ตอนที่ 22 กตัญญู

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

พอฉินหล่างกลับไป ฮูหยินสองหลิวซื่อก็กลับมายังเรือนชิงจู๋ทันที นางเป็นห่วงไป๋จิ่นซิ่ว ในเมื่อสามีไม่อยู่ด้วย วันนี้นางจึงตั้งใจอยู่เฝ้าบุตรสาวที่เรือนชิงจู๋

เจี่ยงหมัวมัวเห็นว่าเรือนชิงจู๋สงบเรียบร้อยดีแล้ว กำชับสาวใช้ให้ดูแลไป๋จิ่นซิ่วให้ดีในคืนนี้ จากนั้นจึงฝ่าหิมะออกจากเรือนชิงจู๋กลับไปที่เรือนฉางโซ่ว รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้องค์หญิงใหญ่ฟังอย่างละเอียด

“พอแบกคุณหนูรองกลับมาถึงเรือนชิงจู๋ คุณหนูใหญ่ก็รีบสั่งการในทันทีเพคะ นางกำชับให้บ่าวไพร่ทุกคนปิดปากให้สนิทห้ามวิจารณ์เรื่องที่คุณหนูรองได้รับบาดเจ็บ ห้ามนินทากับบ่าวไพร่ของจวนอื่น หากพบให้โบยห้าสิบทีแล้วขายต่อ! พวกบ่าวไพร่ก็สงบเสงี่ยมดีเพคะ ข้าได้ยินไห่หมัวมัวบอกว่าวันนี้พวกแม่เฒ่าจากจวนอื่นต่างนำเงินมาสืบข่าวเรื่องในจวนเรา แต่พวกบ่าวรับใช้ปิดปากสนิทมิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเลยเพคะ!”

เจี่ยงหมัวมัวนวดบ่าให้องค์หญิงใหญ่อย่างเบามือ องค์หญิงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ

เจี่ยงหมัวมัวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ฉินหล่างจะไปยังเรือนหลังให้องค์หญิงใหญ่ฟัง ไม่ปิดบังแม้กระทั่งเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนโน้มน้าวให้ฉินหล่างสละตำแหน่งซื่อจื่อ

องค์หญิงใหญ่หลับตาลง มือคลึงลูกประคำ กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “อาเป่ามองได้ทะลุปุโปร่ง มีคำว่ากตัญญูค้ำคอฉินหล่างอยู่ หากฉินหล่างไม่กล้าสละตำแหน่ง ต่อให้เขาได้สืบทอดตำแหน่งโหวก็ตกอยู่ในกำมือของเจี่ยงซื่ออยู่ดี ไป๋จิ่นซิ่วเป็นภรรยาของฉินหล่าง สามีภรรยาคือคนคนเดียวกัน ภายหน้าต้องลำบากแน่ๆ”

เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “องค์หญิงใหญ่ทรงคิดว่าคุณหนูใหญ่ทำเพื่ออนาคตของคุณหนูรอง แต่บ่าวว่าหากซื่อจื่อสละตำแหน่งแล้วสร้างผลงานขึ้นมาเอง คุณหนูรองก็ต้องทนลำบากไปด้วยอีกนานมิใช่หรือเพคะ”

“อย่างน้อยมีข้าอยู่ก็ยังพอช่วยเหลือได้บ้าง ดีกว่าต้องตกอยู่ในเงื้อมือของเจี่ยงซื่อไปตลอดชีวิต อาเป่ากล่าวไว้ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ก็ต้องรอดูแล้วล่ะว่าฉินหล่างจะตัดใจได้หรือไม่” องค์หญิงใหญ่กล่าวพลางถอนหายใจ

เช้าวันตรู่ต่อมา หิมะหยุดตกแล้ว

ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ฉินหล่างยืนอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเพียงลำพังโดยไม่มีบ่าวรับใช้คอยติดตาม ชายหนุ่มขอเข้าพบองค์หญิงใหญ่

องค์หญิงให้เพิ่งตื่นนอนยังไม่ทันรับประทานอาหารเช้า ได้ยินเจี่ยงหมัวมัวเข้ามารายงานก็ประหลาดใจ

องค์หญิงใหญ่พอจะเดาได้ว่าฉินหล่างตัดสินใจสละตำแหน่งซื่อจื่อแล้ว และรู้ด้วยว่าเหตุใดฉินหล่างจึงไม่รายงานจงหย่งโหวผู้เป็นบิดาแต่กลับมาหานางแทน ในใจรู้สึกชมเชยความเด็ดขาดแน่วแน่ของชายหนุ่ม

“ให้คนเชิญฉินหล่างเข้ามาเถิด” องค์หญิงใหญ่สั่งเจี่ยงหมัวมัว “ให้คนเตรียมรถม้าด้วย วันนี้คงต้องเข้าวังสักหน่อย”

พอฉินหล่างเข้ามาในเรือนฉางโซ่วก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าองค์หญิงใหญ่

“ข้าคุ้มครองภรรยาให้ปลอดภัยมิได้ เกือบทำให้จิ่นซิ่วต้องเสียชีวิต ข้ารู้สึกละอายต่อท่านย่า ท่านแม่ยายยิ่งนัก เมื่อวานข้ากลับไปคิดทบทวนดูแล้ว ข้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว แต่กลับทำลายชื่อเสียงของจวนจ่งหย่งโหว ร่างกายแข็งแรงแต่กลับทำประโยชน์ให้จักรพรรดิไม่ได้ เป็นบุตรกลับทำให้มารดาเป็นกังวล เป็นสามีแต่กลับปกป้องภรรยาไม่ได้ ทำให้บิดามารดาผิดหวัง ทำผิดต่อภรรยา ข้ายินดีรับโทษ ขอสละตำแหน่งซื่อจื่อ หันไปตั้งใจร่ำเรียนวิชา ไม่อยู่ภายใต้ปีกเงาของบรรพบุรุษ หวังว่าภายภาคหน้าจะเป็นผู้ทำประโยชน์ให้แคว้นต้าจิ้นได้ขอรับ”

เมื่อคืนฉินหล่างไม่ได้นอนทั้งคืน เดิมทีเขาอยากไปออกรบสร้างความดีความชอบเฉกเช่นบุรุษตระกูลไป๋แต่ก็รู้ตัวดีว่าตนไม่มีความสามารถขนาดนั้น ฝีมือของเขาทำได้แค่ป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย ยากที่จะไปออกรบฆ่าฟันศัตรู

ตั้งแต่โบราณ ยามศึกแม่ทัพคือผู้กล้า ยามสงบคือดินแดนของขุนนางบัณฑิต คิดไปคิดมาฉินหล่างจึงเลือกแสวงหาชื่อเสียงบนเส้นทางสายนี้

“ลุกขึ้นเถิด!” องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างพอใจ “ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเจ้าเข้าวังไปพร้อมข้า”

ฉินหล่างก้มศีรษะแนบพื้นคำนับอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านย่าขอรับ”

ฉินหล่างรู้ดีว่าต่อให้เจี่ยงซื่ออยากให้เขาสละตำแหน่งซื่อจื่อสักเพียงไหน นางไม่มีทางยอมให้เขาลงมือทำอันใดในวันที่ไป๋จิ่นซิ่วเกิดเรื่องแน่นอน ดังนั้นฉินหล่างเลยมาขอร้ององค์หญิงใหญ่แทนที่จะกล่าวกับจงหย่งโหวและเจี่ยงซื่อ

หลายปีมานี้ฉินหล่างก็คับแค้นใจเช่นเดียวกัน บัดนี้……ไป๋จิ่นซิ่วเกิดเรื่องขึ้นเมื่อวาน วันนี้ฉินหล่างก็รีบมาขอให้องค์หญิงใหญ่พาเข้าวังเพื่อสละตำแหน่งซื่อจื่อ จุดประสงค์ก็คือทำลายเจี่ยงซื่อนั่นเอง

ชายหนุ่มอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าเขาทวงคืนความยุติธรรมติให้ภรรยาไม่ได้เพราะคำว่ากตัญญูค้ำคออยู่ ทว่า เนื่องจากรู้สึกผิดต่อภรรยา……จึงทำได้เพียงยอมสละตำแหน่งซื่อจื่อ

เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นหน้าจวนจงหย่งโหวเมื่อวานทำให้ทุกคนต่างรับรู้ว่าเจี่ยงซื่อแห่งจวนจงหย่งโหวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสินเดิมของลูกสะใภ้

การตัดสินใจเด็ดขาดของฉินหล่างในวันนี้ประกอบกับเรื่องที่แล้วมา จะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเจี่ยงซื่อย่อยยับมากขึ้นไปอีก

องค์หญิงใหญ่ยิ่งชื่นชมในตัวฉินหล่างมากขึ้น ดูเหมือนอบอุ่นอ่อนโยนแต่เมื่อตัดสินใจทำสิ่งใดแล้วกลับเด็ดเดี่ยวรวดเร็วดังสายฟ้าแลบ ไม่ต้องใช้กลอุบายใดๆ ก็ทำให้เจี่ยงซื่อพ่ายแพ้ย่อยยับได้ ช่างเก่งกาจเสียจริง

เรือนชิงฮุย

ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งฝึกซ้อมในช่วงเช้าเสร็จก็ได้ยินชุนเหยียนรายงานว่าฉินหล่างมาพบท่านย่าแต่เช้าตรู่ ตอนนี้เข้าวังไปพร้อมกับท่านย่าแล้ว

“บ่าวคิดแล้วยังกลัวอยู่เลยเจ้าค่ะ โชคดีเสียจริงที่คนที่แต่งเข้าจวนจงหย่งโหวมิใช่คุณหนู จวนจงหย่งโหวเป็นถ้ำปีศาจเหมือนที่ฮูหยินสองกล่าวไว้จริงๆ เจ้าค่ะ” ชุนเหยียนประคองไป๋ชิงเหยียนที่เต็มไปด้วยไอร้อนหลังการฝึกเดินเข้าไปในห้อง

ไป๋ชิงเหยียนขมวดคิ้ว ได้ยินคำพูดของชุนเหยียนแล้วรู้สึกไม่ชอบใจ ยังไม่ทันจะเอ่ยตำหนิ ชุนเถาก็เอ่ยขึ้นก่อน “ชุนเหยียนต่อไปอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีกนะ!”

ชุนเถาแหวกม่านให้ไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้าไปแล้วจึงหันไปกล่าวกับชุนเหยียนต่อ “เจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่! ตอนนี้คุณหนูรองยังป่วยอยู่บนเตียง หากผู้อื่นได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้จะมองว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนเช่นไรกัน!”

“ข้าแค่พูดต่อหน้าคุณหนูใหญ่เท่านั้นเอง!” ชุนเหยียนยิ้มออกมา ก้าวเข้าไปในห้องก่อนชุนเถา

เข้าไปในห้อง ชุนเหยียนเอ่ยกับไป๋ชิงเหยียนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับอยากประจบประแจง “คุณหนู เมื่อเช้าถงจี๋ บ่าวรับใช้ข้างกายของเหลียงอ๋องมาที่นี่เจ้าค่ะ เขามาส่งข่าวแทนเหลียงอ๋องว่าเหลียงอ๋องมิเป็นไรแล้ว คุณหนูมิต้องกังวลเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ยังไม่ตายอีกหรือ……ดวงแข็งเสียจริง

รู้เช่นนี้ นางน่าจะจ้างวานนักฆ่า ให้ใช้ดาบแทงไปที่หัวใจของเหลี่ยนอ๋องสักสองสามทีจนแน่ใจว่าเขาจะไม่มีทางรอดแล้วจริงๆ

ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง ข่มโทสะในใจ วางผ้าเช็ดหน้าลงในกะละมังทองแดง

ชุนเถาจิ้มไปที่ศีรษะของชุนเหยียนอย่างตื่นตระหนก “เหตุใดเจ้าถึงออกไปหาบ่าวของเหลียงอ๋องอีกแล้ว พวกเราเป็นสาวใหญ่ของคุณหนู หากผู้อื่นเห็นเข้า…”

“พี่ชุนเถา ข้ารู้ดีว่าอันใดเป็นอันใด!” ชุนเหยียนเอ่ยขัดคำพูดของชุนเถาอย่างไม่สบอารมณ์ เขยิบไปข้างกายไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าว “ข้าแค่กลัวว่าคุณหนูจะเป็นห่วงเหลียงอ๋องก็เท่านั้น”

แค่ได้ยินคำว่า “เหลียงอ๋อง” ไป๋ชิงเหยียนก็ขยะแขยงจนแทบทนไม่ไหว ข่มความไม่สบายใจเอาไว้ สั่งให้ชุนเถาเตรียมตั้งสำรับเช้า

“ชุนเหยียนปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้วใช่ไหม” ไป๋ชิงเหยียนถาม

ชุนเหยียนหน้าแดง ย่อกายเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี “เรียนคุณหนู เดือนหน้าบ่าวก็จะสิบหกแล้วเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางชุนเหยียนเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม

“ชุนเหยียนโตแล้วความคิดก็มากขึ้นด้วย หญิงที่โตแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ พอถงหมัวมัวกลับมา ข้าจะให้ถงหมัวมัวช่วยเลือกคู่ครองดีๆ ให้แก่เจ้า แล้วจะมอบสินเดิมให้แก่เจ้าชุดหนึ่งด้วยถือเป็นสินน้ำใจระหว่างนายบ่าวของเรา”