“ข้า…ตามหา…”

“มาหา…มา..มา”

ว้ากกก ผีหลอก!

เสียงประหลาดยานคางเหมือนพวกเสียงผีในหนังสยองขวัญทำเอาผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาระหว่างที่กำลังหลับฝันดี ผมรีบมองซ้ายมองขวาว่าในห้องมีอะไรแปลก ๆ ลอยไปลอยมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่าคงเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเองผมก็ค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“เฮ้อออ เสียงอะไรกันคะเนี่ย? คนกำลังฝันหวานอยู่แท้ๆ”

ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ๆ เพราะกำลังฝันหวานถึงโต๊ะบุฟเฟต์ขนาดใหญ่แท้ ๆ ดันมีเสียงมารมาขัดเอาซะได้ แถมจะนอนต่อไปก็คงไม่ได้เพราะหันไปนอกหน้าต่างก็พบแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาแยงตาจนรูม่านตาหดเป็นเข็มแล้ว

“จะว่าไปช่วงนี้เราชักได้ยินเสียงบ่อยขึ้นทุกที มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ”

หลังจากเหตุการณ์ที่ผมไปสัมผัสเจ้ารูปปั้นนกจนมันกลายเป็นทอง ผมเริ่มได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างกำลังเรียกหาตัวผม ยิ่งนานวันมันก็ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนมากมักจะเป็นช่วงกลางคืนไม่ก็ก่อนรุ่งสาง ทำให้ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผม….

โดนผีอำแน่!

ใช่ ผีอำ จะไม่ให้คิดว่ามันเป็นผีได้ไงทั้งเสียงที่ยานคาง ทั้งเสียงกระซิบแหบ ๆ ติด ๆ ขัด ๆ เหมือนเสียงวิทยุที่พังแล้วลืมซ่อม แล้วไหนยังจะเวลาที่ชอบดังมาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ผมต้องโดนผีอำอยู่แน่ ๆ

แล้วนั่นมันวิญญาณใครกัน? ใครกันที่โมโหได้ถึงขั้นมาตามหลอกตามหลอนทั้งวันทั้งคืน หรือว่าจะเป็นผีคุณลุงทำความสะอาดรูปปั้น!

ไม่ผิดแน่ ต้องใช่แน่นอน เพราะผมเผลอไปทำรูปปั้นที่คุณลุงอุตส่าห์เช็ดอุตส่าห์ถูมาตลอด พอมาเจอผมเปลี่ยนเป็นทองต่อหน้าต่อตา คุณลุงเลยโกรธที่ผมทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเลยมาหลอกเช้าหลอกเย็นแบบนี้

แล้วทำไมล่ะ? แล้วทำไมคุณลุงคนทำความสะอาดถึงเข้ามาได้ นี่ผมอะไรพลาดไปตรงไหนอย่างงั้นเหรอ ผมจำได้ว่าตั้งแต่วันที่มีเสียงกระซิบถี่ ๆ เมื่อเดือนก่อน ผมก็….

เขียนยันต์ติดไว้เต็มฝาผนังเลยน่ะสิ!!

ถูกต้อง ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมได้ร่ายสารพัดเวทแสงสร้างเป็นกำแพงไว้ทุกจุดที่สามารถจะเข้ามาได้ ไม่ว่าจะประตู หน้าต่าง หรือกระทั่งกำแพงผมก็ยังร่ายเวทใส่ ถึงตัวสื่อกลางที่เป็นรูปวาดบนกำแพงมันจะดูแปลก ๆ เหมือนรูปวาดของเด็กอนุบาลตอนส่งการบ้านอ่ะนะ

ตึง ๆ

เสียงเคาะหน้าต่างดังขึ้นระรัวจนผมที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่สะดุ้งเอาตัวมุดกับผ้าห่มตัวสั่นหงึก ๆ พร้อมก่นด่าสาปแช่งเจ้าพระเจ้ารัว ๆ

“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์มอบให้ข้านั้นช่างยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเทียบ สิ่งใดที่ตัวข้าประสงค์อำนาจของพระองค์ท่านจักทำให้สัมฤทธิผล พระองค์ท่านช่างประเสริฐ พระองค์ท่านช่างมีเมตตา พระองค์ท่านช่างยิ่งใหญ่ ตัวข้าขออ้อนวอนให้พระองค์ท่านเอาหัตถ์ของพระองค์ส่งผ่านพลังสู่ใบหน้าอันแสนหยาบกระด้างของข้า”

ร่ายยาวมาซะขนาดนี้ คงไม่ต้องถามว่าผมบ่นอะไรมันไปบ้างถึงได้พูดออกมาซะอย่างกับผมนับถือมันอย่างสุดใจขนาดนั้น ว่าแต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะตอนนี้ผมมีเรื่องน่ากลัวกว่าให้ผมรับมืออยู่!!

กึง ๆ กึง ๆ

เมื่อไม่มีอะไรตอบรับ คุณผีนักถูรูปปั้นเริ่มจะถล่มเคาะหน้าต่างหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อไม่มีอะไรตอบสนอง เหมือนคุณผีจะหมดความอดทน

ครืดดด

“กรี๊ดดดดด ผีร้ายมาแล้ว โอมมม วิญญาณของผู้ดูแลนกเพลิงอย่าได้ทำอะไรหนูเลยค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นนะ หนูแค่..”

“ใจเย็นครับท่านนักบุญ ข้าไม่ใช่ผีร้าย เอ็ดวินเองครับ”

“หนูแค่สนใจอะไรบางอย่างแค่…อ๊ะ”

เมื่อได้ยินเสียงกับชื่อที่คุ้นเคย ผมค่อย ๆ เปิดผ้าห่มของตัวเองออกทีละน้อย ในใจก็กังวลว่าอาจเป็นแผนของเจ้าผีร้ายก็ได้และเมื่อเปิดออกก็พบว่าตรงมุมของหน้าต่างมีเงาดำ ๆ จับกันเป็นก้อน ๆ และดวงตาของมันยังจับจ้องมาทางผมจนทำเอาเกือบจะต้องปิดผ้าห่มอีกรอบ

“อะไรกันคุณอัศวินเอ็ดวินเองเหรอคะ?”

แหม ไม่ใช่ผีนี่นา แบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย….

ซะที่ไหนล่ะเว้ย! นี่นายอีกแล้วเหรอเอ็ดวิน คราวก่อนที่นายโผล่มาก็ทีนึงแล้วนะ โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแถมยังเล่นโผล่มาแบบวิญญาณร้ายในหนังเกรดบีครบทุกองค์ประกอบ จะไม่ให้ตกใจก็บ้าแล้ว

“ท่านนักบุญของพวกเราต้องหวาดกลัวในเขตแดนของศัตรูเช่นนี้ ข้าล่ะปวดใจจริง ๆ”

ที่น่าหวาดกลัวที่สุดน่ะมันนายต่างหาก ดูตัวเองหน่อยสิ แล้วนี่มันอะไรกัน ทำไมเวลานายพูดนายถึงต้องอยู่ตรงขอบหน้าต่างแบบนั้นตลอดด้วย เข้าห้องมาก่อนก็ได้นะ รู้ไหมว่าท่าของนายน่ะมันทำคนฟังอย่างผมขนลุกแค่ไหน!

“ค่ะ….ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่เข้าห้องมาก่อนจะดีไหมคะ?”

“ไม่ได้ครับ ตรงหน้าข้าคือห้องของนักบุญศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ตัวข้าที่เป็นแค่อัศวินละอองแสงผู้ต่ำต้อยและยังมีบาปที่ยังไม่ได้ชำระคงไม่สามารถเข้าไปข้างในซึ่งเป็นแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้หรอกครับ ไม่เช่นนั้นคำสาปของพระผู้เป็นเจ้าคงจะหนักหนากว่าเดิมเป็นแน่”

บาป? คำสาป? นี่อย่าบอกนะว่าพวกเขายังมัวแต่สติแตกกับเรื่องที่ผมนอนหลับอยู่น่ะ นี่มันผ่านมาเดือนนึงแล้วนะท่านนักบวชทั้งหลาย พวกท่านยังไม่เลิกหาทางแก้คำสาปที่มันไม่มีอยู่จริง ๆ อีกเหรอ? โอ้ย ไม่ไหว เจ้าพวกนี้มันหลุดโลกกันเกินไปแล้ว

แล้วนี่เมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้านกลับช่องเนี่ย

“เอาเถอะค่ะ ว่าแต่ที่คุณเอ็ดวินมาที่นี่มีธุระอะไรอย่างงั้นเหรอคะ?”

เอาเถอะ ก็พอจะเริ่มชินกับความบ้าของเจ้าพวกนี้มาระดับหนึ่งแล้ว ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดหัว ดังนั้นคงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย รอจนกว่าพวกเขาจะเลิกบ้าก็แค่นั้นล่ะ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่พาเอ็ดวินมาหาผมต่างหาก เพราะจู่ ๆ ก็ส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นตรงต่อศาสนจักรมาเข้าวังแบบลับ ๆ อย่างงี้เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของราชวงศ์ชัด ๆ เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเมืองสุด ๆ เพราะงั้นเรื่องนี้คงต้องสำคัญแน่ ๆ

“ครับ หน้าที่ของข้าคือนำข่าวมาแจ้งท่านว่าอีกหนึ่งเดือนพิธีถอนคำสาปของพวกเราจะเสร็จสิ้น จึงอยากขอเชิญท่านนักบุญกลับเมื่อเวลามาถึงน่ะครับ”

“ยินดีมากค่ะ!”

เยส นี่มันข่าวดีในรอบหลายร้อยล้านปีที่หลุดออกมาจากปากของพวกเขาเลย ในที่สุดผมก็จะได้ไปให้พ้นจากดินแดนแสนน่ากลัวที่เต็มไปด้วยผีและปีศาจกระหายเลือดนี่สักที ฮือ ๆ อยากจะร้องไห้

“แล้วอีกเรื่อง ท่านนักบวชชั้นสูงให้ตัวข้ามาถามท่านถึงเรื่องผู้ทำสัญญาแห่งวิหคเพลิงน่ะครับ ข่าวนี้ทำเอาที่มหาวิหารวุ่นวายกันไปพักใหญ่เลย”

โห การข่าวกรองของศาสนจักรนี่เยี่ยมยอดจริง ๆ ขนาดองค์ราชาตั้งใจปิดข่าวสุด ๆ แล้วยังสามารถหลุดไปถึงมหาวิหารได้อีก ก็สมแล้วที่ประเทศนี้เป็นประเทศที่ศาสนาเป็นส่วนประกอบใหญ่ของการเมือง มีหูมีตาอยู่ทุกที่จริง ๆ

ว่าแต่เจอถามมาแบบนี้ผมจะตอบพวกเขากลับไปยังไงดี เพราะถึงขั้นส่งอัศวินของศาสนจักรมาเสี่ยงตายถึงกลางดงศัตรูแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาคงนั่งไม่สุขหลังได้ยินข่าวนี้จริง ๆ หากผมตอบไม่ดีละก็… กลับไปมหาวิหารเมื่อไหร่ผมคงได้อธิบายยาวแน่

….

แล้วจะตอบอะไรเขาไปล่ะเนี่ย ก็ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเรื่องบังเอิญ แถมเอาจริง ๆ ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดผมยังไม่รู้เรื่องเลย แต่ถึงแบบนั้นเรื่องการแต่งตั้งยศผ่านการสะสมแต้มเนี่ยคงต้องปิดปากเงียบที่สุด ไม่งั้นชีวิตมีปัญหาแน่ ๆ

จ้องงง

รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดดัน! เจ้าเอ็ดวินที่รอคอยคำตอบจากผมได้จ้องมาที่ผมโดยหรี่ตามองมากขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับเขาจำเป็นต้องได้คำตอบจากปากผมภายในวันนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องกลับไปปาดคอตายที่บ้าน เนื่องจากทำภารกิจไม่สำเร็จเป็นแน่

เอาน่า ออโรร่า ตอนนี้เธอเป็นนักบุญนะ! ตอบอะไรไปก็ได้ให้มันสมกับเป็นนักบุญก็พอแล้ว!

“คงบอกได้แค่ว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้าค่ะ…”

…..

อ้ากกก ออโรร่า นี่เธอตอบบ้าอะไรไปเนี่ย นี่มันเหมือนกับว่าผมเลี่ยงไม่อยากตอบเลยไม่ใช่เหรอไงกัน? นี่มันเท่ากับผมกำลังซ่อนความลับอะไรบางอย่างอยู่ชัด ๆ แบบนี้เจ้าหมอนี่ต้องไม่พอใจในคำตอบแน่ ๆ ดูสิ ดูมันร้องไห้ใหญ่แล้ว

อ๊ะเดี๋ยว ร้องไห้?

“ข้าซึ้งใจมาก ๆ ครับ ข้าซึ้งใจจริง ๆ ที่ท่านนักบุญทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ท่านขนาดยอมเป็นผู้ทำพันธสัญญาแห่งวิหคเพลิงเช่นนี้ ข้าจะรีบนำคำของท่านนักบุญไปส่งให้ท่านนักบวชทั้งหลาย พวกท่านจะต้องรู้สึกซึ้งใจเช่นเดียวกับข้าเป็นแน่”

เดี๋ยว ๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ!?

เอ็ดวิน ไอ้เหตุผลบ้า ๆ บอ ๆ ตอบส่ง ๆ แบบนี้พวกนายยอมรับได้จริง ๆ เหรอ? เหตุผลที่มีคำอยู่ไม่กี่คำเนี่ยนะ แล้วอีกอย่างนะ นายแปลความไอ้สิ่งที่ผมพูดไปอีท่าไหนถึงได้ร้องไห้ซึ้งใจออกมาซะขนาดนี้ แล้วที่บอกว่าพวกนักบวชจะต้องซึ้งใจนั่นน่ะ นายจะเอาอะไรไปบอกพวกเขากัน!

ไม่น่าไว้วางใจ… ไม่น่าไว้วางใจสุด ๆ ยิ่งพวกคนของศาสนจักรรู้สึกยินดีแบบนี้มันต้องเป็นอะไรที่ผมไม่คาดคิดแน่ ๆ ยิ่งคิดยิ่งเหงื่อตก มันจะไหวไหมเนี่ย?

“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อนที่จะมีใครมาเห็น….”

เดี๋ยว! ใจเย็นก่อนเอ็ดวิน มาพูดให้รู้เรื่องกันก่อน นายจะเอาอะไรไปบอกพวกเขาก็ได้ แต่นายจะเอาสิ่งที่นายมโนขึ้นมาเองไปบอกพวกนักบวชไม่ได้!

“เกือบลืมเลย ท่านนักบุญ ข้าได้ข่าวว่าคนจากจักรวรรดิมาที่วังแห่งนี้ ขอท่านโปรดระวังตัวด้วย”

ไม่รอให้ผมได้พูดอะไรต่อ หลังจากเตือนเสร็จแล้วเอ็ดวินค่อย ๆ หดหายไปกับช่องหน้าต่างโดยผมรีบวิ่งไปเพื่อจะถามอะไรเพิ่มเติม แต่ก็น่าเศร้าเพราะผมพบแต่ความว่างเปล่ารออยู่

เฮ้ยยย เดี๋ยวก่อนมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนสิ บอกให้ระวังจักรวรรดิ แล้วมันต้องระวังอะไรเล่า แล้วเหตุผลล่ะ เหตุผลที่ต้องระวังพวกจักรวรรดิอีก ช่วยอยู่ต่ออีกสักวิสองวิแล้วมาอธิบายกันก่อนสิ

ว่าแต่เมื่อกี้นี้เอ็ดวินยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วมันหายไปไหนแล้วล่ะ? หายตัวได้แบบนี้ นี่พวกศาสนจักรฝึกนินจามาใช้งานกันเหรอ!!!?

ผมได้แต่ถอนหายใจ สงสัยกลับไปมหาวิหารเมื่อไหร่ คงมีเรื่องให้ผมต้องแก้อีกยาวแล้วสิ เห้อ ไม่น่าเลยเรา ดูถูกพลังจินตนาการของพวกสาวกของเจ้าพระเจ้านั่นไปจริง ๆ

พอคิดเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ทำเอาผมปวดหัวขึ้นมาตุบ ๆ ผมเลยเดินออกมาจากห้องของตัวเองเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ดังนั้นสถานที่ซึ่งผมวางแผนจะไปก็คงเป็นที่ ๆ สามารถพักผ่อนจิตใจได้อย่างสบาย ๆ เช่นสวนดอกไม้

ได้ยินมาว่าสวนดอกไม้ของราชวังสวยโคตร ๆ แถมช่วงนี้ยิ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิด้วยยิ่งทำให้พวกดอกไม้ผลิบานสวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนและนอนเล่นมาก ๆ ผมเลยตัดสินใจว่าจุดหมายที่จะใช้เป็นที่โยนเรื่องชวนปวดหัวพวกนี้ทิ้งจะต้องเป็นสวนดอกไม้

“เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ไปเลยดีกว่า”

สมกับเป็นเช้าฤดูใบไม้ผลิจริง ๆ นอกจากลมเย็น ๆ ในตอนเช้าจะรู้สึกสบายแล้ว อากาศยังสดชื่นอีกต่างหาก ทำเอาผมรู้สึกผ่อนคลายลงไปเยอะ แถมจากกลิ่นหอม ๆ ที่สายลมพามานี่ผมคงใกล้ถึงสวนดอกไม้เต็มทีแล้วสินะ

จะว่าไป นี่ผมไม่ได้พักผ่อนในสถานที่สบาย ๆ แบบนี้มานานแล้วสิ ปรกติก็อยู่แต่มหาวิหารที่ชอบหาเรื่องมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ขนาดมาอยู่ที่ปราสาทก็ยังมีเรื่องให้ต้องเป็นกังวลอีก พอได้เดินออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างก็รู้สึกสงบจิตสงบใจอย่างบอกไม่ถูก แบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเรียกกันว่าธรรมชาติบำบัด

ตรงหน้าของผมคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของปราสาท ขนาดของมันใหญ่กว่าสวนที่มหาวิหารไม่รู้กี่เท่า อีกทั้งชนิดดอกไม้ของที่นี่ยังมีมากกว่าทำให้สีสันของสถานที่แห่งนี้งดงามตราตรึงใจของผมเป็นที่เรียบร้อย เพราะที่มหาวิหารมักจะเป็นสีขาวซะส่วนใหญ่ พอมาเจอแบบนี้ก็ทำเอาผมรู้สึกแปลกตาสุด ๆ ดังนั้นหากให้พูดคงไม่มีสวนดอกไม้ที่ไหนจะสวยเท่ากับที่แห่งนี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกเดิมที่ผมจากมา

ผมเดินชมดอกไม้ไปเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข ถึงมันจะดูแปลกไปหน่อยที่ผมไม่มีความรู้เรื่องดอกไม้พวกนี้ แต่ก็ยังมีความสุขกับพวกมันได้ ก็นะ เด็กติดเกมที่ไหนมันจะไปมาบ้าจี้อยากรู้เรื่องดอกไม้เล่า ถ้าเรื่องเกมยังพอว่าไปอย่าง

สายลมอ่อน ๆ ยามเช้าพัดเข้ามาทำเอาพวกดอกไม้ในสวนพลิ้วไหวไปตามทิศทางของลม เสียงสั่นไหวเบา ๆ ของพวกมันทำเอาจิตใจของผมเบิกบานได้อย่างแปลกประหลาด

“นั่นมัน…”

ระหว่างที่กำลังชมดอกไม้อย่างรื่นรมย์อยู่ ก็มีดอกไม้กลุ่มหนึ่งที่สะดุดตาผมเอามาก ๆ ทำให้ผมรีบเดินไปเข้ามาหามันอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้ เพียงแค่เห็นมันก็ทำเอาจิตใจของผมรู้สึกแปลกไป หากบอกว่าดอกไม้รอบ ๆ นี้ทำให้จิตใจสงบเหมือนสายลมอ่อน ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมาแล้วละก็… ดอกไม้ที่ผมกำลังเดินเข้าไปหา มันให้อารมณ์ที่แตกต่าง อารมณ์ที่เหนือไปกว่าความสงบ อารมณ์ที่หอมหวานยิ่งกว่า….ความสุข

“สวยจังเลย”

ดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่งดงามกว่าดอกไม้ใด ๆ ที่ผมเคยเห็น หากเทียบกันแล้วสีฟ้าของมันช่างเหมือนกับสีฟ้าของท้องทะเลที่สะท้อนสีอันงดงามของท้องฟ้า พวกมันพลิ้วไหวตามสายลมเช่นเดียวกับกลุ่มดอกไม้อื่น ๆ ทว่าเพียงแค่มองเจ้าพวกดอกไม้สีฟ้านี่พลิ้วไหวไปมา มันก็เหมือนผมกำลังมองท้องฟ้าอันแสนสงบ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังบินอยู่ในท้องฟ้าอันแสนงดงาม

 

กลิ่นของมันก็เช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ดอกไม้อื่น ๆ นั้นมีกลิ่นหอมมากกว่า กลิ่นที่สดชื่นยิ่งกว่าแต่ไม่รู้ทำไมกลิ่นอันแสนเป็นเอกลักษณ์ของดอกไม้สีฟ้านี้กลับทำให้ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเพียงแค่เห็นพวกมันได้กลิ่นของพวกมันก็ทำให้อารมณ์ร้าย ๆ ทั้งหมดหายไปได้อย่างง่ายดาย

“สวยจังเลย นี่ดอกไม้อะไรกันน้า?”

ครืนนน

สายลมที่พัดอย่างค่อย ๆ เหมือนสายน้ำในลำธารกลับเริ่มแปรเปลี่ยน กระแสของมันสั่นไหวรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับท้องทะเลช่วงก่อนเกิดคลื่นยักษ์ สายลมแปรปรวนไปมาอย่างรุนแรงราวกับมันมีชีวิตและอารมณ์ และในที่สุดเมื่ออารมณ์นั้นของสายลมไม่สามารถควบคุมได้มันก็ระเบิดออกราวกับพายุอันรุนแรง

ถึงจะเป็นแค่ลมพายยุธรรมดาแต่หากปล่อยแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ เพราะหากไม่ทำอะไรสักอย่าง สวนดอกไม้ที่งดงามตรงหน้าผมคงได้พังพินาศ ดังนั้นผมจึงรีบร่ายเวทแสงป้องกันขั้นสูงสุดออกมาเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่นี้น้อยที่สุด

“ในนามแห่งข้าผู้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง โปรดประทานพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านเพื่อผนึกมหาภัยพิบัติทั้งมวลด้วยเถิด”

สิ้นคำร่ายเวท แสงสว่างได้พุ่งกระจายออกจากร่างของผมออกไปเป็นเส้นพลังแห่งแสงจำนวนมาก พวกมันถักทอกันไปมาอย่างรวดเร็วจนบังเกิดเป็นกำแพงขนาดใหญ่ปกคลุมสายลมที่กำลังคลุ้มคลั่งเพื่อไม่ให้มันขยายอาณาเขตแห่งความพินาศไปมากกว่าเดิม

พลังทั้งสองธาตุต้านกันไปมาอย่างดุเดือด ผมรู้สึกได้ถึงพลังเวทจำนวนมหาศาลที่กำลังหลั่งไหลออกจากร่างของตัวเองอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

แปลกจัง นี่มันก็แค่ลมพายุธรรมดาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมถึงได้ถูกสูบพลังเวทเยอะขนาดนี้ล่ะ ขนาดตอนที่รักษาคนจำนวนมากยังไม่รู้สึกถึงพลังเวทที่หายไปเท่ากับครั้งนี้เลย

 

สายลมที่เหมือนกำลังพยายามระเบิดตัวเองออกหวังทำลายกำแพงแสงที่ผมสร้างขึ้นได้เริ่มอ่อนกำลังลงทีล่ะนิดๆ และสุดท้ายมันได้สลายหายไปพร้อมๆ กับกำแพงแห่งแสงของผมที่ได้แตกออกกลายเป็นละอองแสงจำนวนมาก

เมื่อกำแพงได้สลายออก มันได้เผยภาพหลังภัยพิบัติข้างใน ภาพของกลีบดอกไม้สีฟ้าที่ซึ่งถูกสายลมอันรุนแรงหอบพัดขึ้นมาอยู่เต็มท้องฟ้า เมื่อไร้ซึ่งลมที่แบกรับ พวกมันก็ค่อยๆ ร่วงลงมาเหมือนกับสายฝน

“สวยจังเลย”

กลีบดอกไม้สีฟ้าที่ร่วงโรยได้ผสมเข้ากับละอองแสงสว่างที่ลอยเคว้งคว้างจนเกิดเป็นแสงสะท้อนสีฟ้าระยิบระยับอยู่รอบตัวผมจนให้ความรู้สึกราวกับผมถูกพาตัวมายังทะเลแห่งดวงดาว

ภาพอันแสนงดงามที่เกิดขึ้นรอบตัวทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะต้องเผลอยิ้มออกมา มือของผมได้ยื่นออกมาเพื่อจะลองรับกลีบดอกไม้สีฟ้าซึ่งกำลังเปล่งแสงงดงามทว่าเมื่อมือของผมสัมผัสมัน กลีบดอกไม้สีฟ้าที่ส่องสว่างราวกับดวงดาวกลับสลายไปเหมือนดาวตก

“น่าเสียดายจัง”

ผมได้แต่มองแสงสีฟ้าที่หายไปอย่างเสียดาย ทั้งๆ ที่มันออกจะเป็นฉากที่สวยงามออกแท้ๆ ถ้ามันอยู่ได้แบบนี้ตลอดไปก็คงดี

“คนกำลังหลับสบาย ทำเอาตื่นหมด….เป็นสายลมที่บ้าชะมัดเลยว่าไหม”

เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้ผมรีบหันไปหาอย่างรวดเร็วจนผมสีขาวที่เริ่มยาวมากขึ้นของออโรร่าสะบัดพลิ้วพาดผ่านละอองแสงสีฟ้าที่ร่วงโรยจำนวนมาก

“อ๋า ๆ เจอคนที่คาดไม่ถึงซะได้”

ที่ตรงหน้ามีเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังนอนเอกเขนกอย่างสบายใจ ผมสีน้ำเงินแปลกตายื่นมาปิดตาข้างหนึ่งของเขาจนเป็นเอกลักษณ์ ส่วนข้างซ้ายที่ไม่ถูกผมปิดได้เผยดวงตาสีเขียวมรกตสวยกำลังจับจ้องมาที่ผมไม่วางตา

“ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าการเดินทางอันแสนน่าเบื่อครั้งนี้จะทำให้เจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอซะได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าจริง ๆ ล่ะน้า~”

น้ำเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยส่งออกมาอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่ประดับบนหน้าคล้ายกับพวกตัวละครคุณชายเสเพลในนิยายกำลังภายใน ทำเอาผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมานิด ๆ

เด็กอะไรทำตัวแก่แดดจัง!

“สาวน้อยผมขาวที่อยู่ตรงหน้าผมคนนี้ ไม่ทราบว่าชื่ออะไรอย่างงั้นเหรอ?”

เขาชันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ โดยยังคงรอยยิ้มเสเพลของเขาเอาไว้ ส่วนผมก็มองเขาอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ เพราะสงสัยว่ามันคิดจะทำอะไรกับออโรร่าน้อย ๆ ที่แสนอ่อนแอคนนี้หรือเปล่า

“ออโรร่า….ออโรร่า นักบุญแห่งราสเวนน่าค่ะ แล้วคุณคือ?”

“ออโรร่าสินะ….ขอเรียกว่าอัลแล้วกัน”

อย่ามาตั้งชื่อเล่นให้ส่งเดชแบบนี้นะ แล้วย่ออีท่าไหนกัน ออโรร่าถึงกลายเป็นอัลไปได้ ผมชื่อออโรร่านะไม่ใช่อัลมอนด์

“ว้า ใจร้ายจังเลยนะ ทำไมต้องถอยหนีกันด้วยล่ะ”

เด็กน้อยผมสีน้ำเงินเดินผ่านละอองแสงที่กั้นระหว่างผมกับเขาเข้ามาจนระยะห่างของผมกับเขาลดลงเรื่อยๆ จนผมต้องรีบถอยออกห่างจากเขา แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแค่ก้มตัวลงแล้วเอื้อมมือไปหยิบดอกไม้สีฟ้าตรงหน้าก็เท่านั้น

“เป็นดอกไม้สีฟ้าที่งดงามและเข้ากับสีขาวอย่างแท้จริงเลยนะว่าไหม?”

จากนั้นเขาได้ยืนขึ้นทำให้ผมรู้ว่าถึงแม้เขาจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมแต่ว่าส่วนสูงของเขาก็มากกว่าผมจนผมต้องอาศัยเนินดินเล็กๆ ถึงจะสูงเท่ากันได้ น่าอิจฉาจริงๆ

มือของเขาค่อย ๆ ยื่นมาทางผมอย่างช้า ๆ ทำเอาผมรีบหลับตาปี๋พร้อมร่ายเวทเพื่อเตรียมป้องกันตัวอีกรอบ แต่ไม่รู้ทำไมเวทถึงไม่ทำงาน

ความรู้สึกเหมือนมีอะไรถูกเหน็บเข้ามาที่บริเวณหูทำให้ผมรีบลืมตาขึ้นมา และทันใดที่เปลือกตาของผมเปิดออกก็ได้พบกับใบหน้าของเด็กน้อยคนนั้นกำลังยิ้มให้

“ดอกไม้สีฟ้าดอกนี้เหมาะกับเธอดีนะ อัล”

ทำไมเด็กนี่มันแก่แดดได้เยี่ยงนี้!

—————————————————————————–

เอาล่ะช่วงนี้มาพบกับรสชาติใหม่ของเรื่องนี้นะครับ ตอนฮีลลิ่งสบาย ๆ กับธรรมชาติอันแสนงดงาม