ตอนที่ 30 ท่าเรือ

วันนี้รถม้าของภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีเพิ่งมาถึง ประจวบกับหนิงเซ่าชิงก็เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน

สิ่งที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยต้องเบิกตาโพลงก็คือ หนิงเซ่าชิงไม่เพียงแต่รบกวนให้อาจ้าวขอบคุณเจ้านายของเขาที่ช่วยเชิญหมอมาให้ อีกทั้งจู่ๆ ยังได้สนทนากับเสี่ยวฉีจื่อผู้สูงศักดิ์

ต้องรู้ก่อนว่าแม้หนิงเซ่าชิงจะดูอ่อนโยน แต่จากที่อยู่ด้วยกันมาสิบถึงยี่สิบวัน มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่เห็นว่าเขาจะสนใจใครมาก่อน

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ เสี่ยวฉีจื่อที่ปกติเป็นคนวางมาดใหญ่โต แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหนิงเซ่าชิงกลับมีความเคารพนอบน้อม ทำตัวราวกับเป็นฝุ่นธุลี

ทางด้านนั้น หากหนิงเซ่าชิงถามไถ่ เสี่ยวฉีจื่อก็ตอบอย่างนอบน้อมเสมอ

ในใจของเสี่ยวฉีจื่อเต็มไปด้วยความขมขื่น เขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง หนิงเซ่าชิงเป็นเพียงอาจารย์ในหมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้น ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีของพวกเขามีบัณฑิตมากมาย เขายังไม่รู้สึกเกร็งเท่านี้ ทว่าบุรุท่าสวมใส่อาภรณ์เนื้อหยาบนี้กลับทำให้เขารู้สึกเคารพและเกรงกลัวในใจ มือและเท้าล้วนเกะกะไม่รู้จะวางอย่างไรดี

ความรู้สึกเหมือน…เหมือนตอนที่ได้พบคุณชายเจ็ด

ไม่สิ ความรู้สึกนี้น่าตกตะลึงยิ่งกว่าการได้พบคุณชายเจ็ดเสียอีก!

อาจ้าวมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ท่วงท่าสง่างาม เมื่อเทียบกับคุณชายใหญ่ของตระกูลซูแล้วนับว่าไม่ห่างไกลกันนัก ความคิดนี้แวบขึ้นมา

ก่อนไป หนิงเซ่าชิงก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้อาจ้าวส่งให้คุณชายเจ็ดโดยเฉพาะ มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าคงเป็นจดหมายขอบคุณระหว่างกันจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

ระหว่างรับประทานอาหารเย็น หนิงเซ่าชิงกินไปด้วยพลางพูดคุยกับมั่วเชียนเสวี่ยไปด้วย

“เชียนเสวี่ย ข้าลองช่วยเจ้าตรวจสอบดู เมล็ดถั่วเหลืองของเจ้ามีน้อยเกินไป ทั้งหมดมีแค่ไม่กี่ร้อยชั่งเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้จะไม่เหมาะ ยามนี้ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วอากาศเริ่มเย็นลง พอถึงวันที่หิมะตก อากาศก็หนาวถนนก็ลื่น ถึงอยากได้เมล็ดถั่วก็คงมาส่งไม่ได้ หากไม่มีถั่ว กิจการการค้าเต้าหู้ของเจ้าจะดำเนินต่อได้อย่างไร”

มั่วเชียนเสวี่ยตกใจ! ใช่แล้ว ถึงแม้นางจะไม่ชอบกิจการเต้าหู้ แต่ตอนนี้ยังต้องพึ่งพากิจการเต้าหู้นี้เพื่อดำรงชีพ

นางสะเพร่าเอง! เมื่อไม่กี่วันก่อนหนิงเซ่าชิงป่วย นางร้อนใจจนลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไป

เมื่อหนิงเซ่าชิงเอ่ยถึง สีหน้าตกตะลึงของมั่วเชียนเสวี่ยแสดงท่าทางเซื่องซึม นางเองก็อยากเก็บถั่วไว้มากๆ แต่ก็จนใจเพราะไม่มีเงินซื้อตุน!

หนิงเซ่าชิงเหมือนจะเดาใจนางออกนานแล้ว จึงยิ้มบางๆ พร้อมกับกล่าวว่า “ถั่วหนึ่งชั่งราคาหนึ่งอีแปะ เต้าหู้ราคาห้าอีแปะต่อหนึ่งจิน เจ้าบอกชาวบ้านในหมู่บ้านว่าถั่วสามชั่งแลกกับเต้าหู้หนึ่งชั่งก็ได้”

ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นประกาย แผนนี้ช่างลึกล้ำนัก!

ถั่วสามชั่งแลกกับเต้าหู้หนึ่งชั่ง คำนวณแล้วก็ถูกกว่ากันสองอีแปะ ดีดลูกคิดคำนวณแล้วถูกกว่าสองตําลึง ไม่เพียงแต่ชนะใจคนและเพิ่มชื่อเสียงที่ดีได้เท่านั้น ทั้งยังสามารถเพิ่มอัตราการทดแทนของเต้าหู้ได้อีกด้วย

นางตกลงกับภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีว่าจะไม่ขายให้กับบุคคลภายนอก แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้แลกเปลี่ยนกับเมล็ดถั่ว อีกทั้งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านที่มาแลก ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าคุณชายเจ็ดจะตําหนิ

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเชิญคนมาโดยเฉพาะ แล้วไปแลกเปลี่ยนทีละบ้านเลยดีหรือไม่”

“เด็กโง่ เจ้าแค่ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านและนําเต้าหู้ไปให้เขาและเหล่าผู้อาวุโส จากนั้นเจ้าก็เปรยๆ ข่าวนี้ออกไป ย่อมมีคนที่อยากกินมาขอแลกเปลี่ยนถึงบ้านแน่ ไหนเลยจะให้เจ้าต้องลำบากไปถามแลกทีละบ้าน ทั้งยังกระชิบกระซาบกันอีก”

หนิงเซ่าชิงส่ายหน้ายิ้มๆ เขาคิดไม่ออกว่าคนที่ปกติฉลาดเป็นกรด ไฉนจู่ๆ ถึงได้เลอะเลือนไปได้

เขาไม่รู้เลยว่าห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่นั้นมีบริการส่งของถึงบ้าน มีระบบส่งสินค้าจ่ายเงินและการบริการต่างๆ มั่วเชียนเสวี่ยแค่ยังไม่ได้ปรับตัวเข้ากับรูปแบบธุรกิจโบราณเท่านั้น

“รอจนจัดการเรื่องในหมู่บ้านเสร็จแล้วก็ได้เงินกลับคืนมาจำนวนหนึ่ง แล้วค่อยหาคนไปซื้อถั่วที่หมู่บ้านอื่นก็ยังไม่สาย…” หนิงเซ่าชิงกินพลางช่วยนางออกความเห็นไปพลาง เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ในใจนางได้แล้ว

นางควรจะหาคนที่จะซื้อถั่วตุนให้นางโดยเฉพาะ อนาคตจะได้ทำซีอิ๊วที่ใช้ถั่วเป็นส่วนประกอบหลัก

จู่ๆ อากาศนึกอยากจะหนาวก็หนาวขึ้นมา

ตั้งแต่ป่วยครานั้น มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงก็มีความสนิทสนมกันมากขึ้น

หนิงเซ่าชิงมักจะถามเรื่องการทำเต้าหู้ ช่วยนางออกความคิดเห็น บางครั้งก็ไปคุยสัพเพเหระกับนางที่ห้องครัว บางครั้งก็จุดไฟเติมฟืนให้นาง

วันเวลาเช่นนี้ ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสบายใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะ ‘มีเวลาสองปี’ ที่เป็นดั่งก้อนหินก้อนใหญ่ที่กดทับหัวใจของนาง นางคงรู้สึกว่าชีวิตนางสมบูรณ์แบบที่สุด

ยิ่งหนิงเซ่าชิงปฏิบัติต่อนางดีเท่าไหร่ นางก็ยิ่งอยากหาเงินมากขึ้นเพื่อพาเขาไปรักษา

หนิงเซ่าชิงก็เคยถามนางมาแล้ว เรื่องที่เชิญหมอมาตรวจอาการครั้งก่อน นางปลอบใจเขา หมอบอกว่าร่างกายเขาไม่เป็นอะไรมาก กินยาเจ็ดชุดนั่นไปก็หายแล้ว ซึ่งดูเหมือนเขาจะเชื่อเช่นนั้นด้วย

แน่นอนว่านางจะไม่บอกหนิงเซ่าชิงเรื่องระยะเวลาสองปี กลัวว่าหากเขารู้เข้าคงคิดมากจะยิ่งส่งผลเสียต่ออาการป่วย

พระอาทิตย์ขึ้นในยามอัสดง แสงตะวันโปรยปราย มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปตามถนนบนภูเขาด้านหลัง มั่วเชียนเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศในสมัยโบราณนี่บริสุทธิ์จริงๆ

ได้ข่าวว่าท่าเรือหลังเขาจะสร้างเสร็จในอีกไม่กี่วัน มั่วเชียนเสวี่ยคิดจะไปดูเมื่อหลายวันก่อน แต่เพราะหนิงเซ่าชิงคัดค้านจึงไม่ได้เดินทางไปเสียที

คราวที่แล้วนางกลับมาช้า แถมยังมีสภาพน่าสังเวช หนิงเซ่าชิงย่อมไม่วางใจเป็นธรรมดา

หลังจากเรียกร้องอยู่หลายครั้ง หนิงเซ่าชิงทนคำรบเร้าไม่ไหว จึงบอกนางว่าจะไปท่าเรือได้ก็ต่อเมื่อไปกับฟางต้าถังตอนเขาไปทำงานที่ท่าเรือเท่านั้น

มั่วเชียนเสวี่ยได้มอบดีเกลือที่ใช้ทำเต้าหู้ให้อาซ้อฟางแล้ว นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ อีกอย่างต่อให้นางรู้ว่าจะใส่ดีเกลือ นางก็ไม่รู้ว่าดีเกลือคืออะไรและมาจากไหน

มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะหลุดพ้นจากการทำเต้าหู้มานานแล้ว นางไม่อาจจมปลักอยู่กับการเป็นแม่นางเต้าหู้ไปได้ตลอดชีวิต นางมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ

แม้ว่าในอนาคตกิจการเต้าหู้จะขาดตลาด ก็เปิดโรงผลิตเต้าหู้ให้อาซ้อฟางเป็นผู้จัดการก็ไม่เลวนัก

ท่าเรือตั้งอยู่ระหว่างเมืองเทียนเซียงและเมืองชังโยว ได้รับการสนับสนุนร่วมมือกันสร้างจากทั้งสองเมืองจึงถูกรวมเรียกว่าท่าเรือเทียนโยว

แม่น้ำกว้างมาก ได้ยินว่าเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของราชวงศ์เทียนฉี มีการรวมตัวจากแม่น้ำของทั้งเก้าเมือง สามารถเดินทางได้ไกลถึงอำเภออวิ๋นฉี่ที่ใกล้กับเมืองหลวง ระยะทางระหว่างอำเภออวิ๋นฉี่ไปเมืองหลวงนั้นเทียบได้กับหมู่บ้านหวังจยาไปยังเมืองเทียนเซียง นั่งรถม้าใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว

สะดวกเช่นนี้ ในอนาคตสถานที่แห่งนี้จะต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นฤกษ์ดีในการลงทุน

สองข้างทางของท่าเรือมีเรือนสองหลังถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นคลังเก็บของและการจัดการ ถนนถูกปูด้วยหินสีเขียวถนนด้านหนึ่งนําไปสู่เมืองเทียนเซียงและอีกด้านหนึ่งตรงไปยังเมืองชังโยว

มั่วเชียนเสวี่ยสํารวจไปทั่ว สืบเสาะสถานที่ไว้คร่าวๆ

เจ็ดวันต่อมาท่าเรือได้เสร็จสมบูรณ์และเริ่มทำสัญญาเช่าอย่างเป็นทางการ

เนื่องจากเป็นท่าเรือที่เพิ่งเปิดใหม่ ค่าเช่าในตอนแรกจึงไม่สูงนักเพียงเดือนละห้าตำลึงเท่านั้น แต่จะซื้อที่ดินกลับต้องใช้เงินถึงห้าร้อยตำลึง

ที่จริงแล้วค่าเช่าห้าตำลึงต่อเดือนนี้ ก็ใช่ว่าชาวบ้านทั่วไปจะจ่ายได้ อีกทั้งจะเช่ายังต้องวางค่ามัดจำด้วย

ฝ่ายบริหารก็เพียงแค่วางรากฐานให้เรียบร้อยเท่านั้น ที่เหลือผู้เช่ายังต้องสร้างเพิ่มเอง จะสร้างเพิงหรือสร้างบ้าน ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของแต่ละคนแล้ว

ว่ากันตามตรง นางอยากได้มากและนางไม่ต้องการเพียงเช่าเท่านั้น แต่นางต้องการซื้อ!