บทที่ 33 ความมืดมิดชั่วนิรันดร์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 33 ความมืดมิดชั่วนิรันดร์

เคล็ดคีรีสมุทร เดิมทีเป็นแค่วิชาที่แสนธรรมดา ระดับการแยกไอพลังประหลาดของมันก็ธรรมดาอย่างมาก

วิชาเช่นนี้ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมีอยู่มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ตระกูลเล็กๆ และขั้วอำนาจเล็กๆ ฝึกฝนกัน

ต่อให้ฝึกจนถึงขั้นบริบูรณ์ พลังต่อสู้เองก็ไม่ได้สูงมาก แล้วเนื้อหาด้านในก็มักจะบรรยายไว้ด้วยถ้อยคำอวดอ้างใหญ่โต

อย่างเช่นเซียวสามารถเคลื่อนคีรี ขุยสามารถย้ายมหาสมุทรอะไรแบบนี้ เป็นคำยกยอตามแบบฉบับ

แต่สวี่ชิงทางนี้ เคล็ดคีรีสมุทรกลับระเบิดพลานุภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ที่สร้างวิชานี้ขึ้นมาก็คงยังไปไม่เคยถึง

เงาเซียวขั้นห้าของเขา เทียบเท่ากับคนอื่นที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรขั้นหกถึงเจ็ด และขั้นหกในตอนนี้ก็ไปถึงระดับเงาขุยแล้ว

แม้จะเป็นแค่โครงร่างขุย แต่พลานุภาพของมันก็ห่างชั้นจากเซียวไปไกลโข

นึกภาพได้เลยว่าตอนที่เคล็ดคีรีสมุทรของสวี่ชิงไปถึงขั้นเจ็ด เกรงว่าเงาขุยคงจะเปลี่ยนเป็นระดับสมบูรณ์แน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรคนอื่นถือว่ามาถึงทางตันแล้ว

แต่สำหรับเขากลับยังมีทางให้เดินต่อ

“ในบันทึกของเคล็ดคีรีสมุทร ต้องถึงขั้นสิบแล้วเท่านั้นจึงจะกลายเป็นเงาขุย หลังจากขั้นบริบูรณ์เงาขุยก็จะกลายเป็นร่างโตเต็มตัว”

สวี่ชิงนั่งอยู่ในห้องยา สายตาเผยแววประหลาดใจออกมา

“ดูจากการพัฒนาของข้าแล้ว ขั้นเจ็ดน่าจะกลายเป็นร่างโตเต็มตัว แล้วขั้นแปดเล่า ขั้นเก้ารวมไปถึงขั้นสิบจนถึงขั้นบริบูรณ์เล่า”

ในใจสวี่ชิงเฝ้ารออย่างแรงกล้า เขาก้มหน้าลงมองร่างกายตนเอง

ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องทดสอบความเร็วและพลังเลย เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายตนเองในตอนนี้มีกลิ่นอายที่แกร่งเกินขั้นห้าก่อนหน้านี้กำลังบ่มเพาะอยู่

ความแข็งแกร่งของพลังนี้ทำให้ตัวเขาตกตะลึงอย่างมาก

และความเร็วเช่นนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าถ้าตนเองพุ่งทะยานด้วยพลังทั้งหมดเวลานี้ สายลมก็จะกลายเป็นสิ่งกีดขวางเพียงอย่างเดียวของเขา

เขาไม่รู้ว่าปัจจุบันตนเองอยู่ในระดับใดในฐานที่มั่น

แต่ก็เห็นได้ชัดมากว่าพวกใช้วิชาเวทรวมปราณขั้นเจ็ดอย่างชายชราชุดดำเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ต่อให้มาพร้อมกันสองคน ตนเองก็สามารถสังหารได้

ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ก้มหน้าลงมองพื้นรอบๆ

ด้านนอกเวลานี้เป็นยามราตรี ในห้องดำสนิท แต่เขายังคงสัมผัสได้ถึงตัวตนของเงาอยู่รางๆ

การทะลวงขั้นของตนเหมือนจะส่งผลกระทบกับเงาด้วย ทำให้มันดูดซับไอพลังประหลาดได้มากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมันเปลี่ยนเป็นแน่นแฟ้นและละเอียดยิ่งขึ้น

สวี่ชิงจ้องเขม็งบนพื้นในความเงียบงัน เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่างขึ้น จากแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามา ในห้องยาที่เรียบง่ายนี้ ตัวเงาก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาจากความเลือนรางข้างกายสวี่ชิง

พริบตาที่มันปรากฏขึ้น ดวงตาสวี่ชิงก็เกร็งเขม็งขึ้นฉับพลัน

เขารอวินาทีนี้ ที่มองเห็นเงาของตนเองบิดเบี้ยวเล็กน้อยจากความคิดที่แล่นออกมาอย่างชัดเจน

มือขวาของเงายกขึ้นมาช้าๆ

สวี่ชิงหายใจหอบหนักขึ้น จ้องเขม็งไปที่เงา ควบคุมมือของมันให้เคลื่อนย้ายไปมาบนพื้น ตอนที่แผ่เข้าไปในความดำมืด เงาก็ผสานเข้ากับความดำมืดหายไป แต่สวี่ชิงสีหน้ายังเรียบสงบ เขาสัมผัสได้ว่าตัวตนของเงายังอยู่

จนกระทั่งเขาควบคุมมือของเงาไปถึงด้านในช่องตาราง คืบคลานขึ้นไปช้าๆ คว้าหญ้าสมุนไพรต้นหนึ่ง

พริบตาที่เงาคว้าต้นสมุนไพร สมุนไพรต้นนี้ก็มีไอพลังประหลาดเข้มข้นขึ้น เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำในพริบตา

การควบคุมพลังของสวี่ชิงมาถึงขีดจำกัดในตอนนี้ ส่วนที่เงายื่นออกไปก็หดกลับมาฉับพลันตามเสียงอื้ออึงในหัว กลับสู่สภาพเดิม

ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงจึงเงยหน้าขึ้น ในดวงตามีเส้นเลือดปรากฏออก หัวปวดแทบแตก เขาหลับตาลงปรับลมหายใจทันที

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สวี่ชิงลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดระบมในหัวก็ฟื้นฟูกลับมา

“ยังควบคุมให้คล่องแคล่วไม่ได้”

สวี่ชิงมองเงาลึกๆ ผาดหนึ่ง เก็บความคิด

เขาไม่รีบ จากการพัฒนาเช่นนี้ สักวันหนึ่งตนเองก็คงจะควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน

ถึงตอนนั้น เงา…ก็จะกลายเป็นไม้ตายลับที่สุดของเขา

พักผ่อนครู่หนึ่งเวลานี้ สวี่ชิงยกมือขึ้นคว้า สมุนไพรที่กลายพันธุ์ต้นนั้นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ สวี่ชิงก้มลงตรวจสอบอย่างละเอียด

“เป็นเหมือนกับสมุนไพรในร้านยาที่ถูกรุกล้ำตอนที่องค์ท่านลืมตาไม่ผิดเพี้ยน

“ดังนั้น ความสามารถของเงาคือส่งไอพลังประหลาดไปปนเปื้อนสิ่งที่มันแตะต้องหรือ” สวี่ชิงงึมงำ แล้วทดสอบควบคุมเงาอีกครั้ง

และเวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้ หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม

สวี่ชิงก็เข้าใจความสามารถของเงามากขึ้น

อีกฝ่ายไม่ใช่ว่าจะสามารถแผ่ไอพลังประหลาดไปยังสิ่งที่ปกคลุมได้ตลอดเวลา มีเพียงการควบคุมของตนเองเท่านั้น สิ่งที่ถูกแตะต้องจึงจะกลายพันธุ์

คุณสมบัติพิเศษนี้ พลังสังหารน่าตกตะลึงมาพร้อมกับความน่าประหลาดใจเกินคาด แต่ในใจสวี่ชิงก็เตรียมพร้อมป้องกันภัยจากเงาอยู่ตลอดเวลา

ตอนนี้เขามองไปยังจุดที่ฝังผลึกวารีสีม่วงในหน้าอก สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าผลึกวารีสีม่วงนี้ สามารถสะกดพันธนาการเงาเอาไว้ได้

นานพอสมควร สวี่ชิงจึงถอนสายตากลับ วางสมุนไพรในมือลง จากนั้นมองไปยังช่องตารางรอบตัว สมุนไพรในช่องเกือบจะหมดแล้ว และทั้งหมดก็กองอยู่ในถาดหิน

พอกวาดตามองถาดหิน สวี่ชิงก็ถอนหายใจ

จะโยนทิ้งก็เสียดาย หลังจากครุ่นคิดเขาก็คิดว่า ยาเหลวข้นหนืดสีดำนี้ ถ้าใช้ให้ดีก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง

ดังนั้นพอคิดๆ ก็จัดการคลึงยาเหลวข้นหนืดในถาดหินเป็นลูกกลอนทีละเม็ดๆ ด้านนอกทาของเหลวจากหญ้าเจ็ดใบเป็นชั้นกั้นเอาไว้

สุดท้ายก็ทำออกมาเป็นยาลูกกลอนเนื้อสีดำ ที่ผิวนอกมีสีเขียวออกมานับสิบเม็ด

“เรียกว่าลูกกลอนดำแล้วกัน” สวี่ชิงเก็บพวกมัน เดินออกจากห้องยา เขาเตรียมจะออกไปเก็บสมุนไพรบางส่วนกลับมา ขณะเดียวกันก็จะออกไปจับหมาป่าเกล็ดดำตัวหนึ่งกลับมาด้วย

ช่วงนี้ที่สวี่ชิงใช้หมาป่าเกล็ดดำเป็นหนูลองยา ก็ใช้คล่องมือมาก หลังจากที่ออกจากหุบเขา เขาก็ตรงไปที่หมู่ศาลเจ้า เพียงไม่นานก็ถึงแต่ยังไม่หยุดเท้า ยังทะยานเข้าไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามต่อ

สมุนไพรใส่ส่วนลึกมีมากกว่าด้านนอกเยอะ

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับส่วนลึกแล้ว สวี่ชิงไม่ได้สำรวจไปแค่ครั้งสองครั้ง แม้อาณาเขตจะไม่ใหญ่นัก แต่ทุกครั้งก็ได้สิ่งตอบแทนกลับมาไม่น้อย

และขณะเดียวกัน ตอนที่สวี่ชิ่งเหยียบเข้าส่วนลึกพื้นที่ต้องห้ามได้ไม่นาน พื้นที่ชายขอบพื้นที่ต้องห้ามด้านหลัง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินหน้าสำรวจอยู่ช้าๆ

จำนวนคนกลุ่มนี้มีอยู่นับร้อย มีทั้งชายและหญิง และยังมีองครักษ์มากมายห้อมล้อมอยู่ กระทั่งมีวัยกลางคนที่มีกลิ่นอายบนตัวแข็งแกร่งอยู่อีกห้าหกคน คอยระแวดระวังรอบด้านให้อยู่อีกด้วย

และคนที่ถูกปกป้องไว้ก็คือเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มาลงหลักปักฐานกันอยู่ที่ด้านนอกฐานที่มั่นเหล่านั้น การมาของพวกเขาเหมือนมาเที่ยวเล่น มองไม่เห็นถึงความเคร่งเครียดในสีหน้าแม้แต่น้อย หัวร่อต่อกระซิกกันไม่หยุด

และคนนำทางของพวกเขาก็คือตาแก่หัวแข็ง เพียงแต่เวลานี้ทั้งสีหน้ามีแต่จำยอม คอยกวาดตามองมายังเด็กหนุ่มเด็กสาวอยู่เนืองๆ มองท่าทางสบายๆ ของพวกเขาแล้ว ก็ทอดถอนอยู่ในใจ

“ที่นี่คือพื้นที่ต้องห้ามนะ…” ตาแก่หัวแข็งเหมือนจะพูดแต่ก็หยุดลง เขารู้ว่าคำพูดของตนเองคงไม่มีใครฟัง คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาตลอดเหล่านี้ คงคิดว่ารู้จักอันตรายในพื้นที่ต้องห้ามดีแล้ว แต่อันที่จริงพวกเขาไม่ได้รู้ถึงความน่ากลัวของพื้นที่ต้องห้ามเท่ากับคนเก็บกวาดเลย

ฝ่ายหนึ่งรู้มาจากการเรียนในตำรา แต่อีกฝ่ายหนึ่งเรียนรู้จากประสบการณ์

“หวังว่าจะราบรื่นไปตลอดทาง อย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดเลย เสร็จสิ้นภารกิจนี้ ข้าก็จะเกษียณตัวเองแล้วและจะไม่มาในพื้นที่ต้องห้ามอีก” ตาแก่หัวแข็งพึมพำ เดินไปด้านหน้าอย่างตื่นตัวและระมัดระวัง

ในกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีเด็กสาวผมดำหน้าตาสะสวยในชุดกระโปรงยาวสีดำคนหนึ่ง พูดคุยกับชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินที่เข้ามาเกี้ยวนางพลาง มือขวาก็แอบสาดผงยาบางอย่างไปด้วย

จากลมที่พัดผ่าน ผงยาเหล่านี้ไร้สีไร้กลิ่น สาดกระจายออกไปจนเหมือนเป็นตัวเหนี่ยวนำบางอย่าง และค่อยๆ ทำให้ส่วนลึกป่าต้องห้ามเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว

เขาที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังในพื้นที่ต้องห้ามส่วนลึกเวลานี้ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่ต้องห้ามวันนี้ มีสัตว์ประหลาดน้อยลงมาก

กระทั่งเขามองเห็นแมงป่องตัวหนึ่งที่ปกติมีกลิ่นอายพลังโจมตีระดับรวมปราณขั้นหกหรือเจ็ดกำลังพังพาบซ่อนตัวอยู่ในบ่อโคลน ต่อให้สวี่ชิงเข้าใกล้ มันก็ไม่มีท่าทีจะโจมตี ราวกับกำลังหวาดกลัวโลกภายนอก

นี่ทำให้สวี่ชิงระแวดระวังเพิ่มขึ้นขีดสุด มองไปรอบๆ ป่าพื้นที่ต้องห้าม

ในใจเขาเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นหลังจากที่เก็บเกี่ยวสมุนไพรบางส่วนแล้ว สวี่ชิงก็เตรียมถอนตัว

และพริบตาที่เขาจะถอนตัว กลิ่นอายเย็นเยียบวูบหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากส่วนลึกของผืนป่า กลิ่นอายนี้แผ่ซ่านออกมาในพริบตา ทำให้ต้นไม้รอบๆ ถูกแช่แข็ง

สวี่ชิงม่านตาหดลง เลี่ยงออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็มองเห็นแมงกะพรุนกึ่งโปร่งใสหลายตัว บินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามส่วนลึก

ในกลุ่มแมงกระพรุนนี้ มีอยู่หกตัวขนาดตัวมโหฬาร ด้านหลังยังมีแมงกะพรุนตัวเล็กตัวน้อยอีกนับร้อยตามมา บินหวีดหวิวตรงไปทางด้านหมู่ศาลเจ้าอย่างยิ่งใหญ่

ราวกับว่าทิศทางนั้น มีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดพวกมันไปอย่างแรงกล้า

พริบตาที่เห็นแมงกระพรุนเหล่านี้ ตัวตนของสวี่ชิงก็ดึงดูดความสนใจของกลุ่มแมงกระพรุนบนท้องฟ้านี้เข้า

แมงกะพรุนตัวโตในนั้นหยุดลงกะทันหันกลางอากาศ ตอนหันมาทางสวี่ชิง ดวงตามากมายบนหนวดทั้งหมดของมัน กว่าครึ่งก็ลืมตาขึ้นมา

ตอนนี้วิกฤตเป็นตายก็ปะทุครืนครันขึ้นในใจของสวี่ชิง เขาสัมผัสได้ว่าเลือดเนื้อทั้งตัวสั่นสะเทือนในพริบตา ด้านหลังของเขาปรากฏเงาขุยขึ้นฉับพลัน คำรามไร้เสียงไปทางแมงกระพรุนบนฟ้า

สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาในตอนนี้ไม่ใช่รวมปราณขั้นสามเหมือนครั้งนั้นที่เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันของแมงกะพรุนจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้านอีกแล้ว

พอเห็นว่าเลือดลมในร่างกายเขาพองขยายขึ้นมา และการคำรามของเงาขุยด้านหลัง แมงกะพรุนที่มองเขาตัวนั้นก็เกิดลังเลขึ้นมา

บางทีอาจเพราะแรงดึงดูดทางหมู่ศาลเจ้ามีมากกว่า หรืออาจเพราะรู้สึกว่าสวี่ชิงอันตราย ดังนั้นหลังจากที่ลังเล มันจึงหมุนตัวบินจากไป

จนกระทั่งแมงกะพรุนลอยจากไป สวี่ชิงจึงถอนหายใจโล่ง

มองไปพื้นที่ต้องห้ามรอบๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่ในวันนี้ประหลาดเสียเหลือเกิน ดังนั้นร่างกายจึงไหววูบ จากไปอย่างรวดเร็ว

“สถานที่ที่พวกมันจะไปคือหมู่ศาลเจ้า หรือว่าเป็นทิศทางที่ไกลยิ่งกว่าหมู่ศาลเจ้ากัน หวังว่าหมู่ศาลเจ้าจะเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องอ้อมเสียหน่อย…”

ระหว่างทาง สายตาสวี่ชิงเผยความครุ่นคิด แต่ความเร็วก็ไม่ลดลง กลายเป็นเงายาวสายหนึ่งพุ่งทะลวงเข้าไปในป่าแห่งนี้

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พอผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ร่างกายสวี่ชิงก็กระโจนลงมาจากยอดไม้ มองไปทางหมู่ศาลเจ้าไกลๆ ตามเสียงครืนครันที่ลอยเข้ามา

ที่นี่ห่างจากหมู่ศาลเจ้าประมาณครึ่งชั่วยาม ดังนั้นจึงมองเห็นโครงเงาของหมู่ศาลเจ้าอยู่ลิบๆ

และพริบตาที่มองไป สวี่ชิงก็หน้าเคร่งขรึมลงมา ภาพที่เขากังวลก็ปรากฏขึ้น

แมงกะพรุนกลุ่มนั้น เวลานี้ลอยอยู่บนท้องฟ้าหมู่ศาลเจ้า เหมือนมีคนกำลังประหัตประหารกับพวกมันอยู่ เสียงครืนครันดังแว่วออกมา

เนื่องจากห่างกันโข สวี่ชิงมองไม่เห็นหน้าตาคนที่กำลังต่อสู้อยู่ ดังนั้นหลังจากไตร่ตรอง เขาจึงเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง

ขณะเดียวกัน ในหมู่ศาลเจ้านี้ ตาแก่หัวแข็งก็ร่างกายสั่นเทา ริมฝีปากสั่นเครือ มองไปรอบด้านอย่างสิ้นหวัง

รอบตัวเขามีศพอยู่มากมายมหาศาล ล้วนเป็นองครักษ์ที่ติดตามเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้มาทั้งสิ้น

ส่วนพวกเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้น ก็ไม่ได้ดูสบายๆ อย่างก่อนหน้านี้แล้ว แต่ละคนหน้าขาวซีดและล้วนมีอาการบาดเจ็บ หวาดผวาอยู่ในสภาพร่อแร่

องครักษ์ที่เหลือกับผู้ติดตามกำลังปกป้องพวกเขา เคลื่อนตัวออกด้านนอกพลางสู้สุดชีวิตไปด้วย

และสิ่งที่โจมตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่งก็คือแมงกะพรุนนับร้อยเหล่านั้น และคนที่กำลังต่อสู้กับแมงกะพรุนตัวใหญ่ห้าหกตัวนั้นบนท้องฟ้า คือผู้ฝึกตนกลางคนที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งห้าคนที่เด็กหนุ่มเด็กสาวพามาด้วยนั่นเอง

“ทำไมจึงเป็นแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนี้…ตอนแรกก็ดีอยู่แท้ๆ…”

ตาแก่หัวแข็งกำลังเคลื่อนตัวตามกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังหวาดหวั่นด้วยอาการสั่นเทา แต่เขาก็อายุมากแล้ว เดินไปไม่กี่ก้าว แมงกระพรุนเล็กตัวหนึ่งก็พุ่งผ่านองครักษ์แล้วโถมมาทางเขาอย่างรวดเร็ว

ตาแก่หัวแข็งหลบไม่พ้น พริบตาต่อมา…แมงกระพรุนนี้ก็ลอยผ่านตัว กลืนหัวใจของเขาลงไปด้วย ทะยานตรงไปทางเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้น

ร่างกายของตาแก่หัวแข็งล้มลง ชักกระตุกขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่

เลือดสดหลั่งทะลักออกมาจากหน้าอก แผ่กระจายไปรอบๆ ตัวตาแก่หัวแข็ง ในปากมีเลือดสดหลั่งทะลักออกมาไม่หยุด เหมือนทรายดูดคลุมร่างเขาไปจนหมด แล้วเขาก็งึมงำประโยคสุดท้ายของชีวิตออกมา

“คุณสมบัติเข้าเมือง…ซื้อไม่ได้เสียแล้ว…”

ตาแก่หัวแข็งลืมตาโพลง ลมหายใจขาดห้วง ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งหมดตรงหน้ากลายเป็นความมืดชั่วนิรันดร์