ตอนที่ 23 ช่วยอย่างเงียบ ๆ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 23 ช่วยอย่างเงียบ ๆ 

หลินม่ายรู้ลึก ๆ ในใจว่าเกาลัดของตัวเองไม่มีความพิเศษแต่อย่างใด เหตุผลที่ขายดีก่อนหน้านั้นเพราะเป็นร้านที่เปิดบริการเพียงเจ้าเดียว

ตอนนี้มีคู่แข่งแล้ว ทั้งยังตั้งใจตั้งราคาให้ต่ำกว่าอีกด้วย เกรงว่ากิจการในวันนี้คงจะไม่ค่อยดีนัก

แม้ว่าการทำธุรกิจจะเป็นการโน้มน้าวใจคน แต่นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็น

ยกตัวอย่างเช่นรายการอาหารอย่างหมูตงพอ*ที่ถูกขายเหมือนกัน หากวางขายอยู่ในร้านค้าทั่วไป ราคาจะค่อนข้างต่ำ

แต่เมื่อวางขายในร้านอาหารที่มีระดับขึ้น ประกอบกับการนำเสนอและการบริการ ย่อมถูกตั้งในอีกราคาหนึ่ง

แต่แผงขายของของเธอในตอนนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น แม้แต่เกาลัดก็ยังไม่มีความแตกต่างกัน รูปแบบการโน้มน้าวใจคนจึงไม่ได้มีอิทธิพลมากมายนัก

หลินม่ายเตรียมตัวเก็บร้านตลอดเวลา แต่เธอต้องเปิดร้านแข่งกับร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นเสียก่อน

เมื่อมีลูกค้าเดินไปซื้อเกาลัดจากร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น เธอก็รีบตะโกนเสียงดังทันที “เกาลัดสามเหมาต่อชั่ง ครึ่งชั่ง 1.5 เหมาจ้า!”

ทันทีที่หญิงหน้าไหว้หลังหลอกได้ยินก็โกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ถึงอย่างไรคงโทษหลินม่ายไม่ได้ หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มตั้งราคานี้ก่อน

เมื่อเห็นลูกค้าจำนวนไม่น้อยเดินเข้ามายังร้านของหลินม่าย หล่อนจึงยิ่งบันดาลโทสะ

ในเมื่อวันนี้หล่อนยังทำเงินไม่ได้ หล่อนก็ไม่ยอมให้ธุรกิจของหลินม่ายขายได้เหมือนกัน หล่อนเก็บร้านด้วยความไม่พอใจ  ถ้าร้านของพวกหล่อนขายสี่เหมา ก็คงทำเงินได้เหมือนกัน

ดังนั้นหล่อนจึงรีบตะโกน “เกาลัดไหมจ๊ะ หนึ่งชั่งสองเหมา ครึ่งชั่งหนึ่งเหมาเท่านั้นจ้ะ เร่เข้ามาได้เลย”

ในเวลานี้ ลูกค้าโดยส่วนใหญ่ต่างแห่กันไปยังแผงร้านที่สองของหล่อน ทำให้แผงร้านของหลินม่ายที่อยู่ด้านหน้าเริ่มสงบลง

เมื่อวานฟางจั๋วหรานต้องเข้ากะกลางคืน วันนี้คือวันพักผ่อน ดังนั้นเขาเลยจึงอยากมาเหมาซื้อเกาลัดสักหลาย ๆ ชั่ง ดูธุรกิจของเธอเสียหน่อย และถือโอกาสถามแม่เฒ่าผางว่าได้นำของบำรุงให้เธอไปแล้วหรือไม่

แต่เมื่อเห็นว่าร้านของเธอไม่มีลูกค้าเหมือนกับก่อนหน้านั้น แต่ร้านที่อยู่ถัดไปจากเธอกลับขายดี

เขาจึงเดินเข้าไป แล้วเอ่ยถามด้วยความฉงน “ทำไมธุรกิจของเธอถึงแย่ลงแบบนี้ล่ะ?”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นพบว่าเป็นเขา จึงคลี่ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณสำหรับของบำรุงเหล่านั้นของเขา

ฟางจั๋วหรานมองพิจารณาผิวทั้งสองแม่ลูกอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าดีขึ้นกว่าคราวที่แล้ว ดูเหมือนจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย

จึงโบกมือไปมา “เรื่องเล็ก ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

ก่อนจะถามอีกครั้งว่าทำไมร้านของเธอถึงขายไม่ดี

หลินม่ายบอกถึงต้นสายปลายเหตุกับเขา จากนั้นก็ห่อเกาลัดให้เขาหลายห่อ “ไหน ๆ วันนี้เกาลัดพวกนี้ก็ขายไม่ออกแล้ว คุณช่วยฉันซื้อไปตั้งหลายชั่ง ช่วยลดความเสียหายของสินค้าไปได้เยอะทีเดียว”

ฟางจั๋วหรานยิ้มพลางยื่นมือออกไปรับ แล้วกล่าวขอบคุณ เตรียมเดินจากไป

แต่ก่อนกลับเขาได้หันกลับไปมองแผงร้านขายเกาลัดแห่งที่สองของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกหลายครั้งด้วยสายตาเย็นชา

จากนั้นเขาก็ตรงกลับมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ทันที เรียกระดมนักศึกษาของตัวเอง ให้พวกเขาช่วยเจียดเวลาในวันนี้ บอกกล่าวเพื่อนให้ไปซื้อเกาลัดร้านของหลินม่าย ในราคาหนึ่งชั่งสี่เหมา

แล้วยังบอกอีกว่าให้มารับเงินที่ซื้อเกาลัดไปจากเขา

กระทั่งมีนักศึกษาถามด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ฟาง ทำไมต้องซื้อเกาลัดในราคาหนึ่งชั่งสี่เหมาด้วยล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานจึงบอกถึงสาเหตุที่มีคนหวังร้ายตั้งใจแข่งขันกับร้านของหลินม่ายกับนักศึกษาคนอื่น

จนมีนักศึกษาชายอีกหลายคนเอ่ยถามด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “อาจารย์ฟาง เจ้าของร้านคนนั้นเป็นผู้หญิงใช่ไหมครับ?”

“แล้วพวกเธอคิดว่าไงล่ะ?” ฟางจั๋วหรานเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หอบลูกมาเปิดแผงขายของไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันจึงอยากช่วยหล่อนไง”

เหล่านักศึกษาพากันผิดหวัง คิดว่าคนที่พวกเขาช่วยเป็นว่าที่ภรรยาของอาจารย์ ที่แท้ก็ไม่ใช่

แต่การได้ช่วยเหลือคนด้อยโอกาสสักคน วัยรุ่นเลือดร้อนเหล่านี้เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

“ก็แค่ซื้อเกาลัดจำนวนหนึ่งชั่งสี่เหมาไม่ใช่เหรอ? แถมยังเบิกเงินคืนจากอาจารย์ฟางได้ด้วย! อาจารย์ฟางแค่อยากช่วยผู้ด้อยโอกาส เราอยากทำเรื่องดี ๆ บ้างไม่ได้เลยเหรอ?”

นักศึกษาต่างพากันบอกเล่าสิบคน จากสิบคนสู่ร้อยคน กระทั่งรวมตัวกันไปซื้อเกาลัดร้านของหลินม่าย

หลินม่ายเตรียมตัวจะเก็บร้านกลับบ้าน จู่ ๆ ก็มีวัยรุ่นกลุ่มใหญ่พากันมาซื้อเกาลัดของเธอ

แม้จะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมีลูกค้ามาเยือนถึงหน้าร้าน เธอก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน หยุดมือที่กำลังเก็บร้าน แล้วทำการขายของต่อไป

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกเห็นดังนั้นก็รีบตะโกนเรียกลูกค้าทันที “เกาลัดสดหอม ๆ จ้า หนึ่งชั่งสองเหมาเท่านั้น เร่เข้ามาเร็วเข้า ไม่งั้นพลาดนะจ๊ะ!”

เมื่อเห็นวัยรุ่นเหล่านั้นไม่เคลื่อนไหว จึงวิ่งเข้ามาลากตัวพวกเขา “อย่าไปซื้อเกาลัดร้านหล่อนเลย เกาลัดร้านของหล่อนขายตั้งสี่เหมาต่อชั่ง แพงจะตายไป ร้านฉันขายแค่สองเหมาต่อชั่งเองจ้ะ”

ตั้งใจจะกดราคาให้ต่ำกว่าก็ว่าเกินไปแล้ว นี่ถึงขั้นวิ่งมาลากตัวลูกค้าของเธออีก ชักจะเกินไปแล้ว

หลินม่ายทนไม่ไหวอีกต่อไป

เธอไม่สนใจแม้แต่จะคั่วเกาลัดต่อ โยนไม้พายทิ้งแล้วเดินมาผลักหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น “อายุมากเสียเปล่า แต่หน้าไม่อายสิ้นดี วิ่งเข้ามาลากตัวลูกค้าร้านของคนอื่นหน้าด้าน ๆ!”

ลูกชายและลูกสะใภ้ของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกต่างโยนไม้พายทิ้ง แล้วล้อมเข้ามา ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ “เราวิ่งไปลากลูกค้าจากร้านของเธอแล้วจะทำไม? พูดเหมือนกับว่าเธอจะทำอะไรกับเราอย่างนั้นแหละ!”

เมื่อนักศึกษาเหล่านั้นเห็นหญิงหน้าไหว้หลังหลอกกำลังรังแกงหลินม่าย ก็พากันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ 

เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน จากนั้นก็ผลักหญิงหน้าไหว้หลังหลอกออกไป ก่อนจะกล่าวด้วยความแค้นเคือง “ทำไม?  คิดจะหมาหมู่รังแกคนอื่นเหรอ? ผมชักอยากเห็นแล้วสิว่าพวกคุณเยอะกว่า หรือพวกผมที่มีจำนวนเยอะกว่า!”

ครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกพากันอึ้งงันไปชั่วขณะ ทำไมพวกเขาจะคาดไม่ถึงว่าเด็กพวกนี้ตั้งใจปกป้องหลินม่าย

กระทั่งมีเด็กผู้หญิงอีกไม่น้อยตะโกนเสียงดังขึ้น “เกาลัดของพี่สาวขายแพงกว่าแล้วทำไม?  สินค้าสมราคา แถมเกาลัดของพี่สาวก็อร่อยมากด้วย! อย่าว่าแต่เกาลัดร้านป้าขายแค่สองเหมาต่อชั่งเลย ต่อให้ขายสองเฟินต่อชั่งฉันก็ไม่ซื้อ กลัวว่ากินเข้าไปแล้วจะทำให้จิตใจสกปรกแบบพวกป้า!”

ครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกพากันโมโหเดือดดาล

นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้พากันมาซื้อเกาลัด กระทั่งบ่ายสองโมงเกาลัดของหลินม่ายก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยง

เกาลัดของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นกลับยังขายไม่ออกเลยกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์

แม้จะบอกว่าเกาลัดร้านหล่อนจะขายในราคาถูกกว่า แค่สองเหมาต่อชั่งเท่านั้น 

แต่ลูกค้าคนหนึ่งทนแรงโน้มน้าวของนักศึกษาที่กำลังห้อมล้อมร้านเกาลัดของหลินม่ายไม่ไหว ดังนั้นร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกเลยขายไม่ออกแต่อย่างใด

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็จนปัญญา จำนวนของนักศึกษาพวกนั้นมีมากเกินไป พวกเขาไม่กล้าเข้าไปก่อกวนเลยแม้แต่น้อย

ในฐานะที่เป็นคนกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วย่อมไม่โง่ซ้ำสอง ยิ่งไปกว่านั้นชาติที่แล้วหลินม่ายก็เป็นเจ้าแห่งนักชิมของมณฑลหูเป่ย ต้องมีสติตื่นตัวตลอดเวลา

เมื่อบังเอิญได้ยินว่าหนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้นบอกว่าตัวเองเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ หลินม่ายจะเดาไม่ออกได้อย่างไรว่าฟางจั๋วหรานช่วยเธออยู่เบื้องหลัง

แต่การทำธุรกิจจะรอให้เจ้าตัวมาช่วยได้ทุกวันไม่ได้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้

อีกอย่างเธอไม่ใช่คนที่ชอบพึ่งพาคนอื่นอะไรเทือกนั้น

ถ้าครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกยังอยู่ที่นี่ เธอก็ไม่มีทางทำธุรกิจต่อไปได้ หลินม่ายจึงเตรียมจะย้ายร้าน

ในอดีตเธอเอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ในเมืองเจียงเฉิงกว่าครึ่งชีวิต ย่อมรู้ดีว่าพื้นที่ตรงไหนในเมืองเจียงเฉิงถือว่าเป็นทำเลที่ดี

ผู้คนส่วนมากต่างเข้าใจผิดคิดว่าการทำธุรกิจแถวสถานีรถไฟจะไปได้สวย คิดว่ามีจำนวนคนเยอะ

ความจริงแล้วการทำธุรกิจแถวสถานีรถไฟในสมัยนี้ไม่ใช่ทำเลที่ดีที่สุดของเมืองเจียงเฉิง

ทำเลที่ดีสุดคือท่าเรือเยวี่ยฮั่นที่เป็นท่าเรือข้ามฟากเมืองฮั่นโขวใกล้กับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ท่าเรือข้ามฟากเมืองอู๋ชางที่อยู่ตรงข้ามก็ยังดีไม่เท่า

แม้ว่าเศรษฐกิจของท่าเรือข้ามฟากเมืองอู๋ชางในสมัยนั้นจะไม่เลว แต่คนในเขตอู๋ชางกลับชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของในเขตฮั่นโขวมากกว่า

เพราะห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในเมืองเจียงเฉิงแทบจะกระจุกรวมอยู่ตรงท่าเรือฮั่นโขวเพียงที่เดียว

แต่หลังจากเขตท่าเรืออู๋ชางสร้างย่านธุรกิจกู่ชางและย่านธุรกิจสูตงขึ้นมา คนที่มาซื้อของจากท่าเรือฮั่นโขวจึงน้อยลง

หลินม่ายจึงตั้งใจไปขายเกาลัดที่ท่าเรือเยวี่ยฮั่นซึ่งอยู่ในเขตท่าเรือข้ามฟากฮั่นโขว  ซึ่งธุรกิจที่นั่นไม่แย่ไปกว่าธุรกิจแถวสถานีรถไฟแต่อย่างใด

………………………………………………………………………………………………………………………..

*หมูตงพอ หรือ หมูตงปอ ภาษาจีนเรียก ตงพัวโร่ว (จีนตัวเต็ม: 東坡肉; จีนตัวย่อ: 东坡肉; พินอิน: dōngpōròu) เป็นอาหารประจำเมืองหางโจว

สารจากผู้แปล

พี่หมอเปย์หนักมากป๋ามาก ภาวนาขอให้เป็นพระเอกของน้องเถอะ

ไหหม่า(海馬)