บทที่ 11 ยาตกเลือด

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 11 ยาตกเลือด

“หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” ฉินเสวี่ยเหลียนเชิดหน้าขึ้นนิดหน่อยและย่อตัวเล็กน้อย

ฮองเฮาเชิดสายตาขึ้นเล็กน้อย และแค่นเสียงดูแคลนอย่างเย็นชาในใจ หากเทียบกับการคุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อมของชายาอ๋องหลี่ชินหลังจากได้รับของกำนัลแล้ว ฉินเสวี่ยเหลียนผู้นี้ไม่มีความเคารพเลยสักนิด

“ฟางรั่ว นำยาตกเลือดที่ข้าตั้งใจปรุงมาให้คุณหนูใหญ่ฉิน”

ยาตกเลือด?!

สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองของฉินเสวี่ยเหลียนเต็มไปด้วยความตกตะลึง สายตาฉายแววเหลือเชื่อ

นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตนเองด้วยสัญชาตญาณและถอยหลังกรูดด้วยความกลัว “ฮองเฮาทรงทำเช่นนี้เพราะเหตุใด หม่อมฉันได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาทแล้ว ในท้องของหม่อมฉันคือลูกขององรัชทายาท หลานขององค์ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ย…”

“มหาเสนาบดีฉินยุ่งกับราชการจนละเลยการจัดการเรื่องภายในบ้าน จนลูกสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดีก่อเรื่องอื้อฉาวอย่างท้องก่อนแต่งซะได้ ข้าเพียงแต่ช่วยจัดการเรื่องนี้แทนเขาเท่านั้น”

สิ้นเสียงฮองเฮา ฟางรั่วก็ยกยาน้ำที่มีสีดำขลับขึ้นมาหนึ่งถ้วย

ฉินเสวี่ยเหลียนหวาดกลัวมาก ตั้งท่าจะหนี ทว่ายังไม่ทันได้หันหลังกลับก็มีนางกำนัลสามสี่คนเข้ามาจับแขนนางไว้แน่น

“ดูท่าคุณหนูใหญ่ฉินไม่คิดจะดื่มยาด้วยตนเอง” ฟางรั่วยื่นมือไปบีบคงฉินเสวี่ยเหลียน “ไม่เป็นไร ข้าน้อยจะช่วยคุณหนูใหญ่ฉินเอง”

แกร่ก!

คางของฉินเสวี่ยเหลียนดังเปราะ ขากรรไกรค้างไปแล้ว

ฟางรั่วกรอกยาทั้งถ้วยลงไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย

นางกำนัลที่ขึงตัวฉินเสวี่ยเหลียนไว้ถอยออกไป ฉินเสวี่ยเหลียนกุมคางที่ขากรรไกรค้างไปด้วยของตน และพยายามล้วงคอหวังจะอ้วกเอายาที่กินเข้าไปออกมา

“ฟางรั่ว ข้าเหนื่อยแล้ว ส่งคุณหนูฉินใหญ่กลับไปเสียจะได้ไม่เปื้อนตำหนักเฟิ่งเสียง”

“เพคะ”

รถม้าแล่นไปอยู่หน้าประตูใหญ่จวนมหาเสนาบดีอย่างรวดเร็ว

“คุณหนูใหญ่จวนมหาเสนาบดีล้มขาพลิกระหว่างทางกลับ” นางกำนัลโยนฉินเสวี่ยเหลียนที่หมดสติไปลงกับพื้นและหันหลังจากไป

ท้องของฉินเสวี่ยเหลียนปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด นางนอนหมอบอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือด

ตอนที่เด็กรับใช้จวนมหาเสนาบดีออกมาตามเสียงเรียก ที่หน้าประตูก็ได้มีชาวบ้านออกมามุงดูเป็นวงกว้าง

ภายในระยะเวลาไม่นาน ข่าวบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีท้องก่อนแต่ง หกล้มจนตกเลือดก็แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนต้าเซี่ย

อีกด้าน ฉินปู้เข่อยังรอถวายบังคมพระสนมเสียนผินในวังอยู่

ตำหนักถังหลีอยู่ห่างไกลมาก ฉินปู้เข่อตามนางกำนัลนำทางไปพักใหญ่กว่าจะถึง

ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักรู้สึกเพียงว่าข้างในเงียบเชียบมาก ตอนเดินผ่านสวนลานฉินปู้เข่อพบว่าที่นี่ต่างจากสวนลานด้านหน้าของตำหนักเฟิ่งเสียง สวนลานด้านหน้าตำหนักถังหลีมีสมุนไพรปลูกไว้มากมาย

ไม่มีกลิ่นหอมดอกไม้ในสวนลานเลยสักนิด แต่กลับมีกลิ่นหอมสดชื่นของใบมิ้นอบอวลไปทั่ว

ฉินปู้เข่อถวายบังคมอยู่กลางตำหนัก หญิงสาวเงยหน้ามองพระสนมเสียนผินอย่างคาดประเมิน นางเป็นสตรีที่มีอายุราว ๆ 40 ปี บุคลิกอ่อนโยน มีจิตใจดีงามเฉกเช่นฐานะของนาง เพียงมองก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นสตรีที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น

“ขยับมาให้ข้าดูหน่อย”

ฉินปู้เข่อลุกขึ้นตามคำสั่งและเดินไปด้านหน้าสามสี่ก้าว ขณะที่จะก้าวขึ้นบันไดก็โดนกุ้ยจือโมโม่ที่ติดตามข้างกายพระสนมเสียนผินขวางไว้เอาไว้

“งดงามเหลือเกิน มิน่าล่ะ ถึงถูกเรียกขานว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย” ปากพระสนมเสียนผินเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก “เมื่อคืนต้องกลายมาเป็นชายาอ๋องหลี่ชินแทนที่จะได้เป็นว่าที่ชายาองค์รัชทายาท คงจะน้อยใจมากล่ะสิ”

“ไม่น้อยใจเลยเพคะ ไม่น้อยใจเลยสักนิด หม่อมฉันคิดว่าอ๋องหลี่ชินดีมากเพคะ” ฉินปู้เข่อไม่ปิดบังความชอบที่ตนเองมีต่อหมี่โม่หรู่เลยสักนิด

พระสนมเสียนผินเงยหน้าสบตาเข้ากับดวงตาเปล่งประกายของฉินปู้เข่อ ดูท่าแล้วคุณหนูรองฉินผู้นี้คงจะไม่ได้โกหก ท่าทางนางจะชอบม่อหรู่มากจริง ๆ

หากแต่นางยังคงข้องใจอยู่ จากเดิมที่จะมีสามีเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง และสุขภาพแข็งแรง กลับกลายเป็นภรรยาของท่านอ๋องขี้โรค ผู้ใดจะเชื่อว่านางไม่มีความคับข้องใจใด ๆ เลย

ระหว่างที่ทั้งสองเอ่ยถามความเป็นไปของกันและกัน นางกำนัลฝูหลิงก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนและเอ่ยว่า “พระสนมเพคะ แย่แล้ว! ฝ่าบาทกำลังตำหนิท่านอ๋องหลี่ชินอยู่เพคะ

“ตำหนิ? เหตุใดกัน?” พระสนมเสียนผินได้ฟังเช่นนั้นก็มีสีหน้าร้อนใจ

ฝูหลิงดูเหมือนจะเพิ่งเห็นฉินปู้เข่อที่อยู่อีกด้าน หลังจากย่อเข่าคำนับนางเล็กน้อยจึงพูดออกมาอย่างกระอึกกระอัก “เพราะเมื่อวานท่านอ๋องของเราสลับคู่หมั้นกับองค์รัชทายาทอย่างกะทันหัน และจัดพิธีแต่งงานโดยพลกาล…”

“แม้ว่าเรื่องสลับคู่หมั้นเมื่อคืนนี้จะเป็นความคิดขององค์รัชทายาทและมหาเสนาบดีฉิน อีกทั้งองค์รัชทายาทยังเป็นผู้จัดพิธีแต่งงานเอง ทว่าฝ่าบาทไม่แม้แต่จะทรงตำหนิองค์รัชทายาทสักประโยค แต่กลับดุด่าท่านอ๋องไม่หยุด…”

ไม่ทันจะสิ้นเสียง ฉินปู้เข่อก็ลุกขึ้น คำนับต่อพระสนมเสียนผินก่อนจะหันไปหานางกำนัลว่า “ฝูหลิง รีบพาข้าไปที่พระตำหนักหยางซินเดี๋ยวนี้”

บรรยากาศภายในพระตำหนักหยางซินนั้นอึมครึม อากาศภายในเย็นเยียบเสียบแทงเข้ากระดูกราวกับความหนาวเหน็บในยามเช้าของฤดูหนาว

บนพื้นของพระตำหนักเต็มไปด้วยเศษซากกระดาษและเครื่องแก้วต่าง ๆ แตกกระจายเต็มพื้น บ่งบอกถึงความเกรี้ยวกราดของเจ้าของพระตำหนัก

บนเก้าอี้เลื่อนว่างเปล่า ร่างกายที่อ่อนแอของหมี่โม่หรู่โดนกระชากลงมาจากเก้าอี้ เดิมทีสองขาที่ใช้งานไม่ได้ของเขาเวลานี้โดนลงโทษให้คุกเข่ากลายเป็นว่าร่างครึ่งท่อนกองอยู่ที่พื้น เหลือเพียงแผ่นหลังตั้งตรง

ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยนั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หมี่เซวียนอีกด้านกุมมือเข้าด้วยกันและยืนนิ่งราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง

เสียงเอะอะดังขึ้นมาจากหน้าประตูพระตำหนัก ฮ่องเต้เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ขันทีด้านข้างจึงรีบกราบทูล “ฝ่าบาท คุณหนูรองแห่งจวนฉิน ฉินปู้เข่อขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ให้เข้ามา” ฮ่องเต้หลุบสายตาลง เผยสีหน้าที่คาดเดาความคิดไม่ได้

ฉินปู้เข่อพุ่งตรงเข้ามาในพระตำหนัก คุกเข่าลงบนพื้นหินเสียงดังปึ้งพร้อมก้มศีรษะคำนับแนบพื้น “ฝ่าบาท การถอนหมั้นที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นความคิดของหม่อมฉันเองเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋องหลี่ชิน”

ฮ่องเต้ปรายสายตามองหญิงสาวอย่างเย็นชา ฉินปู้เข่อผงะไปเล็กน้อยก่อนใบหน้าจะพลันซีดลง ในโลกที่อำนาจกษัตริย์สูงสุดแห่งนี้ นางเป็นเพียงลูกอนุไปเอาความกล้าจากไหนถึงก้าวเข้ามาในพระตำหนักหยางซินแห่งนี้!

ว่ากันตามตรง แม้แต่สิทธิ์ในการแก้ต่างแทนหมี่โม่หรู่ การรับความผิดแทนเขานางก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย

“ฉินปู้เข่อ? ก้าวขึ้นมาสิ”