน้าตาสะสวย องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้างดงามรับกันดี รูปร่างสูงโปร่งเอวบางอรชร ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อเล่นแบบนี้ให้หล่อน

เขาหยิบเกาลัดถุงนั้นออกมาชิมหนึ่งเม็ด สัมผัสได้ถึงรสหอมหวานหนึบหนับ จู่ ๆ ก็มีภาพใบหน้าของสองแม่ลูกผิวคล้ำกำลังต้องลมหนาวจนหน้าแดงระเรื่อและแตกระแหงไม่น้อย

ดังนั้นเขาจึงเดินไปซื้อครีมตลับหอย(1)และครีมไป๋เชว่หลิง(2)อย่างละสองกล่องจากร้านค้าเล็ก ๆ แถวนั้นเพื่อสองแม่ลูกผิวคล้ำคู่นั้น

เดิมทีเขาอยากซื้อครีมเสวี่ยฮวาเกา(3)ให้ด้วย แต่คาดไม่ถึงว่าร้านขนาดเล็กแห่งนี้จะไม่มีครีมชนิดนี้และต้องไปซื้อถึงในเมือง ซึ่งเขาก็ไม่อยากเข้าห้างสรรพสินค้า

เขาเดินไปพลางครุ่นคิดไปพลางไปตลอดทาง หญิงงามผิวคล้ำผู้นั้นดูท่าทางน่าจะมีอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์ ประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี แต่กลับเป็นเด็กสาวที่ดูโตขนาดนี้

การมีลูกตอนอายุน้อยแค่นี้ นับว่าเป็นความลำบากอันใหญ่หลวง!

ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นใจสองแม่ลูกผิวคล้ำคู่นั้น

แม้ว่าจะถูกคุณป้าที่เข้ามาเอาเปรียบผู้นั้นสร้างปัญหาไปฉากหนึ่ง แต่หลินม่ายก็ยังขายเกาลัดจนหมดเกลี้ยงก่อนบ่ายสามโมงตรงเสมอ

ในตอนที่เก็บแผงนั้น จู่ ๆ แม่เฒ่าผางก็ได้เอ่ยขอโทษหลินม่ายว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ฉันไม่ได้ออกหน้าให้เธอ เพราะฉันอยู่ที่นี่ การล่วงเกินอาจจะสร้างความลำบากใจให้กับครอบครัวของฉัน ไม่เหมือนเธอ ต่อให้โดนล่วงเกิน ก็ทำได้แค่ตบก้นแล้วเดินผ่านไป”

หลินม่ายยิ้ม “มีคนช่วยฉันนับว่าโชคดี ไม่มีใครช่วยฉันนับว่ายุติธรรม คุณย่าผาง คุณไม่ต้องตำหนิตัวเองเพราะเรื่องนี้หรอกค่ะ คุณย่าไม่มีหน้าที่ต้องมารับหน้าให้ฉัน”

แม่เฒ่าผางจึงได้วางใจลง

นางกลัวว่าหลินม่ายจะลงโทษนางด้วยการไม่ตั้งแผงลอยหน้าประตูบ้านของนาง แบบนั้นนางจะสร้างเงินมหาศาลได้อย่างไร!

โต้วโต้วเองก็ไม่มีความสุขนับตั้งแต่ถูกคุณป้ามหาภัยที่ไม่ฟังเหตุผลคนนั้นดุด่าแล้ว

หลังจากเก็บแผงลอยเสร็จแล้ว หลินม่ายก็พาหล่อนไปซื้อซี่โครงหมูสองชั่ง ตั้งใจจะกลับไปทำซี่โครงหมูราดน้ำแดงให้ทุกคนได้กิน หลังจากได้กินอาหารอันโอชะแล้ว สภาพจิตใจจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

อาหารอันโอชะคือยาบำรุงที่ดีที่สุด

สองแม่ลูกพากันเดินไปยังสถานีรถไฟ หลินม่ายเบิกบานใจที่ได้หยอกเย้าโต้วโต้ว กระทั่งถามหล่อนว่าชอบกินซี่โครงหมูน้ำแดงไหม

สาวน้อยเงยหน้ามองเธอด้วยแววตาน่าสงสาร “หนูไม่เคยกินซี่โครงหมูน้ำแดง”

หลินม่ายลูบศีรษะของหล่อนอย่างแผ่วเบา “เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้กินแล้ว”

โต้วโต้วตอบ ‘อื้อ’  แล้วจู่ ๆ ก็โผเข้ามาร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเธอ “คุณแม่ หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ หนูมีพ่อแล้ว แต่คุณพ่อดันเกิดอุบัติเหตุ แล้วไม่ได้กลับบ้านอีกเลย”

เมื่อหลินม่ายเห็นหล่อนยังเป็นกังวลกับคำว่า ‘เด็กเหลือขอ’ เดาว่าต้องถูกผู้คนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ล้อว่าเป็นเด็กเหลือขอแน่นอน ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้

เธอตบปลอบแผ่นหลัง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่รู้ แม่รู้ทุกอย่าง ถ้าใครหน้าไหนกล้าด่าลูกว่าเด็กเหลือขอ ลูกต้องตักเตือนเขา ว่าห้ามด่าลูก ขืนด่าลูกอีก ลูกก็ตีเขาเลย”

โต้วโต้วถามด้วยเสียงสะอื้น “ถ้าตีไม่ได้จะทำยังไงคะ?”

“ถ้าตีไม่ได้ก็อย่าตี ไปหาพ่อแม่เขา บอกว่าเขาตีลูก เป็นฝ่ายถูกกระทำก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะใช้สมอง”

แม้โต้วโต้วจะดูไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็ยังพยักหน้า 

ฟางจั๋วหรานเดินมายังบริเวณแผงลอยของหลินม่าย และเห็นว่าไม่มีเงาของสองแม่ลูกผิวคล้ำ แถมแผงลอยก็ถูกเก็บไปแล้ว

คิ้วรูปดาบของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามแม่เฒ่าผางที่กำลังขายน้ำชาอยู่ว่า “คุณยาย ผู้หญิงเจ้าของแผงลอยข้างแผงคุณยายเมื่อกี้นี้ ทำไมถึงไม่ขายแล้วล่ะครับ?”

แม่เฒ่าผางคิดว่าเขามาซื้อเกาลัด “ไม่ใช่ไม่ขาย แต่วันนี้หล่อนขายหมดแล้วต่างหาก ถ้าคุณอยากกินค่อยมาใหม่พรุ่งนี้นะ”

ฟางจั๋วหรานคลำหาครีมหอยตลับและครีมไป๋เชว่หลิงในกระเป๋าเสื้อพลางครุ่นคิดในใจ ตัวเองก็งานยุ่งขนาดนี้ ไม่รู้เอาเวลาไหนไปซื้อของบำรุงให้กับสองแม่ลูกหญิงงามผิวคล้ำคู่นั้น

ดังนั้นจึงได้มอบของบำรุงผิวเหล่านี้ให้แก่แม่เฒ่าผาง ให้นางช่วยส่งมันให้แก่สองแม่ลูกหญิงงามผิวคล้ำคู่นั้น

วันที่สอง สองแม่ลูกเปิดแผงขายก่อน แม่เฒ่าผางรีบนำของบำรุงที่ฟางจั๋วหรานให้มามอบให้หลินม่าย

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณย่า เอามาให้ฉันทำไมคะ?”

แม่เฒ่าผางยิ้มพลางโบกมือไปมา “ไม่ใช่ของฉันหรอก เมื่อวานมีหนุ่มหล่อที่เคยช่วยออกหน้าให้เธอคราวที่แล้วซื้อมา แล้วให้ฉันนำมาให้เธอ”

ชายหนุ่มที่ออกหน้าให้เธอ?

หรือว่าจะเป็นฟางจั๋วหราน?!

………………………………………………………………………………………………………………………..

[1]ครีมบำรุงผิวชนิดหนึ่ง ลักษณะเด่นคือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเปลือกหอย

[2]ครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่ง เป็นตลับบาง ๆ มีฝาตลับเป็นรูปนกนางแอ่น

[3]ครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่ง เป็นครีมที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เหมาะสำหรับฤดูหนาวอันแห้งและเย็น

สารจากผู้แปล

ถึงขั้นเปย์ครีมให้ม่ายจื่อเลยอะ นังหรงรู้เข้าจะอกแตกตายไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)