ตอนที่ 33 จัดการ

ตอนที่ 33 จัดการ

ฉินมู่หลานสบสายตาโกรธแค้นของเย่เสี่ยวเหอ พลางอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้

ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นย่อมถึงตน ตอนนี้เย่เสี่ยวเหออาจจะรู้สึกเสียใจสุดซึ้ง แต่ไม่รู้ว่าลึกๆ ในใจแล้วหล่อนจะสำนึกบ้างหรือไม่

เย่เสี่ยวเหออาจไม่สำนึกเลยก็ได้ สิ่งเดียวที่หล่อนเสียใจคือแผนการของตนยังรัดกุมและเฉียบแหลมไม่มากพอ

หากทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของหล่อน ตอนนี้ฉินมู่หลานต้องตกเป็นข่าวฉาวต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านไปแล้ว

ฉินมู่หลานพบว่าเรื่องนี้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว จึงไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นอีก วางแผนจะพาเสี่ยวอวี่กลับไป

เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นดังนั้นจึงเดินตรงเข้าไปหาพวกเขา เอ่ยขึ้น “พวกเรากลับด้วยกันเถอะ”

ฉินมู่หลานพยักหน้าหลังจากได้เช่นนั้น

ครั้นแต่ละคนกลับถึงบ้านแล้ว ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วเอ่ยถาม “ทำไมคุณถึงกลับมาเร็วจังคะ วันนี้คุณไปขึ้นเขามานี่ ไม่ค่อยเจอสัตว์ให้ล่าเหรอคะ”

เดิมทีเธอคิดว่าเซี่ยเจ่อหลี่อาจซ่อนมันเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างอยู่ที่บ้านกันแล้ว นอกจากนี้ยังไม่เห็นเหยื่อของเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วย จึงรู้ทันทีว่าวันนี้เขาไม่ได้อะไรมาเลย

แต่เรื่องที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลยนั้นไม่สำคัญ เนื่องจากที่บ้านยังมีอาหารพอกินอยู่ มีเพียงช่วงปีใหม่เท่านั้นถึงจะได้กินเนื้อ

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินฉินมู่หลานเอ่ย เขาจึงหันมองไปทางเสี่ยวอวี่แล้วพูดกับเขาว่า “เสี่ยวอวี่ ไปเล่นก่อนนะ แต่อย่าวิ่งไปไกลล่ะ แล้วอย่าไปเล่นแถวริมน้ำด้วย”

เสี่ยวอวี่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบจากไป

หลังจากที่เสี่ยวอวี่ไปแล้ว ในที่สุดเซี่ยเจ๋อหลี่จึงได้ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ “มู่หลาน ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าเป็นเย่เสี่ยวเหอกับเฝิงจื้อหมิงต่างหากที่เกิดเรื่อง วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า? คุณไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหม?”

ฉินมู่หลานทราบดีว่าเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นห่วงมาตลอด นอกจากนี้เธอก็อยากฟ้องพฤติกรรมของเซี่ยเจ๋อน่าให้ตระกูลเซี่ยได้รับรู้ ดังนั้นเธอจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป พร้อมทั้งเล่าว่าเซี่ยเจ๋อน่าร่วมมือกับเย่เสี่ยวเหอและเฝิงจื้อหมิงวางยาเธอ โดยเจาะลึกถึงรายละเอียดทุกประเด็น

หลังเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ฟังฉินมู่หลานแล้ว สายตาก็ฉายแววเย็นเยือก ซึ่งเป็นสายตาที่ใช้มองพวกเย่เสี่ยวเหอ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินมู่หลาน เขาก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา

“มู่หลาน ไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับคุณได้ ผมไม่ดีเองที่มาปกป้องคุณได้ไม่ทันเวลา”

ฉินมู่หลานได้ยินแล้วก็โบกมือให้เขา เอ่ยขึ้น “ฉันจะโทษคุณได้ยังไงคะ คุณอยู่ข้างกายฉันตลอดเวลาได้ที่ไหนกัน หากมีโจรขึ้นบ้านพันวัน คุณจะปกป้องฉันจากโจรทั้งพันวันไหวเหรอ”

เมื่อได้ยินฉินมู่หลานเอ่ยเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น

“เมื่อเช้าผมสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี ก็เลยลงจากเขามาก่อนเวลา”

เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจ คิดแค่เรื่องล่าสัตว์ เพียงแต่หลังจากนั้นเขากลับรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี จึงลงจากเขา คาดไม่ถึงว่าจะมาช้าเกินไปก้าวหนึ่ง หากลงมาเร็วกว่านี้ เขาคงช่วยเธอได้ทันเวลา

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

“เป็นเพราะคุณไม่สบายใจ คิดว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน ก็เลยรีบลงมาจากเขาอย่างนั้นหรือคะ?” เขารู้สึกแบบนั้นได้จริงหรือ

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยตอบ “ใช่ ตอนแรกผมนึกว่าอาจจะคิดมากไปเอง แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆ ผมเลยรีบลงเขา แล้วก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณจริง ๆ”

เมื่อเอ่ยจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกว่าโชคดีนิดหน่อย

“โชคดีที่คุณมีทักษะด้านการแพทย์จึงรู้จุดฝังเข็ม ไม่อย่างนั้นแล้ว….”

เมื่อเอ่ยถึงประโยคหลัง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไม่สามารถเอ่ยต่อไปได้ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากฉินมู่หลานสู้กลับไม่ได้ ถึงเวลานั้นแล้วเขาได้มาเจอมันจะเกิดอะไรขึ้น

คิดได้ดังนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็นึกอยากจะตบตีผู้หญิงขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาอยากจะสั่งสอนเย่เสี่ยวเหอจนพิการเสียเดี๋ยวนี้

ทำไมถึงเป็นผู้หญิงที่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ เพียงเพราะเขาแต่งงานกับฉินมู่หลาน เย่เสี่ยวเหอถึงขั้นต้องทำร้ายฉินมู่หลาน

เมื่อนึกถึงตอนที่อยู่กับเย่เสี่ยวเหอและเฝิงจื้อหมิง ความผูกพันในครั้งเก่าก็ได้จางหายไปเสียจนหมด สำหรับคนอย่างพวกเขา หากไม่ลงโทษอย่างหนัก พวกเขาคงไม่หลาบจำเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้นหากเขากลับไปเข้ากองทัพ และฉินมู่หลานยังคงอยู่ที่หมู่บ้านชิงซาน ไม่แน่พวกเขาออาจจะวางแผนทำร้ายเธออีกก็เป็นได้

เมื่อคิดไปถึงว่ามู่หลานจะโดนทำร้ายอีก เซี่ยเจ๋อหลี่จึงไม่สามารถนิ่งนอนใจได้

“มู่หลาน ผมจะไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง”

เมื่อฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ไปทำอะไรหรือคะ?”

เธอสังเกตเห็นว่าท่าทางของเซี่ยเจ๋อหลี่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก ไม่เหมือนคนที่กำลังจะขึ้นเขาออกไปล่าสัตว์เลย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพูดถึงเรื่องพวกเย่เสี่ยวเหอ เธอกลับรู้สึกกลัวว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะตรงไปชำระแค้นโดยไม่ทันตั้งตัว

เซี่ยเจ๋อหลี่อ่านความคิดของฉินมู่หลานออก ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “จริงๆ แล้วผมอยากไปสั่งสอนพวกเขาแบบตรงๆ แต่ไม่เอาดีกว่า เราทำอะไรแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ แต่ลงมือแบบไม่เปิดเผยได้อยู่ ผมคิดไว้ว่าจะรีบผลักไสสองคนนั้นให้ออกจากหมู่บ้านชิงซานไปโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจต้องคอยกังวลอยู่ตลอดว่าพวกเขาจะคิดร้ายอีกหรือเปล่า”

เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของฉินมู่หลานก็เป็นประกายยิ่งขึ้น

“คุณมีความคิดอะไรดี ๆ อย่างนั้นเหรอ?”

เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้เอ่ยลงรายละเอียด เพียงแค่บอกว่าให้เป็นหน้าที่ของเขาแทน ก่อนที่เขาจะออกไป ก็เอ่ยขอโทษจากใจจริงขึ้นอีกครั้ง

“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเซี่ยเจ๋อน่าจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ครั้งนี้ปล่อยผ่านไปไม่ได้แล้ว จะต้องลงโทษหล่อนอย่างหนัก”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นน้องสาวของตน แต่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากมองข้ามอยู่ตลอด สักวันหล่อนอาจจะทำเรื่องใหญ่กว่าเดิมได้ ซึ่งครั้งนี้เขาหวังว่าพ่อกับแม่จะไม่ใจอ่อนอีก

เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยเจ๋อหลี่เอ่ย ฉินมู่หลานก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ต้องลงโทษให้หนัก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสมควรจะพูด ดังนั้นต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของคุณแล้ว”

เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ปฏิเสธ พลางพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ ผมจะจัดการเซี่ยเจ๋อน่าให้”

เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่กำลังจะเดินออกจากประตูไป เหยาจิ้งจือก็กลับมาเป็นที่เรียบร้อย

“อาหลี่ แกจะไปไหนหรือ?”

เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงพูดอธิบายสั้น ๆ เท่านั้น

“แม่ครับ รอพ่อกับพี่ใหญ่กลับมาก่อน ผมเองก็จะกลับมาเร็ว ๆ นี้ ถ้าพวกเขากลับมากันก่อน แม่ช่วยบอกพวกเขาหน่อยว่าผมมีเรื่องจะพูดด้วย ตอนนั้นแม่ก็ต้องอยู่ด้วยนะครับ”

หลังจากเอ่ยจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ออกไป

เหยาจิ้งจือรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินดังนี้ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวของตนทำจากปากของฉินมู่หลาน นางก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าซีดเซียว ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมลูกชายคนเล็กจึงอยากให้ทุกคนในบ้านมาชุมนุมพูดคุยกัน

“น่าน่าแก…แกทำอย่างนั้นจริง ๆ”

แต่ในขณะเดียวกัน นางก็นึกสิ่งที่เกิดในทุ่งข้าวโพด นั่นต้องเป็นฝีมือของฉินมู่หลานอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นท่าทางสับสนของเหยาจิ้งจือ ฉินมู่หลานจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมีทักษะการแพทย์ วันนี้คนที่จะตกเป็นข่าวก็คือตัวฉันเอง เมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้าน แล้วเห็นฉันกับเฝิงจื้อหมิงนอนด้วยกัน เมื่อถึงเวลานั้น พวกแม่จะเชื่อไหมคะว่าฉันถูกใส่ความ”

หลังจากได้ฟังเช่นนั้น เหยาจิ้งจือก็ไม่เอ่ยสิ่งใด

ถ้าเป็นอย่างที่ฉินมู่หลานบอกจริง แน่นอนว่านางอาจจะไม่เชื่อ แต่สุดท้ายสิ่งที่หูได้ยินอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่การได้มาเห็นด้วยตานั้นคือการประจักษ์จริง*

(*สิบปากว่าไม่เท่าตาประจักษ์เห็น)

ฉินมู่หลานเอ่ยมากมายแล้วจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก แล้วห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

แต่ไม่นานนัก เซี่ยเหวินปิงและคนอื่น ๆ ก็กลับมาเป็นที่เรียบร้อย เซี่ยเจ๋อหลี่เองก็กลับมาด้วยเช่นกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่หลี่จัดการให้หนักๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะนังไส้ศึกเจ๋อน่าที่ชอบเอาไฟนอกเข้าบ้าน

ไหหม่า(海馬)