ตอนที่ 38 สัปดาห์ที่ 12 อาคิยามะ เออิชิ (2)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ท่านให้ความสนใจและเข้ามาอ่านนิยายของผม นี่เป็นนิยายเรื่องแรก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องปรับปรุง ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

วันเวลาเลื่อนผ่านไปไม่เร็วแต่ก็ไม่ถือว่าช้า ตอนนี้ผมก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมของตัวเอง

อันที่จริงผมย้ายของออกมาจากบ้านปู่และย่าตั้งแต่ช่วงวันอังคารที่ผ่านมาโดยใช้บริการขนส่ง เหลือไว้เพียงแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับพวกเอกสารสำคัญต่างๆ ที่จะขนเอาไปเองในวันหลัง

ตามกำหนดการเดิมแล้วผมจะย้ายกลับมาในวันนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์ เพื่อไม่ให้กระทบกับเรื่องการเดินทางไปโรงเรียน และจะได้รอรับของที่จะมาส่งด้วยนั่นเอง

แต่จู่ๆ คนเช่าบ้านหรือก็คือพี่สาวของโอโตเมะ อามายะ คุณโอโตเมะ ยูกิโนะ ก็โทรมาแจ้งว่าเธอจะย้ายออกก่อนกำหนดและจะคืนกุญแจให้ผมในวันพฤหัสบดี เธอถามว่าผมสะดวกตอนไหน

สรุปคือผมนัดเจอเธอที่บ้านตอนเย็นประมาณ 5 โมงครึ่ง โดยผมได้ขนย้ายของทั้งหมดที่เหลืออยู่ไปด้วย เดินหิ้วของลากกระเป๋าออกจากบ้านปู่กับย่าท่ามกลางสายตาเหยียดหยามชนิดที่ไม่ปกปิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่ผมไม่ได้อึดอัดหรือโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับเป็นความรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่ไม่ถูกขัดขวางอะไรเลย

ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านแล้ว

ผมลากสัมภาระมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ ใช้เวลานั่งรถเกือบๆ ชั่วโมง เดินต่ออีกเล็กน้อยก็ถึงจุดหมาย

คุณยูกิโนะรอผมอยู่ที่บ้าน เธอดูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผมขนสัมภาระมาเยอะแยะแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอพาผมเดินดูความเรียบร้อยของบ้านก่อนจะคืนกุญแจบ้านให้ผมแล้วรีบร้อนออกจากบ้านไป

“งั้นฉันขอตัวเลยนะคะ ต้องรีบไปเอาเค้กวันเกิดให้น้องสาวน่ะ”

“ขอบคุณมากนะครับ เดินทางปลอดภัยครับ”

ผมออกมาส่งเธอที่หน้าประตู มองเธอเดินออกไป แล้วผมก็กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

หันหลังกลับไปมองทางเดินที่ทอดยาวจากหน้าประตูไปสุดทางเดิน ตรงนั้นมีห้องน้ำที่ผมเคยใช้อาบอยู่เป็นประจำ หน้าห้องน้ำเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าตั้งอยู่

ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องครัวที่เชื่อมต่อยาวกับห้องนั่งเล่น โดยมีโต๊ะอาหารคั่นกลางไว้ ด้านหลังมีประตูที่เปิดออกไปข้างนอกได้ เมื่อก่อนแม่มักจะออกไปตากผ้าทางนั้นเสมอ

ผมเดินไปตามทางเดินผ่านห้องเก็บของที่อยู่ข้างบันไดขึ้นสู่ชั้นสอง มองประตูห้องที่ครั้งหนึ่งพ่อมักจะเก็บอุปกรณ์แปลกๆ เอาไว้จนเต็มห้องและโดนแม่บ่นเป็นประจำ แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรเหลือแล้ว กลายเป็นเพียงห้องเปล่าๆ ตามที่คุณยูกิโนะเปิดให้ดูเมื่อกี้นี้

เดินต่อไปบนบันไดที่พาผมขึ้นไปยังชั้นสอง บนนี้มีห้องอยู่ 3 ห้องนอนและ 1 ห้องน้ำ ห้องนอนใหญ่นั่นพ่อกับแม่ใช้เป็นห้องนอน ตอนเด็กๆ ผมก็นอนที่นั่นบ่อย แต่ตอนหลังผมย้ายมานอนที่ห้องฝั่งนี้แทน ส่วนอีกห้องที่อยู่ติดกันพ่อกับแม่เคยตั้งใจจะเอาไว้ให้น้องผมแต่สุดท้ายก็ไม่เคยมี มันเลยเป็นได้แค่ห้องเก็บของจำพวกเครื่องนอนหรืออุปกรณ์ที่ไม่ค่อยได้ใช้

ตอนนี้ทุกห้องยังคงอยู่ในสภาพเดิม ห้องเก็บของนั่นก็ยังเป็นห้องเก็บของแค่ตอนนี้ไม่มีของที่มันเคยเก็บไว้แล้ว ห้องนอนของพ่อกับแม่ไม่ต่างไปจากที่จำได้นัก โต๊ะ ตู้ เตียง ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ผ้าม่าน ที่นอน และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ไม่อยู่แล้ว

ผมปิดประตูห้องนอนใหญ่และเดินกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง

ในห้องยังคงวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไว้ตามเดิมเหมือนเมื่อ 3 เดือนก่อน เพียงแต่โปสเตอร์ต่างๆ ที่ผมแปะไว้หายไปหมดแล้ว โต๊ะเขียนหนังสือก็ว่างเปล่า และชั้นหนังสือของผมก็ไม่มีหนังสืออะไรเหลือสักเล่ม

ว่างเปล่าโดยแท้

แต่ผมก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร ตามความเป็นจริงมันก็ควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมควรจะพอใจที่ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่บ้านของตัวเองอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น…

ลึกๆ ในใจมันก็ว่างเปล่า ความรู้สึกเหงา ความคิดถึง ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวในบ้านหลังนี้

– “สวัสดีครับรุ่นพี่ คือวันนี้ผมจะขอไปค้างด้วยสะดวกไหมครับ…ครับ ขอบคุณมากครับ ขอโทษด้วยครับที่รบกวนกะทันหัน…ครับ…ได้ครับ… ครับ” –

นั่นคือเรื่องราวเมื่อ 2 วันก่อนที่จบลงด้วยการไปขอนอนที่บ้านของรุ่นพี่นาคาจิมะเพราะบ้านของตัวเองไม่มีที่นอน

เช้าวันต่อมาหรือก็คือเมื่อวานผมโดดเรียน ไม่ใช่ว่าไม่อยากเข้าเรียนแต่เพราะต้องหาที่หลับที่นอนให้ตัวเองจึงตัดสินใจโดดเรียนไปซื้อที่นอน หมอน ผ้าม่าน และข้าวของเครื่องใช้ที่ขาดไปให้ครบ กว่าจะตระเวนจนครบก็หมดวันพอดี

โชคดีอย่างหนึ่งของผมที่พ่อกับแม่ทิ้งเงินไว้ให้ผมเยอะมาก เอาแค่เงินปันผลจากหุ้นในบริษัทที่พ่อสร้างนั่นก็มากพอให้อยู่จนเข้ามหาวิทยาลัยได้สบายๆ แล้ว

แต่ยังไงก็ยังอยากได้พ่อกับแม่มากกว่าได้เงินพวกนี้อยู่ดี

ตัดมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้ผมกำลังรอของจากบริษัทขนส่งที่จะเข้ามาส่งให้ในวันนี้ ข้างๆ ผมคือรุ่นพี่นาคาจิมะที่มาเยี่ยมบ้านผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ยังไม่ยอมกลับบ้านจนตอนนี้

“เอาจริงๆ นะ ฉันยังตกใจไม่หายเลยที่บ้านของนายคือบ้านของโอโตเมะจังเนี่ย”

ทันทีที่ผมบอกว่าบ้านผมอยู่ตรงไหน รุ่นพี่นาคาจิมะก็ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจส่งที่ผมพูด เขาถามย้ำถึงสามครั้งว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดอะไรใช่ไหม

“ไม่ใช่บ้านของโอโตเมะครับ บ้านของผม แต่ให้พี่สาวเธอเช่าอยู่แค่นั้น”

ผมอธิบายข้อเท็จจริงให้รุ่นพี่ฟังอีกรอบนึง ทั้งที่อธิบายไปตั้งสามสี่รอบแล้ว ทำไมยังพูดผิดๆ แบบนั้นก็ไม่รู้

“เอาน่า อย่าคิดมากซิมารุ ว่าแต่นายจะมาอยู่คนเดียวจริงๆ หรอ?”

“ครับ ทำไมหรอครับ?”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าแบบนี้ก็สะดวกดี นายจะได้มาอยู่ใกล้ๆ บ้านด้วย ชวนไปเล่นบาสด้วยกันก็ง่าย แม่ก็บอกให้พานายไปบ้านบ่อยๆ น่ะ”

สะดวกสบายดีแท้ รุ่นพี่นาคาจิมะว่างั้นก่อนจะลุกไปหาของกินในครัว

แม้ว่าพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ จะยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์แต่ของใช้เล็กๆ น้อยๆ ผมเพิ่งจะไปซื้อมาเมื่อวานรวมถึงของกินด้วย ดังนั้นในตู้เย็นจึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มีทั้งแบบพร้อมกินและพร้อมปรุงเป็นอาหาร

รุ่นพี่กลับมาพร้อมขนมสองสามอย่างและน้ำชาขวดใหญ่ขวดหนึ่ง วางทุกอย่างลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหยิบเบาะรองนั่งจากในถุงที่ซื้อมาเมื่อวานมานั่ง จัดการเสร็จสรรพราวกับเป็นเจ้าของบ้านเองซะงั้น

เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รู้สึกว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจังเสียที รุ่นพี่นาคาจิมะเองก็มีสีหน้ามุ่งมั่น เราสองคนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าให้กันโดยไม่ต้องพูดอะไร

“งั้นเริ่มจากตรงนี้ครับ…ข้อนี้ต้องเริ่มจากตรงนี้ครับ…ไม่ใช่ครับ ย้อนไปนิดนึง รุ่นพี่ข้ามตรงนี้ไปครับ…”

มหกรรมการติวเข้มเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยของรุ่นพี่นาคาจิมะได้เริ่มขึ้นวันนี้เป็นวันแรก สาเหตุที่ต้องมานั่งติวกันมันก็มีสาเหตุมาจากที่ผมแนะนำให้รุ่นพี่ไปคุยกับคุณคาวากุจิเรื่องที่เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนแฟนตัวเองทิ้งไว้ข้างหลัง

ผลจากการคุยกันทำให้รุ่นพี่รู้ว่าตัวเองอยากจะคอยสนับสนุนแฟนสาวของตน แม้ไม่อาจขึ้นไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่คอยผลักดันเธออยู่ข้างหลังได้ สำคัญเลยคือต้องเป็นเบาะรองนุ่มๆ เวลาเธอล้มหรือเวลาที่เธออยากพัก

ครั้งแรกที่ได้ยินคือตอนที่ไปค้างกับรุ่นพี่เมื่อคืนวาน ผมเกือบจะหลุดปากถามไปแล้วว่ารุ่นพี่คิดได้เองจริงๆ หรอ โชคดีที่ยั้งปากไว้ทัน เลยเปลี่ยนเป็นคำถามอื่นแทน

– “งั้นรุ่นพี่ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปครับ” –

– “ฉันจะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วกลับมาสานต่อธุรกิจของที่บ้าน” –

บ้านของรุ่นพี่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ดูเหมือนพ่อของรุ่นพี่จะทำงานรับเหมาหาเลี้ยงครออบครัวและลูกน้อง

– “แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะออกไปเรียนรู้งานกับพ่อโดยตรงเลย เพียงแต่ลูกน้องพ่อบางคนจบมหาวิทยาลัยมีใบปริญญามา ฉันในฐานะลูกชายของหัวหน้าและคนรับช่วงต่อในอนาคตก็ไม่อยากให้น้อยหน้าพวกเขา” –

– “แล้วคุณคาวากุจิล่ะครับ เธอตั้งใจไปเรียนต่อที่ไหน” –

– “โตเกียว” –

– “เอ๊ะ ไม่ใกล้เลยนะครับ” –

– “ใช่ไหมล่ะ ฉันล่ะกังวลจริงๆ หนุ่มๆ ที่นั่นต้องตามจีบเธอเยอะแน่ๆ” –

– “แล้วแบบนี้รุ่นพี่จะไม่เป็นไรหรอครับ?” –

– “ฉันหรอ? มินะบอกว่าให้ฉันจัดการได้ตามสบายน่ะ” –

– “จัดการ?” –

– “ใช่ เธอบอกว่าให้ฉันจัดการพวกผู้ชายที่เข้ามายุ่งกับเธอได้ตามใจชอบเลยน่ะ หึๆๆ” –

การสนทนาจบลงพร้อมกับรอยยิ้มแบบปีศาจร้ายของรุ่นพี่ พอมาได้ยินเรื่องแบบนี้ด้วยหูตัวเองแล้ว ผมชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าจะต้องกลัวใจใครดีระหว่างรุ่นพี่กับคุณคาวากุจิ

[‘นี่มันคู่มือปืนกับปืนคู่ใจชัดๆ’]

…กิ๊งก่องๆ

“มีของมาส่งครับ”

เสียงจากอินเตอร์คอมหน้าประตูดังทำลายสมาธิในการติวของผมกับรุ่นพี่ ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เราติวกันไปกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว สถิติใหม่เลยแฮะ

ผมลุกขึ้นไปรับของที่มาส่งและปล่อยให้รุ่นพี่ได้พักสมองไปก่อน ของที่มาส่งนี้คือของที่ผมส่งมาจากบ้านปู่ย่าเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากขนของเข้ามาในบ้านแล้วก็เดินไปหาของกินในครัวรองท้องบ้าง

“รุ่นพี่ตั้งใจจะติวแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรครับ”

ผมถามรุ่นพี่นาคาจิมะพร้อมกับวางถาดพิซซ่าที่รุ่นพี่ซื้อมาเมื่อเช้าลงบนโต๊ะ

รุ่นพี่คว้าพิซซ่าไปกัดคำนึงแล้วก็ตอบเสียงอู้อี้ จับใจความได้ว่า ฉันจะติวทุกวัน

[‘ตั้งใจน่าดูเลยแฮะ’]

“งั้นหรอครับ”

“ว่าแต่นายว่างมาติวให้ฉันหรือเปล่า?”

“ช่วงสุดสัปดาห์ก็ได้แหละครับ แล้วจะติวกันที่ไหนล่ะครับ”

“บ้านฉันละกัน จะได้ไปเล่นบาสด้วยกันได้ด้วย”

ผมฟังข้อเสนอของรุ่นพี่แล้วก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จึงตอบตกลงไปพร้อมกับกัดพิซซ่าไปด้วย หลังจากพักผ่อนกันราวครึ่งชั่วโมง เราก็กลับมาติวกันต่อจนถึงเย็น

“ถ้านายไม่ว่างก็บอกนะ ฉันอ่านทบทวนเองได้ ตรงไหนไม่เข้าใจจะจดไว้ถามนายทีเดียว”

รุ่นพี่นาคาจิมะว่าแบบนั้นแล้วก็หันหลังเดินกลับไป ผมยืนมองส่งรุ่นพี่เดินผ่านช่องตรวจตั๋วจนหายลับสายตาไปแล้วจึงหันกลับบ้าง

ตั้งใจว่ามื้อเย็นวันนี้จะทำกับข้าวกินเอง ไหนๆ ก็กลับมาอยู่บ้านแล้วก็อยากทำอาหารไทยแบบที่แม่เคยทำให้บ่อยๆ กินดูบ้าง

อาหารไทยแตกต่างจากอาหารญี่ปุ่นค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่มีรสจัดจ้าน โดยเฉพาะรสเผ็ดซึ่งดูเหมือนจะมีมากเป็นพิเศษแถมยังเป็นความเผ็ดที่แตกต่างจากอาหารญี่ปุ่นด้วย สงสัยว่าจะเป็นเพราะใช้พริกคนละแบบกัน

ผมเดินกลับโดยเลือกเส้นทางที่ผ่านซูเปอร์มาเกต ระหว่างทางก็คิดไปด้วยว่าจะจะทำอะไรและจะซื้อวัตถุดิบอะไรดี แต่คงเพราะอยากกินหลายอย่างเลยยังเลือกไม่ได้แม้ว่าจะเดินมาถึงซูเปอร์มาเกตแล้ว

“เอาไงดีหว่าาา…”

พึมพำกับตัวเองเบาๆ พลางมองวัตถุดิบต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้า วัตถุดิบสำหรับทำอาหารไทยนั้นมีไม่มาก แถมราคาก็ค่อนข้างแพง ถ้าอยากได้แบบเยอะๆ ราคาถูกก็ต้องไปร้านค้าหรือห้างใหญ่ๆ ที่นั่นจะมีครบครันมากกว่า

ผมเดินเลือกไปเลือกมาก็ได้น่องไก่มาเล็กน้อย ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริกแห้ง กับเครื่องปรุงรสอีกนิดหน่อยใส่ตะกร้าไปคิดเงิน

จ่ายเงินเสร็จสรรพก็หอบหิ้วสัมภาระกลับบ้าน เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนกระทั่งผมกำลังจะเดินเข้าบ้าน

“เอ๊ะ?”

เสียงของผู้หญิงคนนึงดังขึ้นมา ผมหันไปมองตามเสียงนั้นก็เห็นเด็กผู้หญิงคนนึง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม กำลังมองมาที่ผมสลับกับมองไปที่บ้าน

“อ๊ะ ขอโทษค่ะ”

คงจะรู้ตัวว่าผมกำลังมองด้วยสายตาสงสัย เธอเลยขอโทษแล้วรีบเดินจากไป

“อะไรล่ะนั่น”

ผมเลิกสนใจแล้วเดินเข้าไปบ้าน ตั้งใจว่าวันนี้จะเปรมปรีดิ์กับต้มข่าไก่สูตรตามใจฉันให้เต็มคราบ

อย่างที่ทราบกันว่าผมเปิดเรียนแล้วเลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าเมื่อก่อน คือจะบอกว่าตอนนี้เจอปัญหาอีกอย่างคือผมนึกพล็อตรองไม่ค่อยจะออกแหละครับ เพราะงั้นหลังจากนี้อาจจะพักเนื้อหาหลักเล็กน้อยแล้วมีตอนพิเศษมาคั่นบ้างนะครับ