“พวกเจ้า…เจ้าว่าพวกเจ้าสองคนจะซื้อบ้าน? คือว่า ใช่อย่างที่ข้าคิดไหม” สตรีชาวนากล่าวจบก็ตบหน้าผากตนเอง จริงๆ เลย พอเห็นสาวงามราวเทพธิดาก็คิดแต่จะดึงมาแต่งงานกับลูกชายคนรองตน พอสมองคิดได้ก็ใจร้อนจับคู่ทันทีให้ต้องเสียหน้า แต่ก็แค่นั้น มีอะไรต้องอายกัน

“…” ซูสุ่ยเลี่ยนมองหญิงชาวนาสูงวัยอย่างไม่เข้าใจ อะไรเรียกว่าอย่างที่นางคิด นางกำลังพูดอะไรกันนี่

“โอย คือว่าอะไรดี ข้าดูแม่นางเกล้าผมแบบสตรียังไม่ออกเรือน คาดว่าน่าจะยังไม่ออกเรือน แต่ได้ยินแม่นางบอกว่าจะซื้อบ้านตั้งรกรากกับคุณชายท่านนี้ คือว่า คือว่านะ พวกเจ้าคิดจะมาแต่งงานที่เมืองฝานฮัวเราหรือ”

……

“คือว่า…ขอโทษ ข้าวู่วามเกินไป” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าลงไหล่ลู่ เอ่ยขอโทษหลินซือเย่าเบาๆ

ในตระกูลเหลาตอนนี้เงียบสนิท มีแต่นางกับหลินซือเย่าสองคน

เหลาโหย่วคุนอาศัยจังหวะที่อาทิตย์ยังขึ้นไม่ตรงหัว ไม่ร้อนจัด แบกจอบลงนา นางเหลารับหน้าที่ไปลองสอบถามบ้านตระกูลฮัวทางตะวันออกสุดของเมืองฝานฮัว

ก่อนหน้านี้ ซูสุ่ยเลี่ยนเจอป้าเหลาเอาแต่พร่ำเรื่อง ‘แต่งงาน’ ไม่หยุด ฟังจนงงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

แต่ตอนนี้สองลุงป้าตระกูลเหลาถูกนางหยุดไปด้วยวาจาตรงไปตรงมาของนางจนพูดไม่ออกไปแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนแอบลอบมองสีหน้าหลินซือเย่า ใบหน้าหล่อเหลาไร้ความรู้สึก แทบมองไม่ออกว่าเขาโมโหหรือไม่

หลินซือเย่าย่อมไม่โมโห กลับกัน ในใจเขาถึงกับลิงโลดยินดี

ใช่แล้ว ยินดี ตอนเขาได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดงกล่าวกับป้าเหลาตรงๆ ว่า ‘ใช่’ ‘คิดแต่งงานตั้งรกราก’ในใจเขาก็รู้สึกได้ถึงความพึงพอใจในชีวิตอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับก้มหน้าเอ่ยขอโทษตน

ขอโทษ? หลินซือเย่าก้มหน้าลงมอง สองมือกำแก้วชาแน่น ทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนมองไม่ออกสักนิดว่าเขาคิดเช่นไร

ซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้ว แอบโมโหตัวเองที่วู่วามเกินไป ปล่อยให้ป้าเหลาพร่ำบ่นไปเรื่อยๆ แล้วอย่างไร แม้ว่าสองคนไร้การหมั้นหมายแต่งงานมาอยู่ด้วยกันจนถูกชาวบ้านดูแคลนแล้วอย่างไร ตนเองไม่ทันคิดถึงจิตใจหลินซือเย่าจนหลุดปากออกไปว่า ‘สองคนมีหมั้นหมายแต่งงาน’ ช่างวู่วามเกินไปจริงๆ ไม่รู้จักคิดจริงๆ

หลินซือเย่าแอบถอนหายใจ เงยหน้ามองซูสุ่ยเลี่ยนหน้าดำคร่ำเครียดตำหนิตนเอง กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า” ข้าดีใจจนแทบทนไม่ไหวต่างหาก ในใจเขาแอบเก็บงำวาจาท่อนหลังเอาไว้

“จริงหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ตาแอบแดงรื้น แสดงให้เห็นความวุ่นวายใจก่อนหน้าของนางอย่างเห็นได้ชัด

ในใจหลินซือเย่ามีความรู้สึกประหลาดบางอย่างสายหนึ่งผุดขึ้นมา อดพยักหน้าไม่ได้ กว่าจะเอ่ยค้นหาน้ำเสียงเย็นเยียบของตนเองและกล่าวออกมาได้ก็เป็นนาน “เจ้าทำเช่นนี้ไม่ผิด”

อย่างไรสตรีมีชาติตระกูลเกล้ามวยทรงเทพธิดาเหินเช่นนี้อยู่ร่วมชายคากับชายที่ได้วัยแต่งงานไร้ชาติตระกูล หากจะบอกว่าไม่มีอะไรกัน ผู้ใดจะเชื่อ คงต้องถูกคนเอาไปลือในทางไม่ดีแน่ วันหน้าหากคิดจะใช้ชีวิตสงบที่นี่ต่อไปคงยาก ไม่สู้ปล่อยไปตามที่คนเหล่านั้นคิด แต่งเรื่องว่าสองคนต้องการแต่งงานและคิดมาตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัว จากนี้จะได้ไม่มีพวกปากมากสอดรู้สอดเห็นมายุ่งอีก มองจากมุมนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนจัดการได้ดีมาก

พอหลินซือเย่าคิดเช่นนี้ สายตาก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบวางท่าทางดื่มชากลบเกลื่อนทันที

พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเขาว่า ไม่ตำหนินาง ก็ไม่นึกตำหนิตนเองต่อ ทำท่าทางเลียนแบบเขาจิบชาซานเหมยป่าที่มีเฉพาะที่นี่ ขณะเดียวกันก็เหลือบชมโถงบ้านตระกูลเหลาไปพลาง

……

บ้านตระกูลเหลาในเมืองฝานฮัวนับได้ว่ามีฐานะพอควร

ลานบ้านกวาดเก็บเรียบร้อย ครอบครัวห้าคนมีที่นาสามหมู่[1] ลูกชายคนโตตระกูลเหลาปีนี้อายุยี่สิบแปดได้ เปิดร้านช่างเหล็กอยู่ที่ทางตะวันตกของเมือง ปกติรับงานตีเหล็กให้กับหมู่บ้านละแวกนั้นหลายหมู่บ้านเลี้ยงชีพ ห้าปีก่อนแต่งกับลูกสาวคนโตตระกูลฟางแห่งเมืองชิงเถียน ตอนนี้ยังไม่มีบุตรชายสืบสกุล

สองตายายตระกูลเหลาแม้ไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าลูกสะใภ้คนโตแต่ก็แอบคุยกัน โดยเฉพาะป้าเหลาที่คิดแต่จะอุ้มหลาน แอบคิดยุให้ลูกชายหย่าภรรยาและแต่งภรรยาใหม่ แต่ลูกชายคนโตเป็นคนซื่อสัตย์ รักใคร่กับภรรยาไม่น้อยจึงไม่ตอบรับ แต่ลูกสะใภ้พอรู้ว่าสองตายายตระกูลเหลาคิดเช่นนี้ ก็โมโหย้ายออกจากบ้านไปอยู่ร้านตีเหล็กทันที ลูกชายคนโตตระกูลเหลาถึงกับย้ายไปกับนาง ไม่กลับมาบ้านตระกูลเหลาอีก

เหตุนี้ทำให้สองตายายตระกูลเหลาโมโหจนไม่ออกจากบ้านไปไหนอยู่หลายวัน กว่าจะทำใจยอมออกจากบ้านได้ ก็ต้องเจอกับพ่อของลูกสะใภ้นำชายร่างกำยำสองคนมาคุยถึงบ้าน สุดท้ายสองตายายตระกูลเหลาได้แต่ยอมรับผิด ไม่ยอมไม่ได้ จะมารักหน้าตาทำไม หน้าตาจะมีค่าสักเท่าไรกัน ดีไม่ดีแม้แต่ชีวิตก็ไม่มี

เพียงแต่ตั้งแต่นั้นมานางเหลาก็ไม่อาจหาทางหาสะใภ้จากเมืองฝานฮัวและละแวกใกล้เคียงได้อีก ลูกชายคนรองปีนี้สิบแปด เลยวัยแต่งงานมานานแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่รับคำทาบทามของแม่สื่อ ก็เพราะกลัวว่าจะแต่งไปจะเจอแบบนางฟางมาอีก หาเรื่องใส่ตัวเสียมากกว่า

ดังนั้นตอนนี้พอนางตระกูลเหลาเห็นซูสุ่ยเลี่ยนที่ดูอรชรอ้อนแอ้นผิวขาวผ่องตามตาเฒ่าของนางกลับมา สองตาก็ทอประกาย ‘วิ้ง’ ขึ้นทันที พอเห็นว่าซูสุ่ยเลี่ยนไม่ใช่ชาวเมืองฝานลั่วและหน้าตาดี ท่าทางก็ไม่ได้ดูนุ่มนิ่มอะไร ดูบั้นท้ายงอนงาม น่าจะคลอดลูกได้ดี ดังนั้นในสายตาป้าเหลาจึงมีแต่ซูสุ่ยเลี่ยนเต็มที่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนหัวเราะเยาะเอาเพราะจับคู่มั่วซั่วไปเสียได้

……

ตลอดทางกลับจากไปสอบถามตระกูลฮัวมา ป้าเหลาก็เอาแต่เสียดาย

ยังคิดว่าลูกชายคนรองหาคนดีได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าดอกไม้งามมีเจ้าของแล้ว

คิดถึงชายข้างกายแม่นางผู้นั้น หล่อก็หล่ออยู่บ้าง แต่มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนใช้แรงงานที่จะทำนาได้ เฮ้อ คิดมาตั้งรกรากในเมืองฝานฮัว ดันหาชายที่บ่าไม่อาจแบก มือไม่อาจหามมาเป็นสามีเสียได้ น่าจะลำบากไม่น้อย คิดถึงแม่นางผู้นั้นก็ดูฉลาดเฉลียว ทำไมจึงได้เลอะเลือนเช่นนี้นะ หน้าตาดีไม่อาจกินเป็นอาหารได้ น่าสงสารลูกชายคนรองตน ห่านฟ้าแสนสวยมาถึงปากก็บินจากไปเช่นนี้เสียได้ ดูท่าวันหน้าคงต้องไปหาแม่สื่อจัดหาคู่ให้แล้ว คงไม่อาจยื้อไปจนอายุยี่สิบก็ยังไม่แต่งภรรยายเช่นนี้ เช่นนี้คงเสียหน้าแย่

ป้าเหลาคิดเช่นนี้อยู่นั้นก็มาถึงบ้านตนเอง

“แม่นาง คุณชาย รอนานแล้วกระมัง” ป้าเหลาเดินไปวิ่งไปมาตลอดทาง พอเข้ามาก็ยิ้มให้ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่ากล่าวว่า “ได้เรื่อง! ได้เรื่อง!”

ไม่ต้องให้นางลงมือเอง ซูสุ่ยเลี่ยนรินน้ำชาเต็มแก้วส่งให้นาง พลางยิ้มกล่าวว่า “ใจเย็นๆ ป้าเหลา ดื่มน้ำแก้กระหายก่อน หายเหนื่อยค่อยพูด”

ป้าเหลาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย นั่งลงข้างซูสุ่ยเลี่ยนเล่าเรื่องที่ไปคุยกับตระกูลฮัวอย่างละเอียด

[1] หนึ่งหมู่เท่ากับราว 666.66 ตารางเมตร