( มุมมองของฮาโรลด์ )
ผมไม่กล้าพูดได้เต็มปากหรอกนะว่าผมนั้นพร้อมแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมัวหมดอะไรตายอยากอยู่แบบนี้ ในท้ายที่สุด ผมก็ไม่สามารถคิดแผนอื่นใดๆออกได้อีกนอกเสียจากขอความช่วยเหลือจากทางทาซุคุ
แม้ผมจะป่าวประกาศออกไปว่าการเดินทางในครั้งนี้นั้นคือกับดัก แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะทำให้พวกเขาเชื่อได้นอกเสียจากผมหาหลักฐานยืนยัน ถ้าจะมีอะไรที่ผมทำได้ในตอนนี้เพื่อเตรียมพร้อม ก็คงมีแค่คอยพูดเตือนโคดี้ให้ระมัดระวังอยู่ตลอด
แม้ว่าการกระทำเช่นนี้มันจะไม่มีค่าอะไรก็ตาม
ตอนนี้พวกเรากำลังลงเดินด้วย 2 เท้าและลากม้าที่ดึงเกวียนของพวกเราข้ามผ่านบริเวณโคดหิน ผมสาบานได้เลยว่าความขรุขระของมันมากพอที่จะทำให้ผมปวดเท้าสุดๆ
[ ฮาโรลด์ ข้ารู้ว่ากล้ามเนื้อใบหน้าของนายมันแข็งแกร่งซะจนสามารถทำให้ใบหน้าของนายบึ้งอยู่ได้ตลอดเวลา แต่เฮ้ ทำไมนายไม่ลองเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่ไปด้วยล่ะ มันจะต้องทำให้นายหน้าบึ้งกว่านี้มากกว่า 5เท่าแน่ๆ ! ]
อาจเพราะผมดูเครียดเกินกว่าที่ผมคิดไว้นัก ซิด ผู้ที่เดินอยู่ข้างๆผม จึงตัดสินใจเล่นมุขตลกให้ผมผ่อนคลายลงนิดหน่อย
ทุกๆวันตั้งแต่ในวันแรกของการเดินทาง คนในหน่วยของโคดี้ต่างพากันพูดคล้ายๆแนวนี้กับผมหลายต่อหลายครั้ง อาจเพราะพวกเขาคิดว่าผมกำลังเครียด เพราะนี่คือภารกิจแรกของผม ดังนั้นพวกเขาต่างพากันพยายามช่วยทำให้ผมผ่อนคลายลง
แต่พวกเขาก็ไม่สงสัยเลยว่าสิ่งที่ผมกำลังเครียดนั้นมันเป็นเพราะเรื่องอื่น
น่าเสียดาย หลายๆสิ่งที่ผมพยายามเตือนออกไป ”ระวังตัว,อย่าประมาท”หรือ”ดูสิ่งรอบๆตัวเองเอาไว้” สิ่งเหล่านี้กับถูกมองข้ามโดยไม่สนเลยสักนิด ทหารส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างเป็นทหารผ่านศึกเช่นเดียวกับโรบินสันที่มองว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่มีพิษมีภัยอะไรดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องกังวล
บางครั้ง ผมก็คิดว่าทั้งๆที่ผมมีเวลาตั้งมากมายที่เสียไป ผมน่าจะเตรียมการมาให้ดีกว่านี้ นั้นพราะผมไม่สามารถทำให้บรรยากาศในตอนนี้มันตรึงเครียดไปกว่านี้ได้เลย
[ ไอ้พวกโง่ พวกแกจะทำตัวชิวเกินไปแล้ว ถ้าหากการต่อสู้เริ่มขึ้น พวกแกจะเป็นพวกแรกที่จะตาย ]
[ แล้วใครกันที่พวกเราจะได้สู้ด้วยล่ะ ? ]
[ จากหน่วยลาดตะเวนจากชายแดน พวกเขารายงานมาว่าพบเห็นกลุ่มคนที่น่าจะเป็นสายลับจากจักรวรรดิ]
[ อืมข้าก็คิดว่าไอ้เถือกๆนั้นคงจะเป็นไปได้ แต่สำหรับพวกหน่วยสำรวจ เต็มที่พวกเขาก็มีกันแค่ 30 คน ในขณะที่พวกเรามีจำนวนอย่างน้อยก็ปาเข้าไป 200 แล้ว ถ้าหากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงๆ พวกเราก็คงสามารถแก้ใขสถาการณ์ได้โดยง่ายอยู่ดีนั้นแหละ ]
ผมไม่รู้เลยว่าผมจะตอบคำพูดนั้นแก่ซิดยังไงดี เพราะที่ผมรู้ว่ากำลังจะเกิดขึ้นนั้นมันจะไม่ได้กลายเป็นการต่อสู้เล็กๆแบบนั้น
มันเป็นเรื่องปกติที่ หน่วยเฉพาะกิจ 30 คนที่ออกลาดตระเวนอาจจะตายไปอย่างไร้ค่าแถมยังให้อาวุธและชุดเกราะเป็นของแถมแก่ฝั่งศัตรูอีกด้วย แต่ว่าสำหรับทหารผ่านศึกที่มาจากหน่วยอัศวิน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เหตุการณ์มันจะกลายเป็นเช่นนั้นถ้าหากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
แต่มันคงจะเป็นอย่างที่ซิดว่าไว้ถ้าหากข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้เป็นจริง แต่มันมีโอกาสสูงมากที่เรื่องนี้จะกลายเป็นเลยร้ายจากหลักฐานที่ฮาโรลด์มีอยู่ตอนนี้
ตามเนื้อเรื่อง มันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย ดูเหมือนว่าจะเป็นการซุ่มโจมตีตอนที่พวกเราเข้าไปในป่า
ผมสงสัยว่าทำไมซิดยังคงใจเย็นอยู่ได้และมอบจดหมายสั่งเสียแก่ แรลี่ คราว ได้หน้าตาเฉย
ขณะที่คิดถึงเรื่องร้ายๆหลายสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ผมสาบานกับตัวเองไว้ว่าผมจะปิดฝาโลงเรื่องนี้ก่อนให้จงได้
ถ้าหากผมสามารถทำลายโอกาสต่างๆที่จะทำพาให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นได้ก่อน เช่นนั้นซิดก็จะกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
[ ถ้าหากแกไม่อยากที่จะตาย ดังนั้นแกควรที่จะเตรียมตัวเองเอาให้พร้อมกับการต่อสู้อยู่เสมอ ไอ้โง่แบบแกควรจะรู้เรื่องนี้ไว้นะ ]
[ จ้า~จ้า~ ]
ดูเหมือนว่าซิด ที่ได้รับคำพูดเตือน(แบบหยาบคาย)ของผม สิ่งที่สื่อถึงซิดมีเพียงแค่ความปรารถนาดีเท่านั้น
ผมอยากจะเตือนพวกเขาเกี่ยวกับอนาคตที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ แต่ถ้าหากไม่มีหลักฐานเพียงพอ แทนที่พวกเขาจะเชื่อผม กลับกลายเป็นผมไปเพาะปลูกความสงสัยและไม่ไว้ใจในตัวผมแทน
อย่างน้อยที่สุด ผมก็พยายามที่จะฝังความรู้สึกถึงอันตรายไว้ในใจของพวกเขา แต่ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์ และกว่าที่ผมจะรู้สึกตัว พวกเราก็มถึงที่เมื่องใกล้ๆกับ ป่าบลิส พวกเรามาพักอยู่ที่เมืองก็เพราะพวกเราได้รับมอบหมายให้ลาดตระเวนป่าแห่งนี้
( อ่า . . . ผมควรจะทำอย่างไรดี ? )
เมื่อมาถึงที่นี่ในตอนเย็นและเสร็จสิ้นการเตรียมการสำหรับวันพรุ่งนี้ ผมตัดสินใจว่ามันคงจะดีถ้าหากออกสำรวจเมืองนี้ในตอนที่ยังพอมีแสงอาทิตย์อยู่
เมื่อคำนึงถึงเวลา มันไม่ค่อยมีผู้คนมากนักที่อยู่บนถนน อืม ผมก็ไม่ได้คิดว่าเมืองนี้ใหญ่โตอะไรหรอก
แม้ถ้าคุณเดินเหม่อๆพลางครุ่นคิดถึงปัญหา คุณก็จะไม่ถูกรบกวนจากคนอื่นๆบนถนนที่แทบจะร้างแห่งนี้ ขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมก็เผลอหลงเดินเข้ามาในซอยตัน สงสัยเป็นเพราะผมเอาสมองส่วนควบคุมทิศทางเอาไปคิดอยู่
เมื่อเท้าของผมหยุดลง
และเมื่อผมคิดที่จะกลับ ผมก็มานึกขึ้นได้ว่าผมกำลังหลงทาง เพราะผมนึกไม่ออกเลยว่าผมเดินมาจาทางไหนกันแน่
‘นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี้ย?’ นั้นคือสิ่งที่ผมคิดที่จะพูดกับตัวเอง ในซอยตันแห่งนี้ ผมได้เรียกสติตัวเองกลับมาด้วยคำพูดที่กังก้องในความคิด
[ …. ถึงเวลาต้องหยุดสักที ต้องเดินต่อไปอีกนานแค่ไหนถึงจะพอใจ ? ]
ผมใส่ความกดดันมากมายลงในน้ำเสียงของผม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการพูดกับตัวเองก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มันกลับมีร่างของหลายๆคนโผล่ออกมา พวกเขาต่างอยู่ในชุดสีดำสนิทราวกับกลืมกลืนไปบรรยากาศยามพลบค่ำ มันทำให้ฮาโรลด์รู้ได้ทันทีว่านี่คือนินจา
จู่ๆก็ถูกล้อมโดยกลุ่มคนดูน่ากลัว ความตื่นตัวของผมก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุดโดยทันที ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าพวกเขานั้นเป็นศัตรูหรือไม่ก็ตาม
แต่กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคาดการณ์ ร่างสีดำ 10 คนนี้กลับไม่ขยับไปไหน มีเพียง 1 คนจากพวกเขาที่ก้าวออกมาด้านหน้าและถอดผ้าคลุมออกที่ปิดบังทุกส่วนของใบหน้ายกเว้นดวงตา
[ ไม่ได้พบกันนานเลยนะค่า~ ท่านฮาโรลด์~ ]
เสียงที่ลากยาวของเธอที่ไม่มีแม้แต่ความตรึงเครียดใดๆ แม้ว่าเธอจะอยู่ในชุดที่ไม่ใช่ชุดทำครัวที่เธอมักจะใส่ก่อนหน้านี้ แต่ก็แน่ชัดแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือ ยูโนะ คนรับใช้ส่วนตัวของเอริกะ
มันเป็นความรู้สึกโล่งใจที่พัดผ่านร่างของผมทันทีที่ผมรู้ว่าพวกเขาเป็นมิตรไม่ใช้ศัตรู
[ ข้อความจาก ทาซูคุ? ]
[ ค่า~ ]
หลังจากการพูดคุยอย่างตึงเครียดเพื่อขอความช่วยเหลือจากทาซูคุ ผมล่ะรู้สึกขอบคุณจริงๆที่เขาส่งกำลังเสริมมาให้ผมตามสัญญา
แต่ว่าทำไมถึงส่งยูโนะมาให้ผมกันล่ะ? มันจะไม่เป็นงานหนักเกินไปสำหรับยูโนะหรอกรึ ในเมื่อเธอก็เป็นเมดอีกตำแหน่ง
หรืออาจเพราะเธอรับใช้เอริกะในฐานะคนคุ้มกัน จึงหมายความว่าเธอมีความสามารถ? แสดงว่านี่คือวิธีที่ยอดเยี่ยมในการซ่อนบุคลากรชั้นยอดเอาไว้สินะ
[ อืม ข้าจะให้อภัยพวกแกในเรื่องก่อนหน้านี้ล่ะกัน ]
[ ค่า~ ก็ ท่านเอริกะสั่งดิฉันเอาไว้ว่า ‘ทำตามใจเธอได้เลย’ ค่า~ ]
(หือ?)
ยูโนะเพิ่งจะบอกผมว่าเธอไม่ได้มาเพราะภารกิจ ? คุณคงคิดว่าคนที่เป็นถึงคนรับใช้คนสนิทของทาซูคุและเอริกะบอกเป็นในๆแบบนั้นรึ
คำพูดที่เธอพูดมานั้นมันเหมือนกับว่า ‘ ดิฉันมาที่นี่ก็เพราะดิชั้นต้องการมาด้วยตัวของตัวเอง’
ผมรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งแปลกๆกับเรื่องนี้ แต่ว่าผมไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้หรอกตอนนี้
[ หืม เอาเหอะ แล้วพวกแกได้ข่าวอะไรมาบ้าง ? ]
[ มีบ้างค่า~ ]
ยูโนะเธอกล่าวออกมาอย่างคลุมเคลือ
ถึงแม้ว่าสถานที่ตอนนี้จะไม่มีใครอื่นอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักในการพูดคุยข้อมูลลับเหล่านี้
คุณไม่เคยได้ยินมาบ้างหรอ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง
[ งั้นสินะ งั้นก็ไปที่ปลอดภัยกันเถอะ แล้วค่อยเล่ารายละเอียดกันที่นั้น ]
[ ทางนี้ค่า~ พวกเราเตรียมห้องส่วนตัวเอาไว้ให้แล้วค่า~~~ ]
สมแล้ว ทาซูคุทำงานได้อย่างรอบคอบเสียจริง
ราวกับตอบรับกับคำพูดของยูโนะ เหล่าคนชุดดำต่างเล้นกายกลับเข้าไปยังเงามืด และหายไปในความมืดอีกครั้ง หมายถึงยูโนะจะเป็นคนนำทางผมสินะ?
เมื่อผมหันกลับไปมองที่หน้าของยูโนะ มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกว่าโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ
ขณะที่เดินตามเธอไป ผมอธิฐานเงียบๆอยู่ในใจว่าเธอจะสามารถช่วยเหลือผมได้ในยามที่ผมต้องการ
◇ ◇ ◇
( มุมมองของโคดี้ )
มันก็ผ่านไปแล้ว 3 วัน ตั้งแต่พวกเรามาถึงที่ป่าบลิส ขณะที่เราได้รับภารกิจมาปฎิบัติหน้าที่เป็นกองกำลังสนับสนุน ถึงข้าจะแสดงท่าทีเหมือนดั่งเช่นเคย แต่ความจริงแล้ว หัวใจของข้ารู้สึกราวกับว่ามันกำลังอยู่ท่ามกลางพายุ
เหตุผลเพราะเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ฮาโรลด์ ผู้ซึ่งเพิ่งจะถูกรับให้เข้าหน่วยของข้า
ข้าได้รับหน้าที่ตรวจสอบฮาโรลด์ตามคำของร้องของวินเซนต์ อัศวินอันดับ 2 ในการสั่งการ และเป็นเพื่อนเก่าของข้าด้วย แต่ แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเท่าไหร่ที่จะมาให้จับผิดลูกน้องของตัวเอง
ถ้าหากฮาโรลด์มีเรื่องน่าสงสัยเพียงแค่เรื่องเดียว มันคงไม่น่าปวดหัวขนาดนี้หรอก
ตามปกติ สิ่งที่สะดุดตาของข้านั้นคือความสามารถจริงๆในการต่อสู้ของเขา แต่ความสงสัยนั้นก็ถูกทำให้กระจ่างในตอนที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับหมอกดำแดงลึกลับที่พบมันระหว่างการสอบ
มันคือมอนเตอร์ที่ไม่ปรากฎในรายชื่อ ฮาโรลด์ตอบสนองราวกับว่าเขารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับไอ้เจ้ามอนเตอร์นี้มาก่อน
เขาแสร้งทำเป็นใช้สัญชาตญาณในการยืนยันมันและแสดงราวกับว่ามันคือครั้งแรกที่เขาเคยพบมัน แต่ข้ารู้ได้ว่าเขาโกหกทันทีที่เขาสู้กับมัน
ถ้าหากวินเซนต์ไม่ขอร้องให้ข้าทำแบบนี้ และถ้าข้าเองไม่มีความสงสัยในจุดนี้อยู่ มันอาจจะทำให้ข้ามองข้ามเรื่องนี้ไป
มันอาจจะไม่มีผลร้ายใดๆที่มีต่อทางหน่วยอัศวินในการกระทำเช่นนี้ แต่ทำไมต้องแอบทำมันแบบอ้อมๆด้วย ?
( ไอ้ เจ้า”หมอกแดง”นั้น ข้าได้แต่หวังว่านายจะไม่รู้อะไรกับมันจริงๆนะ ฮาโรลด์ )
ข้าไม่เข้าใจเหตุผลของเขาเลยว่าทำไม
ผมไม่รู้แม้กระทั้งว่ามีเจ้าหมอกแดงอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากข้าได้ตรวจสอบอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับเจ้าหมอกนั้น มันคงจะเป็นโอกาสที่จะสามารถทำให้ข้ามองเห็นถึงเหตุผลจริงๆของการกระทำของฮาโรลด์
แต่ข้าก็ยังไม่สามารถพูดว่าตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรได้หรอก ไม่ว่าเขาจะสู้เพื่อฝั่งของอัศวินหรือมอนเตอร์ปริศนานั้น แต่ฮาโรลด์เขาก็รู้อย่างแน่ชัดแน่ๆ เพราะข้อมูลที่เขาเป็นคนกล่าวออกมาในตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาทั่วๆไปจะวิเคราะห์ออกมา
และในตอนที่เขาได้รับการแจ้งถึงเกี่ยวกับการที่เขาจะต้องมีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้ เขาก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ตั้งแต่เริ่มการออกเดินทาง ทุกๆครั้งที่เขาเปิดปากของเขา เขาจะเอาแต่พูดเตือนเรื่องเดิมๆประมาณ ‘’ให้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้’’
มันดูราวกับว่า “เขารู้” มันจะต้องเกิดขึ้น
นอกจากนี้ มันช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจในตอนที่ข้ากลับมายังที่เมือง ข้าก็ไม่เห็นร่างของเขาแล้ว
ข้าไม่สามารถปัดเป่าความรู้สึกแย่ออกไปจากภายในความคิดได้เลย แน่นอน สมาชิกหลายๆคนมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเครียดเวลาถูกส่งออกไปปฎิบัติภารกิจเป็นครั้งแรก แต่ข้ารู้ว่าฮาโรลด์นั้นไม่ใช่ เขาไม่ใช่เด็กผู้ชายธรรมดา
ข้าจะไม่สามารถสงบใจได้เลยถ้าหากข้ายังไม่สามารถหาคำตอบได้
ข้าเข้าใจดี ข้านั้นกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ฮาโรลด์พยายามเตือน
ไม่ใช่ว่าข้าควรจะพูดสิ่งที่ข้ารู้มากับทุกคนงั้นรึ? ข้าเองก็ไม่คิดว่าฮาโรลด์จะขาวสะอาดอะไร แต่วิกฤติครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชีวิต มันก็เป็นทางเลือกที่ข้าจะสามารถปกป้องชีวิตลูกน้องของข้าได้
( แต่ว่า . . . ฮาโรลด์เองก็เป็นลูกน้องคนสำคัญของข้าเช่นกันนะ ใช่รึปล่าว? )
มันคือสิ่งที่ข้าเชื่อมั่นอยู่เต็มอกเช่นกัน แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นความเชื่อมั่นที่ทำให้ข้าเป็นทุกข์
ข้ารู้ว่าฮาโรลด์นั้นไม่ใช่เด็กไม่ดีเหมือนดั่งที่เขาแสดงออกมา มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ข้าได้มีสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับฮาโรลด์ ดูเหมือนเขาจะมีความลับบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อหน่วยอัศวินเลย
ข้าอยากจะเชื่อในตัวของฮาโรลด์ มันคือความรู้สึกที่มาจากในฐานะของหัวหน้า
ข้าเชื่อในตัวเขาเพราะข้าต้องการที่จะเชื่อแบบนั้น แต่ข้าไม่สามารถอธิบายมันได้ แน่นอนมันคือความเชื่อที่ฟังดูโง่มากจริงๆ
ข้าได้หายใจออก มันเป็นการถอนหายใจที่ยาวนาน
ยิ่งคิดถึงมันเท่าไหร่ มันยิ่งซับซ้อน
อาจจะมีซักวันที่ข้าเดินไปหาฮาโรลด์และพูดขึ้น ‘’ ไง อรุณสวัสดิ์ ฮาโรลด์คุง มีอะไรอยากจะบอกข้ารึปล่าว ? ‘’
และในตอนนั้นเขาก็อธิบายออกมาทุกสิ่งอย่างตลอดที่ผ่านมา
เห้อ ข้าได้แต่ส่ายหัวลืมๆไป มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไรที่จะมาคุยกับเขาแบบนี้ในบางครั้ง ถ้าหากมันไม่ใช่ในระหว่างภารกิจลาดตะเวนในครั้งนี้ พวกเราก็คงจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแน่
และเมื่อข้าจะมุ่งตรงไปพบกันฮาโรลด์ ผู้ส่งสารก็รีบพุ่งเข้ามาราวกับพังประตู
[ มีรายงานว่าหน่วยลาดตะเวนถูกโจมตีโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่าย! มีรายงานถึงผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก! พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือในทันทีขอรับ ! ]
เหล่าผู้บังคับบัญชาเริ่มเคลื่อนไหวทันทีที่ข่าวถูกรายงานมา แต่ว่า ข้ากลับรู้ว่าต้องเดินหมากก้าวแรกให้ได้เร็วที่สุด
ทันทีที่ข้าเปิดประตูค่ายพักของหน่วยข้า มันจะต้องมีคนจำนวน 12 คนรวมถึงฮาโรลด์ด้วย
[ ถึงเวลาปฎิบัติหน้าที่แล้ว ! เรียกทุกคนให้ไปรวมตัวด้านนอก และ โรบินคุง- ]
[ ขะ- ขอรับ ?! ]
[ ฮาโรลด์คุงอยู่ไหน ? ]
[ เขาไม่ได้อยู่ที่นี้มาสักพักแล้วขอรับ . . . ]
ข้าช้าไป เขาคงจะนำหน้าข้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
สัญชาตญาณบอกข้าเช่นนั้น
[ จากนี้เป็นต้นไป หน่วยโคดี้นี้จะรับคำสั่งจากหน่วยของมาริค ข้าจะออกไปตามหาฮาโรลด์คุงก่อน ดังนั้น ฝากนายด้วยนะ ! ]
[ หะ-หัวหน้า ! ]
ข้าวิ่งออกไปโดยไม่ฟังเสียงของโรบิน และไปตรวจสอบที่คอกม้าเป็นอันดับแรก ข้าไม่ได้ยินว่ามีใครมายืมม้า และจำนวนของม้าก็ไม่ได้ลดลงไปไหน
อาจเพราะฮาโรลด์ยังคงเป็นสมาชิกหน้าใหม่เขาจึงยังไม่รับสิทธิในกาขอยืมม้าฉุกเฉินได้
หรือก็คือ ฮาโรลด์ตัดสินใจที่จะมุ่งตรงไปยังป่าบลิสด้วย 2 เท้าของตน ข้าคงจะตามเขาทันถ้าหากใช้ม้า
ข้าที่ยืมม้ามาได้มุ่งตรงไปยังป่าโดยทันที และใน 5 นาที ข้าก็สามารถมองเห็นแผ่นหลังของฮาโรลด์
ถึงงั้น แต่พลังขานั้นมันอะไรกัน กว่าจะตามทันดูเหมือนว่ามันจะใช้เวลามากกว่าที่คาดเอาไว้เยอะ
หลังจากลงจากม้าอย่างช้าๆ ข้าก็กระโดดลงไปขวางที่ด้านหน้าของฮาโรลด์
[ นายจะรีบไปหนกัน ฮาโรลด์คุง ? ]
[ ….แก ! ชิ แล้วคนอื่นๆล่ะ ? ]
[ นายหมายถึงโรบินและคนอื่นๆ ? ข้ามอบหมายคำสั่งให้กับทีมอื่นไปแล้ว ]
[ กลับไปซะ ถึงแกจะเป็นไอ้งี่เง่า แต่แกก็เป็นหัวหน้าของเจ้าพวกนั้น ]
[ ถ้านั้นคือสิ่งที่นายต้องการ งั้นทำไมพวกเราไม่กลับพร้อมกัน ? ]
[ ข้าขอปฎิเสธ ]
ปฎิเสธข้อเสนอกลับไปพร้อมกัน ดูเหมือนฮาโรลด์ตัดสินใจที่จะฉายเดี่ยว
เขาคงไม่คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นสินะ เพิกเฉยต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและแสดงกิริยาตามอำเภอใจ
ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากเขาเข้าแทรกแซงในสนามรบ เขาคงไม่สามารถรอดพ้นการถูกลงโทษได้แน่ มันเกินกว่าอำนาจที่ข้าจะสามารถปกป้องเขาได้ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาคงถูกปลดและถูกคุมขัง
แต่ข้าคิดว่านี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเลือกเส้นทางเช่นนี้ นั้นคงเพราะมันสำคัญต่อเขามากเช่นกัน
เด็กผู้ชายที่ชื่อฮาโรลด์คนนี้ ผู้ที่ยอมหักไม่ยอมงอต่อความเชื่อของตนเอง เขามีพลังที่สามารถจะทำอะไรก็ได้ให้เป็นจริงตามที่เขาหวังไว้
ข้าคงไม่สามารถชักจูงเขาได้ด้วยคำพูดเพียงแค่นี้
“ทำไมข้าถึงมือลูกน้องที่ปากแข็งแบบนี้กันนะ ?” ข้าได้แต่คิดและยิ้มออกมาเล็กๆ
[ นายอยากจะให้ข้ากลับไปคนเดียวงั้น ? ]
[ ข้าไม่สนใจ กลับไปได้แล้ว! ]
[ อย่างที่บอก ข้าทำแบบนั้นไม่ได้ ! รึว่านายอยากจะถูกลงโทษในฐานะผู้กระทำความผิด ? ]
แน่นอน นั้นคือในกรณีที่เขารอดชีวิตกลับมานะ
แค่มองตาฮาโรลด์ คุณคงรู้สึกได้เลยกลับความโกรธในดวงตานั้น มันเป็นดวงตาของคนที่ตัดสินใจจะกระโดดลงไปในคมเขี้ยวแห่งความตาย
ข้าเคยเห็นใครหลายๆคนที่มีสายตาแบบนี้ มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย และมากกว่าครึ่ง พวกเขาตาย
[ . . . . ]
[ นายแน่ใจนะ ? นายอยากจะให้ข้าพูดคำๆนั้นรึไง ? ]
ไม่มีทางที่ข้าจะยอมส่งใครก็ตามที่มีสายตาแบบนี้เข้าไปสู่สนามรบแน่ๆ
ถึงแม้วินเซนต์ขะยังสงสัยใจตัวของฮาโรลด์ แต่ข้านั้นไม่ ในครั้งแรกที่ข้าได้เห็นฮาโรลด์ ข้าสามารถมองเห็นมันได้
มันคือภาพของฮาโรลด์ที่ยืนอยู่ในฐานะของสุดยอดอัศวินที่ปกครองคนอื่นๆ
ที่พูดออกมาแบบนั้นมันอาจจะเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของข้า แน่นอนพวกเขาคิดถูก แต่นั้นมันคือสิ่งที่ข้าคิดจริงๆ
ข้ารู้ว่าฮาโรลด์นั้นมีศักยภาพที่สูงมาก ที่ทั้งข้าและวินเซนต์ไม่อาจเอื้อมถึง
แต่ ข้าก็ไม่อยากที่จะตาย
ข้าได้สูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ข้าไม่สามารถที่จะถอยหลังได้ในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ดึงดาบของข้าออกมาจากฝัก ข้าตระหนักดีว่าข้ากำลังจะทำอะไร
หลังจากที่ปลดปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา ข้าประกาศว่า
[ ถ้าหากนายต้องการจะผ่านทางไปจริงๆ ไอ้หนู นายจะต้องผ่านข้าให้ได้ก่อนนะ … เข้าใจรึปล่าว ? ]
——————————
TL: ฺฮาโรลด์บอกฉันบ่นกับตัวเอง นินจาโผล่มาจากไหน ??? รึว่าบทนี้จะเป็นการปักธงจูโนะ ?
TL1: ตอนนี้มันยาวจังฟร่ะ