ตอนที่ 33 [1] เสียงเล่าจากสายลม [Part 5]

[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่

“เอาล่ะ ฉันขอถามเรื่องสัตว์ร้ายที่พวกคุณเคทไปเจอมาหน่อยได้หรือเปล่าคะ?”

หลังจากแช่น้ำ และมื้ออาหาร ทุกคนก็พักหายใจกัน ก่อนที่ฉันจะเริ่มบทสนทนา

ฉันประเมินอย่างคร่าวๆ เอาไว้แล้ว แต่ก็เผื่อไว้ก่อนดีกว่า

“อา มันดูเหมือนหมี แต่มีแขน 4 ข้าง ตัวของมันสูงกว่าฉันเกือบ 2 ศีรษะ ตัวใหญ่สุดๆ ไปเลยค่ะ”

คุณไอริสลุกขึ้นยืน ก่อนใช้มือไม้แสดงให้เห็นว่ามันใหญ่ขนาดนั้นเลย

ขนาดตัวของมันสูงกว่าคุณไอริส ที่ค่อนข้างจะตัวสูงอยู่แล้ว เกือบ 2 ศีรษะ แถมความกว้างก็เกือบ 1 เมตรเลย

“มีขนสีแดง แล้วก็พ่นไฟออกมาจากปากได้ ขนาดตอนที่ไอริสพยายามจะฟัน ก็ฟันเข้าไม่ได้ง่ายๆ แถมกรงเล็บของมันก็แข็งแกร่งพอจะปัดดาบของไอริสไปได้อย่างสบายๆ เลยด้วย”

“อ๊า! ดาบของฉันล่ะ!?”

ตอนที่คุณเคทอธิบาย คุณไอริสก็ร้องออกมาเสียงดัง แต่คุณเคทก็ทำแค่ส่ายหน้าอย่างอึดอัด

“ขอโทษนะ ไม่มีเวลาพอจะไปเก็บกลับมาเลย”

“―――นั่นสินะ เฮ้อ… ไม่เคยคิดเลยว่าจะเสียมันไป…”

คุณไอริสพูดอะไรไม่ออกไปพักนึง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าที่ดูน่าสงสารเลย

ขนาดในสถานการณ์แบบนั้น ก็ยังเก็บแค่แขนกลับมาได้ คุณเคทนี่ก็สุดยอดประมาณนึงเลยนะเนี่ย

ว่าแต่ว่า ลักษณะแบบนี้ ไม่ผิดแน่แล้วล่ะ

“ด้วยลักษณะแบบนั้น ถ้ายิ่งมีพิษด้วย ก็ต้องเป็นเฮล เฟลม กริซลีแน่นอนแล้วค่ะ พวกคุณเจอมันอยู่ห่างจากหมู่บ้านแค่ไหนนะคะ?”

“ไม่ได้ไกลขนาดนี่ ใช่มั้ย?”

คุณไอริสเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับคุณเคทเพื่อให้ช่วยยืนยัน

คุณเคทก็นึกอยู่ซักพัก ก่อนจะพยักหน้า

“ใช่ ถ้ามันไกลมาก คงช่วยไอริสมาไม่ได้หรอก ถึงตอนนั้นจะวิ่งมาแบบสุดชีวิต แต่คิดว่าไม่ได้วิ่งถึง 20 นาทีนะ”

“ใกล้จังเลย… คุณซาราสะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

“อื~ม… ในฐานะอสูรร้ายแล้ว มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นนะคะ แต่ว่า…”

คุณไอริสกลอกตาให้กับคำพูดของฉันเลย

“ฮะ!? ไม่ใช่ว่าเพราะแบบนั้น มันถึงแข็งแกร่งเลยไม่ใช่เหรอคะ!?”

“ค่ะ ในฐานะที่เป็นอสูรร้ายนะคะ”

อสูรร้ายน่ะต่างจากสัตว์ร้ายนะ

มันไม่ได้มีคำนิยามที่ชัดเจน แต่โดยทั่วไป สิ่งมีชีวิตที่นายพรานไม่สามารถจัดการได้ และแสดงความเป็นภัยต่อมนุษย์ ก็จะถูกรวมเรียกว่า [อสูรร้าย]

พูดอย่างง่ายก็ [ถ้ามันแข็งแกร่ง มันก็เป็นอสูรร้าย]

เฮล เฟลม กริซลีก็คือหนึ่งในอสูรร้ายนี่แหละ แต่ขนาดตัวที่คุณไอริสแสดงให้เห็น เป็นแค่ประมาณตัวขนาดปานกลางของเฮล เฟลม กริซลี

พละกำลังของมันไม่ได้มากมายอะไร ในมุมมองของฉันแล้ว มันไม่ได้เป็นภัยอันตรายขนาดนั้น

“อสูรร้าย น่ากลัวจัง…”

“พวกคุณไอริสเพิ่งเคยเจออสูรร้ายเป็นครั้งแรกงั้นเหรอคะ?”

“อ่า เห็นแบบนี้ ฉันก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองอยู่บ้างนะคะ แต่…”

เมื่อทั้งคู่พยักหน้าตอบคำถามของฉัน คุณไอริสกับคุณเคทก็ดูจะสลดลงไปเล็กน้อย

แต่ ถ้าเกิดเจอกับมันเป็นครั้งแรก ก็จะเป็นแบบนี้งั้นเหรอ?

ถึงยังไง ไม่ใช่แค่เป็นอสูรร้ายนะที่จะมองว่ามันเป็น [ภัย] น่ะ

“ตามปกติ มันควรจะอาศัยอยู่ลึกเข้าไปนะคะ… แต่ถ้ามันเข้ามาในหมู่บ้านล่ะก็ ต้องอันตรายแน่นอน”

“ค- คุณซาราสะคะ พวกเราควรจะทำยังไงดีคะ? พวกมันจะไม่มาที่นี่ใช่มั้ยคะ?”

“มันมาแน่ คิดว่านะ…?”

“เอ๋!?”

ฉันก็อยากจะปลอบโลเรียจังที่ดูจะกังวลอยู่ตอนนี้นะ แต่ฉันโกหกไม่ได้จริงๆ

พอฉันตอบเธอไปตามตรง โลเรียจังก็กระวนกระวาย จนแสดงอาการลนลานออกมาให้เห็นเลย

ถึงโลเรียจังจะไม่ได้เห็นเฮล เฟลม กริซลีตัวเป็นๆ แต่เธอก็ได้เห็นอาการบาดเจ็บที่คุณไอริสต้องเจอมาแล้ว

พอมองว่าขนาดเธอสามารถต่อสู้เองได้ ยังเฉียดตายขนาดนี้ ก็ต้องกลัวจนตัวสั่นอย่างอดไม่ได้นั่นแหละ

“ถ- ถ้ายังงั้น ลองถามจากท่านเจ้าครองที่ดูมั้ยคะ?”

“ฉันเกรงว่าถ้าไปตอนนี้ จะทันหรือเปล่า…”

สถานการณ์ตอนนี้ ยังอยู่ที่ว่า ‘มีอสูรร้ายอยู่ในป่า’ ซึ่งมันส่งผลแค่กับนักเก็บสะสมที่เข้าไปในป่า นักเก็บสะสมเข้าป่าไปโดยที่เข้าใจถึงอันตรายแบบนั้นอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็เลยไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เลยในมุมมองของเจ้าของที่เลย

การจะเคลื่อนย้ายกำลังทหารต้องใช้เงิน มันก็เลยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะทำแบบนั้นแค่ ‘เพราะดูเหมือนจะมีอันตราย’ น่ะ

เจ้าของที่ที่มีความสามารถ จะจัดการกับปัญหาได้ก่อนความเสียหายจะเข้ามาถึงชาวบ้าน

เจ้าของที่ธรรมดาๆ จะจัดการกับปัญหาหลังจากความเสียหายเข้ามาถึงชาวบ้านไปแล้ว

เจ้าของที่ที่ไร้ความสามารถ ต่อให้ชาวบ้านเจอกับความเสียหายจนย่อยยับก็ยังไม่ใส่ใจเลย

ยิ่งกว่านั้น ถ้าเกิดหมู่บ้านแห่งหนึ่งหายไป ก็จะเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง พระราชาอาจจะลงโทษเขาไม่ทางใดก็ทางนึง เพราะงั้น การปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น จะแสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถอย่างถึงที่สุดเลย แต่ว่า…

“เธอมีความรู้สึกยังไงกับเจ้าของที่ที่นี่บ้างล่ะ?”

โลเรียจังส่ายหัวให้กับคำถามของฉัน

ก็สมกับวัยของโลเรียจังนั่นแหละ เธอยังไม่รู้เรื่องแบบนี้สินะ

กลับเป็นคุณไอริสที่ตอบคำถามของฉันแทน

“ภาพจำของฉัน คิดว่าเป็นพวก ‘ธรรมดาๆ ค่อนไปไร้ความสามารถ’ นะคะ”

“ไม่จริง…”

ด้วยการประเมินอย่างค่อนข้างไร้ปราณีของคุณไอริส โลเรียจังก็ก้มหน้าลงอย่างหม่นๆ เลย

จากมุมมองของฉัน เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอาจจะเป็นคนรู้จักของฉันก็ได้ แต่จากมุมมองของโลเรียจัง ที่เกิดและโตมาในหมู่บ้านแห่งนี้ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็คือบรรดาคนรู้จักที่เธอได้เจอมาโดยตลอด…

แต่ก็นะ ต่อให้เป็นจากในมุมมองของฉัน ความเป็นไปได้ที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจะเป็นคนที่ฉันรู้จักจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย

คนที่เสี่ยงที่สุดก็คือพรานอย่างคุณแจสเปอร์นี่แหละ เพราะเขาอยู่ใกล้กับป่ามากเลย

จะทิ้งเพื่อนบ้านของตัวเองเนี่ย มันเป็นเรื่องเจ็บปวดเกินไปนะ…

“ดีล่ะ ฉันควรจะไปดู แล้วใช้มันเป็นวัตถุดิบซักหน่อยแล้วล่ะนะ?”

“““……เอ๊ะ?”””

ทั้ง 3 คนอุทานออกมาเสียงดังอย่างประหลาดใจเลย พอได้ยินคำพูดของฉัน

“ไม่ใช่แล้วค่ะ คุณผู้จัดการ นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกมาได้แบบสบายๆ แบบนั้นเลยนะคะ?”

พอคุณเคทชะงักไป เธอก็ส่ายมือรัวๆ แล้วก็ทำสีหน้าว่า ‘นั่นมันบ้าชัดๆ เลย’ แต่แค่ครึ่งทาง สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปเป็น ‘อาเระ?’ ให้กับฉันแทน หลังจากที่เห็นว่าฉันก็ยังใจเย็นอยู่

แต่โลเรียจังไม่ได้มีท่าทางแบบนั้นเลย เธอกลับกอดฉันไว้แน่นพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า

“จริงด้วยค่ะ! ฉันไม่อยากให้มีใคร… ต้องได้รับบาดเจ็บนะคะ! ยิ่งเป็นคุณซาราสะด้วยแล้ว!”

โลเรียจังคิดว่าถ้าเกิดเฮล เฟลม กริซลีบุกเข้ามาในหมู่บ้าน มันจะไม่ได้จบแค่บาดเจ็บแน่ๆ เธอก็เลยลังเลอยู่ แต่คำพูดที่เธอพูดออกมาก็เป็นความเป็นห่วงเรื่องของฉัน

ฉันดีใจกับคำพูดพวกนี้มากเลยนะ แต่จะยุ่งยากนิดนึงแล้วล่ะถ้าเกิดเธอเอาจริงเอาจังกับมันขนาดนี้

“ไม่หรอก ไม่ใช่อะไรที่ต้องกังวลกันหรอกนะ…”

“นายท่านผู้จัดการ… หรือว่าจริงๆ แล้ว จะแข็งแกร่งมากงั้นเหรอคะ?”

“เทียบอาจารย์ไม่ติดเลยค่ะ แล้วจะให้ตัวเองพูดว่าตัวเองแข็งแกร่งนี่ก็น่าอายอยู่ แต่ว่า แค่หมีตัวเดียว ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาหรอกนะคะ”

ปัญหาคือจะฆ่ามันยังไงดี

จะใช้เวทมนตร์ก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ แต่ไหนๆ ช่วงนี้ ฉันก็กลับมาซ้อมฝึกดาบแล้ว ทำไมไม่ลองล่ามันด้วยดาบดูล่ะ?

แต่ว่า พอคิดเรื่องวัตถุดิบเล่นแร่แปรธาตุด้วยแล้ว ก็ต้องพิจารณาเรื่องวิธีการฆ่ามันเข้าไปด้วย

ถ้าเสียบที่หัวใจ ก็จะเอาหัวใจมาใช้เป็นวัตถุดิบไม่ได้ แต่ถ้าโจมตีใส่ที่หัว ก็เอาลูกตาหรือวัตถุดิบอื่นรอบๆ มาไม่ได้อีก

ถ้าฟันให้ถูกจุด แล้วตั้งเป้าหมายไปที่การเสียเลือด มันก็ไม่ส่งผลเสียกับการเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบเล่นแร่แปรธาตุหรอก แต่ส่งผลเสียเต็มๆ ในเรื่องรสชาติของเนื้อเลย เพราะมันจะอาละวาดไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะตาย

ถ้าตัดคอให้เลือดไหลออกมาในทีเดียว ก็จะตายในเวลาอันสั้น แต่มูลค่าของขนก็จะลดลงไป

จะเอาทุกอย่างคงจะยากเกินไป ต้องยอมเสียบางอย่างไปงั้นสินะ

―――ระหว่างที่ฉันอธิบายเรื่องพวกนี้อยู่ สายตาของทั้ง 3 คนก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากตกใจเป็นดูทึ่งแบบแปลกๆ ไปซะแล้ว ไหงงั้นล่ะ?

“อึม… นักเล่นแร่แปรธาตุเนี่ย แข็งแกร่งจริงๆ ด้วยสินะคะ?”

“อ่า เปล่าหรอก แต่ละคนก็ต่างกันไปนี่ ใช่มั้ยล่ะ? เพราะคนที่บอกว่าทักษะภาคสนามเอาแค่พอผ่านๆ ก็พอแล้วก็มีเหมือนกัน”

นักเล่นแร่แปรธาตุจำเป็นต้องมีทักษะการควบคุมพลังเวทขั้นสูง เพราะงั้น ถ้าเป็นเรื่องเวทมนตร์ล่ะก็ ทุกคนก็มีความสามารถระดับนึงเลย แล้วทักษะการควบคุมพลังเวทก็มมีผลกับการใช้เวทมนตร์โจมตีด้วย

แต่ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นสามารถต่อสู้ได้หรือเปล่าด้วยนะ

ที่โรงเรียน พวกเราแทบจะไม่ได้เรียนเวทมนตร์โจมตีเลย

กลับกัน เรามีหลักสูตรในการใช้อาวุธอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องพยายามอะไรมากขนาดนั้น อย่างน้อยที่สุด ถ้าสามารถป้องกันตัวเองได้ ก็ได้หน่วยกิตแล้วล่ะ

ตามข้อแนะนำแล้วเนี่ย ตอนที่เราจ้างคนคุ้มกันออกไปเก็บรวบรวม ก็ไม่ควรจะให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงด้วย

อะไรที่มากกว่านั้นก็แล้วแต่คนไปแล้วล่ะ แขนของฉันถึงได้หนุบๆ หนับๆ แบบนี้ไง

“ของฉันเนี่ย… ก็ เทียบกันในรุ่นแล้วก็ถือว่าทำได้ดีอยู่นะ”

“ง- งั้นเหรอคะ… แต่ว่า จะให้ผู้จัดการร้านออกไปคนเดียวนี่มันก็…”

“อา ว่าแล้วเชียว ฉันไปคนเดียวก็แบกซากมันกลับมาบ้านไม่ได้สินะ งั้น เดี๋ยวฉันไปจ้างใครซักคนมาช่วยแบกสัมภาระก็แล้วกันนะ?”

เรื่องน้ำหนักน่ะ ใช้การเสริมแกร่งร่างกายจัดการเอาก็ได้ แต่เรื่องความต่างของร่างกายเนี่ยน่าจะยาก

ในเมื่อต้องไปตั้งไกลเพื่อไปล่ามัน จะหั่นมันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่กระเป๋าเนี่ย เสียของแย่เลย

“ถ- ถ้าอย่างนั้น ฉันทำเองค่ะ!”

“เอ๊ะ? แต่ว่า คุณไอริส ร่างกายยังไม่สมบูรณ์ดีเลยไม่ใช่เหรอคะ?”

“ไม่เลยค่ะ! ไม่เป็นไรแล้ว! แค่แบกสัมภาระเท่านั้นเอง ไม่ใช่ปัญหาใดๆ เลยค่ะ!”

“เออ…”

พอฉันหันไปมองที่คุณเคทอย่างลำบากใจหน่อยๆ คุณเคทก็แค่พยักหน้า ‘เข้าใจแล้วค่ะ’ เท่านั้น

โล่งอกไปที ก็นะ จะให้พาใครที่กำลังฟื้นไข้ไปด้วยนี่มันก็-―――

“ให้เป็นหน้าที่ฉันเองค่ะ ฉันจะร่วมไปด้วยนะคะ”

“เอ๋!?”

ไม่ใช่แล้ว! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะขอเลยน้า!

ฉันจะขอให้คุณช่วยหยุดเอาไว้ทีต่างหากเล่า!

แล้ว โลเรียจังก็ถามฉัน ระหว่างที่กำลังกังวลอยู่ว่าจะทำยังไงดี

“แต่ว่า คุณซาราสะคะ คุณซาราสะจะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ? ถ้าเกิดมีอันตรายล่ะก็…”

พอเห็นโลเรียจังดูไม่สบายใจนิดหน่อย ฉันก็ตระหนกไปหมด ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างหนักแน่นเลย

“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว! สำหรับฉัน เจ้าหมีแค่นั้นน่ะเรื่องกล้วยๆ อยู่แล้ว มันก็แค่ระดับเครื่องเคียงในจานอาหารเท่านั้นแหละ! ต่อให้มีภาระติดตัวก็ยังไม่มีปัญหาเลย”

“…ภาระ”

คำพูดที่เผลอหลุดปากฉันออกไปแบบไม่ทันตั้งใจทำเอาคุณไอริสหน้าเจื่อนไปทันทีเลย

“อ่า~~ คุณผู้จัดการคะ จะไม่ให้พวกฉันตามไปด้วยงั้นเหรอคะ?”

“อะ เปล่าค่ะ ฉันอยากได้คนไปช่วยแบกเจ้าหมีนั่นกลับมาด้วย… เออคือ คุณไอริสคะ ยังไงตอนนี้ ขอให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ เราจะไปกันค่ะ! สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ! ถ้างั้นๆ! รีบเข้านอนซะตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วฟื้นฟูกำลังกายขึ้นมาเยอะๆ เลยนะคะ!”

“เอะ? เอ๊ะ?”

ในเวลาแบบนี้ รีบดันให้ผ่านไปเลยดีกว่า

ฉันไล่คุณไอริสที่กำลังซึมอยู่ ผลักเธอไปนอนที่เตียงโดยไม่ทันได้คิดอะไรเลย

ฉันหันหลังไปหาคุณเคทกับโลเรียจังที่กำลังยิ้มแห้งๆ กันอยู่ และเริ่มเตรียมตัวสำหรับการล่าในวันพรุ่งนี้

TN: นิสัยไม่ดีเลยนะ ซาราสะจัง จะมัวแต่เอาใจโลลิคนเดียวไม่ได้นะ 555