บทที่ 26 หนานกงสือเยวียนหาได้ถูกชักใย (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

ตอนที่ 26 หนานกงสือเยวียนหาได้ถูกชักใย (รีไรท์)

ตอนที่ 26 หนานกงสือเยวียนหาได้ถูกชักใย (รีไรท์)

ทุกคนล้วนตระหนักถึงฐานะสูงต่ำ จึงต่างพร้อมใจกันไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หลิ่วผินคิดจะสั่งสอนองค์หญิงน้อย กระทั่งเรื่องทำร้ายองค์หญิงน้อยถูกเปิดเผย นางจึงโยนความผิดให้ข้ารับใช้

หนานกงหลีเลิกยืนสัปหงกในท้องพระโรง ก่อนจะเริ่มถกชายเสื้อขึ้นสูงและตอบโต้คนพวกนั้น

“เหลวไหล! หลิ่วผิน ไม่สิ ยามนี้กลายเป็นเพียงหลิ่วไฉเหรินแล้ว นางรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวเป่าคือองค์หญิง เหตุใดจึงยังปล่อยให้ข้ารับใช้ทำร้ายองค์หญิง”

“หากไม่ใช่เพราะนางกำนัลข้างกายองค์หญิงช่วยไว้ทัน นางคงโดนนางกำนัลพวกนั้นตบหน้าไปแล้วกระมัง แล้วเหตุใดนางกำนัลที่ล่วงเกินองค์หญิงพวกนั้นถึงเป็นนางกำนัลของหลิ่วไฉเหรินผู้นั้นเล่า? ผู้ตรวจการจั่ว เจ้าคิดว่าบุตรสาวของเจ้าสูงส่งกว่าพระธิดาของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ?!”

ผู้ตรวจการจั่วโมโหจนแทบหายใจไม่ออก เขาไม่รู้ว่าบุตรสาวของตนทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนั้นลงไปได้อย่างไร

แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของเขา ทั้งยังเป็นถึงสนมในวังหลัง และคนของวังหลังก็ไม่ควรยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนัก แต่ผู้ใดจะไม่รู้ว่าหากนางล้มเขาก็ล้มเช่นกัน?

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องหาพรรคพวกอย่างเหล่าเสนาบดีให้ออกมาช่วยพูดให้แก่ตน โดยหวังเพียงว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่ตำแหน่งพระสนมกับตำแหน่งเสนาบดีของพวกเขา แล้วลดโทษของบุตรสาวให้เบาลงสักนิดก็ยังดี

แม้ในยามนี้เขาจะก่นด่าบุตรสาวของตนว่าโง่เง่าเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้วก็ตาม

“ท่านอ๋องกล่าวได้ตรงใจยิ่งนัก บุตรสาวของกระหม่อมจะเทียบกับองค์หญิงได้อย่างไร? แม้เป็นสนมก็ไม่มีประโยชน์อันใด หลายปีมานี้นางยังไม่สามารถให้กำเนิดโอรสธิดาแก่ฝ่าบาทได้ ทว่านอกจากจะไม่มีความชอบแล้วยังต้องอยู่อย่างทุกข์ยาก ฝ่าบาทมอบตำแหน่งไฉเหรินให้แก่นาง มันทำร้ายนางยิ่งกว่าการฆ่านางเสียอีก”

‘ทำเป็นเรียกร้องความเห็นใจ’ หนานกงหลีก่นด่าอยู่ในใจ คนผู้นั้นพูดราวกับว่าฝ่าบาทไร้เหตุผลไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น

“ผู้ตรวจการจั่ว”

เสียงของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรดังขึ้น น้ำเสียงนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิดซึ่งเกิดจากคำพูดของเหล่าเสนาบดีเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาเพียงมองคนเหล่านั้นนิ่ง ๆ

ทว่าน้ำเสียงอันราบเรียบนี้กลับทำให้ผู้ตรวจการจั่วสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ในเมื่อพวกเจ้าเอาแต่พูดถึงฐานะสูงต่ำ เช่นนั้นข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าสิ่งใดคือสูง สิ่งใดคือต่ำ”

เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นมองผู้คนในท้องพระโรงพร้อมไอสังหารที่แผ่ไปทั่วร่าง

“ข้าสูง พวกเจ้าต่ำ องค์หญิงของข้านั้นสูงส่ง บุตรสาวของพวกเจ้าล้วนต่ำต้อย!”

สิ้นเสียงประกาศกร้าว ทุกคนคุกเข่าลงบนพื้นในทันใด เหงื่อเย็นหยดลงพื้นหยดแล้วหยดเล่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา

หนานกงสือเยวียนยังคงมองคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นยะเยือก

“เป็นเพราะทุกวันนี้ข้ามีอารมณ์รุนแรงหรือ พวกเจ้าถึงคิดจะชักใยข้าเช่นเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อน พวกเจ้าคิดว่าข้าจะใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ขององค์หญิงเป็นเครื่องมือเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน และไม่มีจุดยืนในวังหลวงนี้เป็นของตัวเองใช่หรือไม่?”

ถึงขั้นเอ่ยถึงฮ่องเต้องค์ก่อน นั่นแสดงว่าฝ่าบาทต้องกริ้วจริง ๆ

เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้ที่ฝ่าบาทเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือฮ่องเต้องค์ก่อน พระองค์ไม่เคยกลัวที่จะแสดงความเกลียดชังที่มีออกมาต่อหน้าทุกคน

 

ช่วงแรกของการนั่งบนบัลลังก์ยังมีเสนาบดีเก่าที่เคร่งครัดกฎระเบียบและมารยาทอันดีงามเคยเอ่ยปากเตือน ทว่าผ่านไปไม่นาน คนผู้นั้นก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งกะทันหัน เป็นเช่นนี้ผู้ใดยังกล้าพูดก็ถือว่าไม่หลงเหลือความกลัวติดตัวเสียแล้ว

หลังจากนั้นทุกครั้งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนถูกเอ่ยถึงในทางที่ไม่ดี ทุกคนจะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่*[1] ไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก

“กระหม่อมมิบังอาจ!”

  

หนานกงสือเยวียนยิ้มเยาะ “ไม่กล้า? ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนล้วนกล้าหาญ ก่อนหน้านี้ข้าประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่า หากผู้ใดไม่เต็มใจก็ไม่ต้องเข้ารับการคัดเลือก ยามนี้พวกนางก้าวเข้ามาในวังแล้ว หากเป็นสตรีที่ข้าพึงใจ ข้าย่อมมอบฐานะและเกียรติยศชื่อเสียงให้แก่พวกนาง เพียงแต่พวกนางจะต้องซื่อสัตย์ต่อข้าก่อน”

  

“ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับบุตรสาวของพวกเจ้านั้นเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย ข้าจะมอบสิ่งใดแก่พวกนางก็ย่อมได้ หากพวกนางทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็สามารถส่งพวกนางกลับไปได้เช่นกัน ว่าแต่พวกทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงนี้ เรื่องข้าจำเป็นต้องให้พวกเจ้ายื่นปากเข้ามาสอดด้วยหรือ?”

เหล่าเสนาบดีที่กล่าวร้องเรียนอย่างลืมตัวก่อนหน้านี้เนื้อตัวซีดเซียวทันทีที่ฟังจบ พลันรู้สึกเสียใจกับสิ่งตนได้กระทำลงไป

โดยเฉพาะเหล่าเสนาบดีที่มีบุตรสาวถวายตัวเข้าวัง ทุกคนหน้าถอดสีด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำเตือนจากฮ่องเต้

  

พวกเขาทั้งหมดคิดเหมือนกันโดยมิได้นัดหมายว่า ทันทีที่ได้ออกจากท้องพระโรงนี้จะต้องไปกำชับบุตรสาวของตนว่าอย่าคิดทำเรื่องโง่ ๆ หากพวกนางถูกลดตำแหน่งเหมือนหลิ่วผินคงต้องอับอายกันทั้งตระกูลเป็นแน่

“แยกย้ายได้!”

หนานกงสือเยวียนสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เสนาบดีส่วนหนึ่งนั่งคุกเข่าบนพื้นมองใบหน้าอันซีดเซียวของกันและกัน

โดยเฉพาะผู้ตรวจการจั่วที่ยามนี้ทั้งใบหน้าแทบจะเป็นสีเขียวช้ำ

หนานกงหลีลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าของตนสองสามครั้งก่อนจะหัวเราะร่า

“พวกเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าฝ่าบาทจะโง่เขลาเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน ที่ลุ่มหลงมัวเมาในอิสตรีจนไม่ใส่ใจพระธิดาของตนเอง? สตรีนางเดียวของตระกูลหนานกงของเรา อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย แม้แต่ข้ายังต้องดูแลนางเป็นอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม… ผู้ตรวจการจั่ว! บุตรสาวของท่านช่างใจกล้านัก คราแรกที่พบนางก็สั่งข้ารับใช้ทุบตีนางแล้ว แต่ว่านะ…นางยังอายุเพียงสามขวบ! ไม่รู้ว่าท่านเลี้ยงดูบุตรสาวมาอย่างไรถึงได้เติบโตมาเป็นคนเช่นนี้”

พูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินจากไปทันที

“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

  

ผู้ตรวจการจั่วสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ วันนี้ทั้งวันเขาต้องเสียหน้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว

เหล่าขุนนางบู๊รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนักที่ได้เห็นบรรดาขุนนางบุ๋นต้องยอมจำนนอย่างเสียมิได้

“ข้ายังนึกว่าฝ่าบาทจะถูกสตรีชักใยอยู่เบื้องหลังเช่นเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อนเสียอีก”

“เบาเสียงหน่อย ฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถพูดถึงฮ่องเต้องค์ก่อนได้ แต่เราอาจเอื้อมได้หรือ?”

“ข้าไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าฝ่าบาทจะทรงรักใคร่องค์หญิงน้อยมากถึงเพียงนี้”

ข่าวลือที่ว่าหลิ่วผินถูกลดตำแหน่งได้กลายเป็นความจริง แม้ว่าฝ่ายตรวจการจะร่วมมือกันคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์

ทันทีที่รู้ข่าว หลิ่วไฉเหรินถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะอาละวาดทำลายข้าวของในห้องด้วยความโกรธ

“เพราะเหตุใด! ข้ายังไม่ได้ทำอันใดนางด้วยซ้ำ เหตุใดหญิงชาวบ้านผู้นั้นถึงขึ้นมาขี่คอข้าได้!”

เหตุผลที่นางไม่ห้ามนางกำนัลที่กำลังล่วงเกินองค์หญิงน้อยในยามนั้นก็เพราะฝ่าบาททรงยกตำแหน่งให้หญิงชาวบ้านขึ้นเป็นถึงพระสนมตำแหน่งสูงส่ง แม้ยามนี้นางผู้นั้นจะตายไปแล้วก็ตาม ทว่าความโกรธแค้นริษยายังคงสุมอยู่ในอกนางไม่จางหาย

นั่นเป็นเหตุผลที่นางอ้างว่าตนเองไม่รู้จักองค์หญิงน้อย เพื่อใช้โอกาสนี้สั่งสอนพระองค์

หารู้ไม่ว่านางได้เหยียบแผ่นเหล็กร้อนเข้าให้แล้ว นอกจากจะสั่งสอนองค์หญิงน้อยไม่สำเร็จแล้วยังทำให้ฝ่าบาทบันดาลโทสะจนถูกลดตำแหน่งเป็นเพียงไฉเหริน แม้แต่ข้ารับใช้ข้างกายนางก็ยังไม่เหลือ

หลิ่วไฉเหรินเกลียดคนในสายเลือดของตน เดิมทีหวังว่าวันนี้บิดาของตนจะช่วยได้ ทว่าบิดาและพรรคพวกกลับถูกตำหนิ ฝ่าบาทเองก็ไม่คิดจะอภัยให้นางแม้สักนิด

บัดนี้หลิ่วไฉเหรินรู้สึกเสียใจยิ่งนัก คนหนึ่งเป็นองค์หญิง อีกคนเป็นคนตาย แล้วเหตุใดนางต้องก่อเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ด้วยเล่า?

ในขณะที่หลิ่วไฉเหรินกำลังคลุ้มคลั่งขว้างปาสิ่งของอย่างโกรธแค้น ฝูไห่กงกงก็เดินเข้ามาพร้อมกับขันทีกลุ่มหนึ่ง 

“ฐานะของพระสนมในยามนี้ทำให้ไม่สามารถพำนักที่ตำหนักจิงเหรินนี้ได้อีกแล้ว เชิญพระสนมย้ายไปอยู่ที่ตำหนักทางทิศตะวันออกเถอะขอรับ”

เขากวาดสายตาดูข้าวของที่เสียหายและกระจัดกระจายไปทั่วพร้อมขมวดคิ้ว “หลิ่วไฉเหริน ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของวังหลวง ท่านทำเช่นนี้…ไม่ดีกระมัง”

หลิ่วไฉเหรินที่เพิ่งนึกขึ้นได้ตัวสั่นไปทั้งตัว รีบคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมใบหน้าซีดเซียว ก่อนจะเอ่ยอ้อนวอน

“ฝูไห่กงกง ข้าสำนึกผิดแล้ว เจ้าช่วยพาข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาททีเถอะ ข้าจะไปขอร้ององค์หญิงด้วยตนเอง ข้าผิดไปแล้ว…”

  

ฝูไห่ส่ายหน้าเบา ๆ “พระสนม ฝ่าบาทตรัสแล้วไม่คืนคำ ท่านอย่าพยายามให้เหนื่อยเปล่าเลย ผู้ใดกันทำให้ท่านโชคร้าย ผู้ใดกันหลอกให้ท่านทำให้พระธิดาองค์โปรดของฝ่าบาทขุ่นเคืองเล่า”

พูดจบเขาก็ผายมือแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เชิญเถอะ หลิ่วไฉเหริน”

[1] เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หมายถึง แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจ