ตอนที่ 38 ปล่อยตัวปล่อยใจ

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

พวกเวอร์เนลตั้งใจที่จะยืนยันความสงสัยของตนกับครูใหญ่ พวกเขาจึงตรงไปที่ห้องครูใหญ่

ตามปกติแล้วนักเรียนจะไม่สามารถเข้าห้องครูใหญ่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตเว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉิน หากบุกเข้าไปก่อนได้รับอนุญาตก็อาจทำให้ครูใหญ่ขุ่นเคืองได้

ต่อให้นักเรียนจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าครูใหญ่มองว่า”นักเรียนคนนั้นไม่เหมาะจะรับใช้เคียงข้างเซนต์” ทำให้ไม่อาจกลายเป็นอัศวินได้

อย่างน้อยที่สุด หากนักเรียนเข้าห้องครูใหญ่ไปโดยไม่มีการนัดล่วงหน้า ก็เรียกได้ว่าหมดอนาคตในฐานะอัศวินไปแล้ว

นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงแต่อย่างใด

การเข้าห้องของผู้มีตำแหน่งสูงกว่าโดยไม่ได้รับอนุญาต…หากปล่อยให้คนเช่นนั้นกลายมาเป็นอัศวินรับใช้เซนต์ ก็มีโอกาสที่เขาจะบุกรุกเข้าห้องของเซนต์เช่นกัน คนเช่นนั้นไม่อาจนับเป็นอัศวินได้อีก อย่างมากก็แค่อันธพาลคนหนึ่ง

พวกเวอร์เนลเองก็รู้ตัวดีว่าการพยายามเข้าพบครูใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจมีผลอย่างไรตามมา

แต่เฉพาะครั้งนี้เท่านั้น พวกเขาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

“ท่านพ่อคะ พวกเรามีเรื่องต้องการจะถามค่ะ!”

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ไอน่าก็พูดด้วยเสียงที่ดัง

ทางส่วนครูใหญ่นั้น–ฟ็อกซ์กลับดูสงบอย่างน่าประหลาดทั้งที่ถูกเรียกด้วยเสียงดังแบบนั้นแท้ๆ

ราวกับว่าเขาคิดไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น เขาเพียงแค่นั่งเฉยบนเก้าอี้ ยกหน้าขึ้นเพื่อมองพวกของเวอร์เนล

“อืม ได้สิ แต่ปิดประตูซะก่อนด้วย”

“เอ๊ะ? อ๊ะ ค่ะ…”

ทั้งที่ไอน่าเปิดตัวเข้ามาอย่างรุนแรงขนาดนั้น การถูกโต้ตอบด้วยความสงบทำให้เธอไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว

เมื่อประตูถูกปิดลงตามที่บอก ฟ็อกซ์ก็ถอนหายใจเล็กๆก่อนจะเปิดปากพูด

“ดูเหมือนว่า…พวกเธอหกคนจะเป็นนักเรียนที่ใกล้เคียงกับการเป็นอัศวินที่สุดในสถาบันนี้สินะ”

ฟ็อกซ์หัวเราะอย่างเศร้าสร้อยพร้อมกับพูดเช่นนั้น

ไม่มีความโกรธต่อนักเรียนที่บุกรุกเข้ามายังห้องของตนเลย ต้องบอกว่าเขานับถือนักเรียนเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ

คำพูดคาดไม่ถึงเช่นนี้ทำให้พวกเวอร์เนลชะงักไป

“ไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้นหรอก จริงอยู่ที่การจะเป็นอัศวิน มารยาททางสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ตามปกติแล้วจะต้องมีการลงโทษผู้ที่แหกกฏ เพราะว่าไม่สามารถปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นกับเซนต์ได้ล่ะนะ อย่างไรก็ตาม หากยังอยู่เฉยๆในขณะที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเซนต์นั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ถ้าแบบนั้นจะมาเป็นอัศวินไปทำไมล่ะ”

ฟ็อกซ์ประสานนิ้มเข้าด้วยกันพร้อมวางข้อศอกไว้บนโต๊ะ[*ท่าแบบเก็นโดในอีวานเกเลี่ยน]

ทันใดนั้น เขาก็กวาดสายตาเฉียบคมสมเป็นอดีตองครักษ์ส่วนตัวมองมายังทั้งเจ็ดคน

“เอาล่ะ…ถึงข้าจะรู้ดีว่าพวกเธอมาที่นี่ทำไม ข้าก็ยังจะถาม พวกเธอต้องการที่จะถามเรื่องอะไรหรือ?”

“ทำไมท่านเอลริสถึงยังไม่กลับมาล่ะครับ…? สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเรามาเพื่อถามเรื่องนั้นครับ”

เวอร์เนลตอบฟ็อกซ์ไปอย่างไม่ลังเล

ฟ้ฮกซ์หรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับเขากำลังมองบางสิ่งบางอย่างที่ส่องประกาย

สิ่งที่เขาไม่มีอีกแล้ว: ความทุ่มเท

ถึงแม้จะยังขาดประสบการณ์…การที่สามารถยกเซนต์เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งเหนือตนเองนั้นนับเป็นเครื่องบ่งบอกถึงอัศวินที่ดี

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฟ็อกซ์ถึงต้องการที่จะทดสอบพวกเขา

คนรุ่นใหม่เหล่านี้จะให้คำตอบใดกับเขาได้กันแน่?

“ท่านเอลริสยังปลอดภัยดี ตอนนี้เธออาศัยอยู่ที่ปราสาทเซนต์ แต่…เธอถูกห้ามไม่ให้ออกจากปราสาท”

“ไม่ใช่ว่านั่นคือ…?”

“การกักบริเวณ ไม่สิ การคุมขังเสียมากกว่า นี่เป็นสิ่งที่เหล่าราชาตกลงร่วมกัน แทนที่จะให้เธฮไปต่อสู้กับแม่มด พวกเขาเลือกที่จะเก็บเธอไว้ให้ปลอดภัยเสียดีกว่า”

เป็นอย่างที่พวกเวอร์เนลคาดการณ์ไว้เลย

ก็ใช่ว่าจะสามารถเรียกสิ่งที่พวกราชาทำว่า”ชั่วร้าย”ได้

ทุกๆคนในที่นี้ก็มีความคิดที่ แม้จะน้อยแค่ไหน ก็ยังใกล้เคียงกัน

ตั้งแต่ที่พวกเขารับรู้เกี่ยวกับชะตากรรมของเซนต์จากครูใหญ่คนที่แล้ว ดิแอส…แทนที่จะปล่อยให้เซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลายเป็นแม่มด สู้เก็บเธอไว้ แล้วปล่อยให้เซนต์รุ่นต่อไปเป็นผู้แบกรับหน้าที่จัดการแม่มดเสียดีกว่า…ถึงจะเป็นเพียงการเลื่อนปัญหาไปไว้ทีหลังก็เถอะ

“ข้าเองก็ไม่อาจต่อต้านคำสั่งนั้นได้ พวกองครักษ์คนอื่นเองก็ด้วย แทนที่จะปล่อยให้เธอตาย พวกเรายอมที่จะทรยศเธอ…”

สีหน้าของฟ็อกซ์นั้นเหนื่อยอ่อน และยิ้มเยาะให้กับตัวเอง

ชีวิตของเอลริสในปราสาทนั้นคงไม่สะดวกสบายมากนัก และยังไร้ซึ่งอิสระ

แน่นอนว่าพวกกษัตริย์ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะโหดร้ายอะไรกับเธอ

พวกเขาจะพยายามหาสิ่งอำนวยความสะดวกมาปรนเปรอเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะพยายามช่วยเหลือให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

เอลริสอาจจะมีความสุขมากกว่าก็ได้หากเป็นเช่นนี้…ราชาพวกนั้นอาจจะคิดเช่นนั้น

“ข้าไม่รู้หรอกว่าการฝืนกักขังคนคนหนึ่งเอาไว้ตลอดชีวิตจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงหรือเปล่า แต่…เธอก็จะปลอดภัย ถึงจะไร้อิสระ แต่การที่นกสักตัวจะมีได้รับความสงบสุขและการปรนเปรอตลอดชีวิตตราบที่ยังอยู่ในกรงนี่มันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ? หากนกตัวนั้นกลายเป็นอิสระ มันก็อาจจะตายวันตายพรุ่งก็เป็นได้ ถ้าแบบนั้นจะมีใครสักคนพอใจหรือเปล่า? ข้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องใดที่มันถูกต้องน่ะ”

พอพูดจบ ฟ็อกซ์ก็ส่ายหัวเบาๆ

เขามองไปยังเวอร์เนล เอเทอร์น่า และคนอื่นๆ

“ไม่สิ…นั่นมันก็แค่ข้อแก้ตัว ไม่ใช่ว่าไม่มีใครต่อต้าน แต่ไม่มีใครกล้าต่อต้านต่างหาก พวกเธอบางคนที่มาจากตระกูลสามัญชนอาจจะไม่เข้าใจนะ…แต่ก่อนที่ข้าจะเป็นอัศวิน ข้านั้นคือขุนนางผู้ครองที่ดิน ข้ามีบริวาร ครอบครัว และปราชาชนต้องคอยดูแล คนอื่นๆเองก็เช่นกัน อัศวินโดยส่วนมากแล้วล้วนมาจากตระกูลชนชั้นสูงกันทั้งนั้น”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเรื่องนี้

เวอร์เนลและเอเทอร์น่าสามารถสอบผ่านเข้ามาได้ด้วยความสามารถก็จริง แต่เติมแล้วสถาบันนี้แทบจะมีแต่ลูกตระกูลขุนนางเพียงอย่างเดียว

เทียบกับขุนนางที่มีโอกาสได้เรียนรู้วิชามาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกสามัญชนที่แค่จะใช้ชีวิตรอดต่อไปในแต่ละวันนั้นทาบไม่ติดเลย

เพราะเช่นนั้น อัศวินทุกคนในขณะนี้ล้วนเป็นขุนนางหรือมีความเกี่ยวข้องกับขุนนาง

เพราะเช่นนั้นจึงไม่มีใครที่สามารถต่อต้านราชาได้

“เซนต์มีตำแหน่งทางการเมืองที่สูงยิ่งกว่าราชา แต่ว่า… ข้าคิดว่าพวกเธอน่าจะเข้าใจนะ ว่าความจริงแล้ว…”

“ผู้ที่มีพลังทางการเมืองจริงๆนั้นคือราชา ในขณะที่เซนต์นั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์…แบบนั้นสินะครับ?”

“ถูกต้องแล้วล่ะจอห์นคุง”

เซนต์มีอำนาจทางการเมืองสูงที่สุดแค่เพียงฉากหน้าเท่านั้น ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องนี้

ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น เซนต์คนที่แล้วคงไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน และเอลริสก็คงไม่ต้องมาโดนจับขังแบบนี้

ถ้าจะให้พูด เซนต์ก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ เป็นศูนย์รวมใจของประชาชน…แม้จะนับว่ามีตำแหน่งสูงที่สุดก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำ

เพราะเช่นนั้น อำนาจทางการเมืองของเธอในสภาวะคับขันนั้นจึงต่ำกว่าราชา

เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะเซนต์ไม่ได้เป็นผู้ครองที่ดินด้วยซ้ำไป

ผู้ที่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้คือราชาและเหล่าขุนนาง

การให้เซนต์มีตำแหน่งสูงกว่าก็มีไว้เพื่อลดคำติเตียนจากเหล่าประชาชนเท่านั้น

ถ้าจะให้พูด ก็คงต้องบอกว่าเซนต์คนปัจจุบันอย่างเอลริสนั้นมีชื่อเสียงมากเกินไป

เธอถูกปฏิบัติต่างจากเซนต์คนอื่นที่ถูกมองเป็นเพียงอาวุธไว้ต่อกรกับแม่มดอย่างลิบลับ

“…ถึงข้าจะถูกเรียกว่าเป็นอดีตองครักษ์ส่วนตัว แต่ความจริงแล้วข้าก็ยังเป็นเพียงวิสเคานท์ของดินแดนเล็กๆ เพียงราชาสั่งแค่คำเดียว ก็จะสามารถทำลายบ้านขุนนางเล็กๆแบบนั้นได้สบาย ถ้าเป็นแบบนั้น ทั้งประชาชนของข้า บริวารของข้า…ครอบครัวของข้าจะต้องตกอยู่ในอันตราย…ข้า…สุดท้ายข้าเลือกที่จะปกป้องผู้คนของข้าเหนือการปกป้องเซนต์…”

ฟ็อกซ์กำหมัดแน่นอย่างรุนแรงจนเล็บจิกลงไปยังฝ่ามือของตน

เขาเสียใจกับการตัดสินใจนี้ แะรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

หากแผนของราชานั้นชั่วร้ายอย่างชัดเจน เขาก็อาจจะใช้คุณธรรมในใจเป็นหลักและต่อต้าน ถึงแม้จะส่งผลให้ตระกูลของเขาถูกทำลายก็ตาม

แต่เหล่าราชาก็คงจะคิดเรื่องเช่นนี้ไว้อยู่แล้ว จึงมีการส่งสารมาให้เขาและองครักษ์ทุกคน

“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อท่านเซนต์” หรือ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านเซนต์ก็จะต้องตาย”

ฟ็อกซ์และอัศวินคนอื่นไม่มีทางเลือกนอกจากถอยให้

พวกอัศวินก็รู้ดีว่าสารนี้เป็นเพียงข้อแก้ตัวที่เหล่าราชาเตรียมไว้ให้พวกเขาใช้กับตัวเอง

แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าสิ่งนี้คือคำที่พวกเขาอยากจะเชื่อในหัวใจ

พวกเขาไม่อยากให้เอลริสต้องตาย ต้องทรมาณ ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อกำขัดแม่มด…หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด กลายเป็นแม่มดที่จะทำลายทุกอย่างที่เธอเคยปกป้องด้วยน้ำมือของตัวเอง แบบนั้นมันน่าเศร้าเกินไปแล้ว

พวกเขารู้สึกผิดกับการตัดสินใจนี้ก็จริง แต่อีกใจก็คิดว่านี่เป็นทางที่ดีกว่า

ความคิดเช่นนั้นทำให้พวกเขารังเกียจตนเอง

ความรู้สึกของพวกเขาต่างยุ่งเหยิงจนกล่าวเป็นคำพูดไม่ได้

“…เลย์ล่าซังเลือกแบบไหนหรือครับ?”

แม้เวอร์เนบจะตั้งคำถาม แต่น้ำเสียงของเขากลับแน่ใจ

เชารู้คำตอบอยู่แล้ว

ท่าทีของลังเลของเลย์ล่าในตอนที่สู้กับดิแอสบอกทุกสิ่ง

คำตอบของฟ็อกซ์ช่วยยืนยันสิ่งนั้น

“…บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่า พวกองครักษ์คนอื่นเองก็ด้วย น่ะ บทบาทของเลย์ล่าคือการเป็นตัวประกัน ด้วยพลังของเธอแล้ว ถึงพยายามจะกักบริเวณก็ไม่สามารถหยุดท่านเอลริสได้อยู่ดี… เพราะแบบนั้นพวกเขาถึงต้องการเบี้ยที่จะนำมาใช้ในการต่อรองกับท่านเอลริส…”

ชีวิตของตนถูกนำมาใช้เป็นเครื่องต่อรองกับเจ้านายที่เป็นห่วงเธอ

เป็นการทรยศที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่อัศวินจะสามารถทำได้

เลย์ล่าเองก็รู้เรื่องนี้ดี

ความปราถนาของเธอที่จะให้เอลริสมีชีวิตต่อไปนั้นมากถึงเพียงนั้น

เธอไม่สามารถสงบใจได้

ความจงรักภักดีที่มีต่อเอลริส ความกลัวว่าเอลริสจะต้องตาย…เธอถูกทับถมด้วยความรู้สึกเหล่านั้น ส่งผลให้เธอหลงทางและถูกคำพูดของราชาไอส์ล่อลวง

“…แล้วพวกเธอคิดว่าทางเลือกไหนที่ดีกว่ากันล่ะ?”

ฟ็อกซ์มองไปยังพวกเวอร์เนล

ตัวเขาเลือกที่จะกักขังเอลรอสเพื่อปกป้องเธอ และก็ทำตามนั้น

แม้จะไร้อิสระ เอลริสก็ยังจะมีชีวิตที่สงบสุขในปราสาท

ทางเลือกนี้จะเป็นผลดีต่อเธอเละโลกมากกว่า เขาอยากจะเชื่อเช่นนั้น

คนแรกที่ตอบอย่างไม่ลังเลเยคือซัปเปิ้ลทีาตัวซีดจากการไม่ได้เห็นเอลริสเป็นเวลานาน

“นกสตีลจะมีอายุขัยได้เพียงห้าปี แต่อาจอยู่ได้ถึงยี่สิบปีภายใต้การดูแลของมนุษย์ นกเช่นนี้จะมีชีวิตยืนยาวกว่าในการดูแลของมนุษย์มากกว่าปล่อยไว้ในผ่า กระผมเห็นด้วยกับการตัดสินใจของครูใหญ่ การปล่อยให้ต้องเสียเซนต์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไปนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เลย ต้องทำให้เธอปลอดภัยด้วยชีวิตและเคารพบูชาเธอ…โลกที่ไร้ซึ่งเซนต์เช่นนั้นไม่มีค่าพอให้อยู่ต่อ…กระผมสนับสนุนให้พิทักษ์เธอไว้”

ไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงของซัปเปิ้ลผู้คบั่งไคล้เอลริสเลย

ดีไม่ดีเชาอาจจะเคยคิดจับเธอไว้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้

เขามองว่าเอลริสนั้นมีค่ากว่าโลกทั้งใบ

ถือเป็นธรรมชาติของคนคนนี้

ซัปเปิ้ลไม่สนเลยสักนิดว่าแม่มดจะออกอาละวาดฆ่าคนเป็นพันเป็นหมื่น

ชีวิตทุกชีวิตน่ะมีไว้เพียงเพื่อเป็นฐานรองรับเอลริส ต่อให้รวมมนุษยชาติทั้งหมดมาก็ยังถือเป็นแค่เศษธุลีเมื่อเทียบกับเอลริส เขาเชื่อแบบนั้นจริงๆ

“ชั้นคิดว่า…นี่มันเกินไปแล้วค่ะ พวกคุณไม่เคยถามเจ้าตัวเลยว่าเธอรู้สึกอย่างไรบ้าง ตามปกติก็ต้องถามความคิดเห็นของท่านเอลริสก่อนไม่ใช่หรือคะ!?”

ผู้ที่ตอบคนถัดไปคือเอเทอร์น่าที่ปฏิเสธอย่างเต็มตัว

ความคิดของเธอก็นับเป็นเรื่องปกติ

จะถูกจะผิดอย่างไร ก็ควรให้เจ้าตัวเป็นผู้เลือกไม่ใช่หรือ

เวอร์เนลเห็นด้วยและก้าวออกมาข้างหน้า

“ผมจะไปช่วยท่านเอลริส แต่ในครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามคือเหล่าราชาของแต่บะประเทศ อย่าว่าแต่จะไม่สามารถเป็นอัศวินได้เลย จะถูกหมายหัวเป็นอาชญากรซะด้วยซ้ำ ใครที่ไม่ต้องการที่จะเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องตามมาหรอกนะ”

รอบนี้เขาไม่สามารถขอความช่วยเหบือได้ง่ายๆ

ไม่ใช่แค่การลงทัณฑ์ทางกาย แต่อาจต้องใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะอาชญากร

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่เวอร์เนลจะต้องลังเล

เขาสาบานไว้แล้วว่าจะคืนบุญคุณเธอให้จงได้ ไม่เกี่ยวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใคร

“…ชั้น…ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี”

แมรี่ไม่กล้าที่จะก้าวขาออกไป ไอน่าเองก็เช่นกัน

จอห์นและฟิโอร่าเองก็ด้วย พวกเขาอยากจะขยับ แต่ก็ก้าวขาไม่ออก

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ…ถึงแม้จะทำใจเรื่องการต้องต่อสู้กับแม่มดและปีศาจไว้แล้ว แต่กับการต้องเป็นศัตรูกับทุกประเทศในโลกนั้นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

โดยเฉพาะแมรี่และไอน่าที่มาจากตระกูลขุนนาง ต่อให้พวกเธอรับผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวของตัวเองต้องรับผลตามไปด้วย

ผู้ที่ก้าวออกมามีเพียง…เอเทอร์น่าและเวอร์เนลเท่านั้น

“ชั้นจะไปด้วยนะ ให้เธอไปคนเดียวไม่ได้หรอก”

เอเทอร์น่าเป็นห่วงเวอร์เนลมากกว่าเอลริสเสียอีก จึงจำใจต้องตามไปด้วย

ใครซักคนต้องตามคุณเพื่อนที่ไม่ยอมมองรอบข้างคนนี้ไปด้วย

ถึงแม้ว่าเขาจะไปหาผู้หญิงคนอื่นและไม่เคยมองมาที่เธอเลยจะทำให้เธอเคืองนิดๆ…แต่เธอก็ยังอยากจะเป็นพลังให้เขา

เธอชอบเขาที่มองโลกในแง่ดีแบบนั้น

“ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เราก็คงต้องเป็นศัตรูกัน กระผมจะไปที่ปราสาทเซนต์เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อราชา”

ซัปเปิ้ลไม่ลังเลเลยที่จะเป็นศัตรูกับเวอร์เนล

เซนต์ต้องมีชีวิตรอดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็แค่นั้น

ในครั้งนี้เชาจึงไม่สามารถเป็นพรรคพวกได้

เวอร์เนลเข้าใจในเรื่องนั้นแหละพยักหน้าเบาๆ

และแล้วเวอร์เนลและเอเทอร์น่าก็เดินทางออกจากสถาบันไปโดยพยายามหลบสายตาซัปเปิ้ล

.

ก็คิดมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แล้วนะ แต่…ไม่ใช่ว่านี่เป็นไลฟ์สไตล์แบบที่ชั้นใฝ่ฝันมาตลอดหรอกเหรอ?

ตั้งแต่ที่ชั้นถูกกักบริเวณก็ผ่านมาแล้วหนึ่งอาทิตย์

ชั้นคิดแบบนั้นในระหว่างที่กลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง

เข้าใจป่ะ นี่ชั้นถูกรับใช้ปรนเปรอทั้งที่ำม่ต้องทำงานอะไรเลย

ถึงพวกราชาจะกักบริเวณ/คุมขังชั้นเพื่อให้ชั้นเป็นเซนต์ต่อไป แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรที่เลวร้ายต่อชั้นเลย

ก็ใช่ว่าชั้นจะมีอะไรให้ทำ เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนขี้เกียจ

นี่เป็น NEET ไลฟ์สไตล์ที่ได้รับการสนับสนุนจากพวกพระราชาทั้งหลาย

แถมยังมีข้ออ้างดีๆอย่างการโดนจับขังซะอีก

ชั้นไม่ได้กักตัวเองซะหน่อย พวกราชาบังคับชั้นต่างหาก!

อะเหื้อ ไม่มีทางเลือกเลย! ถูกข้งอยู่แบบนี้ชั้นทำอะไรไม่ได้จริง!

ก็อยากจะทำอะไรที่ดูสมเป็นเซนต์อยู่หรอกนะ แต่เพราะถูกกักบริเวณอยู่เลยช่วยไม่ได้ ชั้นไม่มีทางเลือกเลยต้องมาขี้เกียจอยู่อย่างนี้! อะเหื้อ ข้าโศกเศร้าเสียใจเป็นที่สุด

ก็อยากจะทำงานให้หนักเหมือนพวกทาสบริษัทอยู่หรอก แต่ไม่ได้รับอนุญาตอ่ะ! แย่จัง

น่าเสียดายเหลือเกิน!

…ก็ประมาณนี้แหละ

ไม่มีใครมาดุด่าบอกให้ไปทำงาน…ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ใครๆก็พยายามจะหยุดไม่ให้ชั้นทำหน้าที่

อย่างน้อยที่สุดชั้นก็จะตีหน้าทำเป็นว่าลำบากใจกับที่ถูกขังละกันนะ

ชั้นนั่งเอามือทาบหน้าต่างพร้อมมองไปข้างนอกด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ส่วนในสมองจริงๆคิดว่ามื้อเย็นนี้เอาเป็นอะไรดีอยู่

นานๆก็ถามยามเฝ้าประตู พวกอัศวินคนทรยศว่าโลกข้างนอกสงบสุขดีรึเปล่า ไม่ก็ วันนี้มีใครต้องทนทุกข์ทรมานจากพวกปีศาจบ้างมั้ย

รู้สึกดีไม่เลวเลย

เล่นเป็นเจ้าหญิงที่โดนจับนี่ก็ดีเหมือนกันแฮะ

นี่มันสถานการณ์ในฝันเลยไม่ใช่เหรอ?

โดนขังอยู่แบบนี้ ชั้นจะปล่อยตัวปล่อยใจแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า

เจ้าหญิงในเกมก็คงมีสักคนแหละที่สามารถหนีออกไปได้เองโดยไม่ต้องรอตัวเอกมาช่วย แต่สุดท้ายก็ยังจะเสียเวลารออยู่ดี

ไม่ใช่ว่าโดนจับล่ามโซ่ขังคุกใต้ดินซะเมื่อไหร่ ก็แค่นั่งชิลรออยู่ในห้องบอสเองไม่ใช่เหรอ?

ไม่มีเกมแบบนั้นหรอก? ไม่อ่ะ มีดิ

เกมประจำชาติที่เจ้าหญิงมักจะถูกจับตัวไปเป็นประจำ ทั้งที่สามารถใช้เวทมนตร์กับกระทะโจมตีได้แท้ๆ

แถมยังมีเวทย์รักษาอีก ไม่ใช่ว่าเก่งกว่าตัวเอกไปแล้วหรือนั่น

ถ้าเก่งขนาดนั้นก็จัดการคุปป้าแล้วกลับมาเองก็ได้นี่[*เจ้าหญิงพีชจากมาริโอ้นั่นเอง]

เจ้าเต่าคุปป้านี่ก็โง่เหลือเกิน จะไปยืนบนสะพานที่อยู่เหนือลาวาทำเผือกอะไร แถมยังเจือกมีขวานเตรียมไว้ตัดสะพานให้เสร็จสรรพอีก อยากตายรึไง?

ใช้ขวานตัดสะพานจากด้านหลังก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่เรอะ ท่านเจ้าหญิง?

น่าจะมีผู้เล่นคนอื่นที่คิดแบบชั้นนั่นแหละ

แต่ชั้นเข้าใจแล้วล่ะ พอได้มาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ทำให้ชั้นเข้าใจได้

เป็นเจ้าหญิงที่ถูกจับตัวนี่มันสบายจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่มีข้ออ้างให้ใช้แบบชั้นเนี่ย

สวรรค์ NEET ชัดๆ

สบายจัดจนชั้นเปลืองเวลาไปอาทิตย์นึงแล้วเนี่ย

ยังไงก็ไม่มีอีเวนต์ใหญ่ๆจนวันหยุดฤดูหนาวจบ ไม่ต้องรีบหนีก็ได้

ขอขี้เกียจอีกซักหน่อยเท้อ~

เป็นเวลาพักของนีทที่ตามหามานานทั้งที ก็ขอเสพสุขให้สาแก่ใจเลยละกัน

แต่ก็ยังต้องทำเป็นว่าชั้นไม่ได้ทำแบบนี้อย่างเต็มใจ ก็จะทำท่าขอพรให้ดูละกัน

พระสงฆ์องค์เจ้าเอ๊ย~ ขอไก่เป็นข้าวเย็นให้ลูกช้างด้วยเถิด~ …จบ

เค เสร็จละ ตูจะไปนอนขี้เกียจอีกซักอาทิตย์ละกัน บาย

อุวะฮะฮะฮ่า

…เอ๋? มีคนมาช่วยชั้นแล้วเหรอ?

โกหกน่า ดูบรรยากาศหน่อยสิเฟ้ย