ตอนที่ 31 ทารกตกลงมาจากที่สูง

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 31 ทารกตกลงมาจากที่สูง

ทุกครั้งที่มู่เถาเยาลาหยุดกลับมา เธอจะได้รับความห่วงใยเป็นพิเศษจากเพื่อนร่วมชั้นปีของเธอ

ยกตัวอย่างเช่นเซียวเซียวที่นั่งอยู่โต๊ะติดกัน “เยาเยา เธอยุ่งมากเลยเหรอ ต้องการให้ทุกคนช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า ลาหยุดบ่อยๆ จะถูกหักคะแนนความประพฤตินะรู้ไหม” ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูเข้มงวดมาก

ยกเว้นนักเรียนพิเศษสองสามคน โดยทั่วไปมักจะไม่อนุญาตให้นักเรียนลาหยุด

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเก็บหน่วยกิตทันแน่” วิชาภาคบังคับสี่ปีของมหา’ลัย เธอจะเก็บมันทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งปี

หวังหมิ่นชิ่นที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหน้าพูดว่า “เยาเยา นี่เป็นสมุดโน๊ตของฉันที่ทำไว้เมื่อคืน เอาไปอ่านนะ แล้วถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามฉันได้” คะแนนของเธอดีที่สุดในคณะนี้

“ขอบคุณนะหมิ่นชิ่น” มู่เถาเยารับสมุดโน๊ตมา

จำเป็นต้องพลิกอ่านก่อนสักครั้งถึงจะรู้ว่าเมื่อวานเรียนถึงเนื้อหาส่วนนี้แล้ว

เพื่อนร่วมชั้นปีคนอื่นๆ ก็อยากแสดงความห่วงใยเช่นกัน แต่เสียงกริ่งของชั้นเรียนก็ดังขึ้นก่อน

วิชานี้คือนิติเวชวิทยา

อาจารย์ชายในวัยประมาณสี่สิบปีกำลังยืนพูดอยู่บนโพเดียม เขาสอนวิชาที่น่าเบื่อและนองเลือดนี้อย่างตลกขบขัน

มู่เถาเยาพลิกหน้าหนังสืออ่านทีละหน้าอย่างจดจ่อ และหยุดพลิกเมื่ออาจารย์พูดถึงกรณีจริงและวิเคราะห์มัน

หัวข้อนี้น่าสนใจจริงๆ

หลักฐานทางนิติเวชศาสตร์ที่ได้มาจากการวิเคราะห์และตรวจร่างกายของผู้เสียชีวิต เป็นกลาง เป็นวิทยาศาสตร์ และแม่นยำมากที่สุด!

หากหมอชันสูตรศพในชาติที่แล้วของเธอมีโอกาสเรียนรู้เรื่องนี้ คงไม่มีผู้คนจำนวนมากที่เสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์

ไม่ว่ามู่เถาเยาจะทำอะไร ตราบใดที่เธอตัดสินใจแล้วเธอก็จะทำมันอย่างจริงจังมาก

เวลาเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังเลิกเรียน เซียวเซียวฟุบลงกับโต๊ะด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยากและถามว่า “เยาเยา เธอจำได้มากแค่ไหน”

“จำได้หมดแล้ว”

“หา! จำได้หมดทุกอย่างเลยเหรอ!”

“อืม”

“อ๊าาา ฉันจำไม่ได้เลยสักอย่างเดียว! นิติเวชศาสตร์ยากจัง เรียนแพทย์แล้วทำไมยังต้องเรียนกฎหมายด้วย มันยากเกินไปสำหรับฉัน!”

หวังหมิ่นชิ่นหันไปหัวเราะกับเธอ “งั้นทำไมเธอถึงเลือกเข้าคณะนี้ล่ะ”

“ฉันคิดว่าแพทย์นิติเวชหญิงเจ๋งมาก!”

“…”

เซียวเซียว “เยาเยา ทำไมเธอถึงเลือกเรียนคณะนิติเวชศาสตร์เหรอ เธอดูเป็นคนอ่อนโยนและน่ารักมาก เธอไม่กลัวศพไร้หัวและชิ้นส่วนพวกนั้นเลยเหรอ นี่แค่ดูรูป ฉันยังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะฝันร้าย แล้วถ้าฉันได้ไปเห็นของจริง…”

มู่เถาเยา “ศพไม่น่ากลัว แต่ใจคนต่างหากที่น่ากลัว”

มีคนมากมายบนโลกนี้ที่วินาทีก่อนหน้านี้ยังยิ้มให้คุณ แต่พอหันหลังมาเขาก็เอามีดแทงเข้าไปในหัวใจของคุณแล้ว

เพื่อนร่วมชั้นปีมองเพื่อนตัวน้อยของพวกเขาด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์อีกครั้ง ที่เธอสามารถพูดคำพูดลึกซึ้งกินใจแบบนี้ออกมาได้ ต้องผ่านความเจ็บปวดมามากแค่ไหน

ใครกันหนอที่กล้าทำร้ายจิตใจสาวน้อยที่น่ารักและบอบบางแบบนี้ได้ลง! ชั่วช้าที่สุด!

อายุของมู่เถาเยาอ่อนกว่าเพื่อนร่วมชั้นปีของเธอเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น แต่เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอวบอิ่มและดูเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมต้น เธอจึงกลายเป็นเป้าหมายตัวเล็กที่ถูกปกป้องไปโดยปริยาย

หมิ่นชีสยาถามอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวเยาเยา เธอโอเคใช่ไหม”

“ไม่เป็นไร ฉันมีความสุขดี”

เมื่อนึกถึงทุกคนในหมู่บ้านเถาหยวนซาน มู่เถาเยาก็ยิ้มเล็กน้อย

ชีวิตนี้เธอมีความสุขมากจริงๆ เรียบง่าย มั่นคง และเป็นอิสระ

เพื่อนร่วมชั้นปีไม่เชื่อ เด็กกำพร้าคนหนึ่งจะมีความสุขได้มากขนาดไหน

เสี่ยวเยาเยาจะต้องพูดแบบนี้เพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นกังวลอย่างแน่นอน!

สมองของทุกคนแล่นไวมาก เผลอแป๊บเดียวก็สร้างบทละครให้ตัวเองเสร็จสรรพ พวกเขามองไปที่มู่เถาเยาราวกับกำลังมองหัวกะหล่ำสีเหลืองน้อยๆ ที่น่าสงสารกลางทุ่งนา

“…ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” มู่เถาเยารู้สึกเลิกลั่กเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกนี้

บนแผ่นดินจงโจว มีคนจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่รู้ว่าจักรพรรดินีของพวกเขาแท้จริงแล้วมีหัวใจที่บอบบางมาก แต่เพราะประสบการณ์และชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา เธอจึงจำต้องสวมเกราะที่แข็งแกร่งให้กับตัวเอง

เห็นได้ชัดจากการที่เธอลากร่างกายที่สะบักสะบอมของตัวเองไปยังเมืองที่เกิดโรคระบาด…

มู่เถาเยารอจนกระทั่งเสียงกริ่งของชั้นเรียนดังขึ้นจึงเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน

เธอพบว่าทุกคาบเรียนนั้นน่าสนใจมาก

วิทยาศาสตร์แท้จริงแล้วเป็นแบบนี้!

เวลาช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว

เพื่อนร่วมชั้นปีหลายคนนัดเธอให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันซึ่งมู่เถาเยาก็ไม่ปฏิเสธ เพราะปีกไก่โคล่าในโรงอาหารที่สองนั้นอร่อยมาก!

ในช่วงพักกลางวัน มู่เถาเยาไม่ได้กลับบ้าน เธอปฏิเสธห้องพักส่วนตัวที่อาจารย์อาเล็กของเธอจัดไว้ให้และเลือกไปเดินเล่นที่สวนหย่อมเล็กๆ มองดูต้นไม้และต้นท้อกำลังแบ่งบานด้วยสีสันสดใส

ร่างเล็กพิงหลังไปกับต้นท้อขนาดใหญ่

เธอชอบต้นท้อ ไม่ใช่เพียงเพราะดอกท้อที่แตกหน่อทำให้สัมผัสถึงแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิที่เล็ดลอดผ่านกิ่งก้าน แต่เพราะเสด็จแม่ของเธอชอบ เธอจึงชอบมันด้วย

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง

เสด็จลุงเคยพูดไว้ว่า ในเดือนมีนาคมที่ดอกท้อแบ่งบานและสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิเริ่มพัดมา เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับคนคนหนึ่งและม้าหนึ่งตัวที่จะออกไปท่องขุนเขาและแม่น้ำ

หัวใจดวงเล็กๆ ของเธอโหยหาและเฝ้าคิดถึงมันทั้งวันทั้งคืน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่ความฝันนี้จะเติบใหญ่ มันก็ถูกทำลายลงด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแผนการในวังหลวง

จากนั้นเธอก็ไม่มีโอกาสคิดถึงมันอีก

ในชีวิตนี้เธอสามารถเติมเต็มความปรารถนาในชีวิตที่แล้วได้อย่างง่ายดาย และเธอยังคงชอบต้นท้อและดอกท้อ

คลื่นมนุษย์ถูกปัดกวาดออกไป แต่ดอกท้อยังคงอยู่

มู่เถาเยามีความเศร้าโศกเล็กน้อยในดวงตา แต่เธอก็ฟื้นคืนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

หลับตาและพักสมอง

เธอไม่รู้ว่าภาพที่เงียบสงบและสวยงามนั้น ได้ถูกใครบางคนแอบบันทึกเอาไว้แล้ว

หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย หัวหน้าห้องก็ยกเอกสารกองหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะของมู่เถาเยา

“เสี่ยวเยาเยา ดูสิว่าเธอชอบชมรมไหน”

“ฉันไม่มีเวลา” มู่เถาเยาปฏิเสธทันทีโดยไม่หันมามอง

“คืนนี้เธอต้องไปทำงานพิเศษเหรอ”

“ฉันมีเรียนขับรถค่ะ ฉันเพิ่งอายุครบสิบแปดปีเลยตั้งใจว่าจะไปฝึกขับรถและสอบใบขับขี่”

“อ้อๆ งั้นเธอก็เลือกเข้าชมรมก่อน! รอได้ใบขับขี่แล้วค่อยไปร่วมกิจกรรมชมรมก็ได้”

“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันค่อนข้างยุ่ง ถ้ามีเวลา ฉันจะลองไปดูกิจกรรมของทุกคนนะคะ”

นักเรียนทุกคนรู้ว่าเธอเปิดร้านค้าออนไลน์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่บังคับเธออีกต่อไป

หมิ่นชีสยา “เยาเยา ถ้างั้นอย่าลืมที่นัดกินข้าวกันก่อนไปเรียนขับรถล่ะ”

“อื้ม”

ในความเป็นจริง เธอไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากด้วยซ้ำในการสอบใบขับขี่มันเป็นเพียงกระบวนการหนึ่งที่ต้องผ่านเพราะเธอขับรถได้นานแล้ว

และเธอก็สามารถขอใบขับขี่ได้เลยโดยผ่านเส้นสาย แต่เธอปฏิเสธไป

ไม่ว่ายังไง เธอก็อยากรู้ว่าพอเข้าไปเรียนแล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง

เหมือนกับฟองน้ำที่ดูดซับความรู้ของโลกนี้ทีละเล็กละน้อยไม่มีที่สิ้นสุด

มู่เถาเยาลงจากรถของมหาวิทยาลัยและนั่งแท็กซี่จากหน้าประตูมหาวิทยาลัยไปยังทิศใต้ของเมือง

เธออาศัยอยู่ทางทิศเหนือของเมืองและเคยไปที่ถนนคนเดินทางทิศตะวันออกของเมืองมาแล้ว เขตเซิ่งซื่อฉางอันอยู่ทางทิศตะวันตก แต่เธอไม่เคยไปทิศใต้มาก่อน

มีมุมที่เงียบสงบอยู่ทางทิศใต้ของเมือง งานวรรณกรรมและศิลปะสดใหม่ให้ความรู้สึกแบบเป็นนายทุนเล็กน้อย

ผู้กำกับ นักแสดงข้างถนน พนักงานออฟฟิศ และเหล่าปัญญาชนต่างชอบมารวมตัวกันที่นี่

ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกแบบแผ่นดินเกิด แต่ยังเป็นเมืองแห่งเสียงดนตรี

เมืองเย่ว์ตูมีไข่มุกที่เปล่งประกายอยู่สองเม็ด เม็ดแรกคือมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู และอีกเม็ดคือหมินเล่อถวน

ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนมีหัวใจที่รักในศิลปะอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเคยมี มีมันแล้ว เป็นเพราะงาน เสียมันไปแล้วตามกาลเวลาที่เติบใหญ่ หรืออาจจะกำลังมีมัน ล้วนมาที่นี่เพื่อต้องการดื่มด่ำกับสไตล์ที่หลากหลายของมุมนี้

มู่เถาเยาไม่คิดว่าตัวเองมีหัวใจแห่งศิลปะ เธอมาที่นี่เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองในทิศนี้เท่านั้น

แต่มันก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง เพราะสถาปัตยกรรมของเมืองในทิศใต้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเมืองหลวงเก่าแก่อายุนับพันปีที่ผสมผสานเสน่ห์แบบคลาสสิกและบรรยากาศที่ทันสมัยเข้าด้วยกัน

ต่อให้เธอมาตรฐานสูงแค่ไหน เธอก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเมืองนี้น่าดึงดูดคนมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีไอศกรีมโยเกิร์ตที่เธอโปรดปรานในร้านไอศกรีมที่มีคิวยาวเหยียดด้านหน้า

แต่ก่อนที่เธอจะวิ่งไปเข้าคิวตามคนอื่น จู่ๆ เสียงกรีดร้องจากใครบางคนที่อยู่ชั้นบนก็กระแทกเข้ามาในหู “กรี๊ดดดด ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบรับเขาไว้ที ลูกชายของฉัน! อ้าาา…อึก…”

เนื่องจากชั้นบนนั้นอยู่สูงจากพื้นเกินไป คนที่อยู่ด้านล่างจึงไม่ได้ยินเสียงร้องโศกเศร้าของเธอ

แต่มู่เถาเยาฝึกฝนกำลังภายใน เธอมีพลังในการได้ยินที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงสามารถได้ยินเสียงร้องตะโกนจากชั้นบนห่างออกไปหลายสิบชั้นได้อย่างชัดเจน

ทารกตกลงมาจากที่สูง และคนที่อยู่ในแต่ละชั้นก็เห็นและพยายามยื่นมือออกไปจับเด็กทารกไว้ แต่ไม่มีใครจับทันเลยสักราย คนที่อยู่ด้านบนจึงรีบตะโกนลงมาด้วยความตื่นตระหนกและเสียงดังว่า “รีบรับตัวเด็กไว้เร็วเข้า…”