“แมรี่… เธอไม่อยู่กับพวกเราแล้ว…”

 

ทันทีที่เอริกะพูดจบเธอก็นอนนิ่งไปท่ามกลางความสับสนของทุกคน จนทำให้โมโกะที่อยู่ใกล้ที่สุดเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ

 

“ฟรี้…”

 

“เป็นไงบ้างโมโกะ?”

 

“หลับไปแล้วล่ะ… แต่เอาจริงๆ น่าจะเรียกเหนื่อยจนสลบมากกว่าละมั้ง”

 

“ก็ไม่น่าแปลกใจละมั้งครับ เพราะเหมือนว่าเมื่อคืนนี้คุณเอริกะจะนั่งซ่อมของในห้องของเธอทั้งคืนเลย แถมเมื่อเช้านี้ยังต้องออกไปข้างนอกมาอีกต่างหาก”

 

คอนแนลพูดตอบกลับโมโกะกลับไป ก่อนที่เขาจะอุ้มร่างของเอริกะขึ้นมาเพื่อปูฟูกลงบนพื้นแล้วจึงค่อยวางร่างของเอริกะลงไปให้เธอได้นอนดีๆ

 

“แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ…ที่เอริกะเขาพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่”

 

“นั่นสิครับ ที่ว่าคุณหนูแมรี่ไม่อยู่แล้วนั่นน่ะ”

 

“ประหาร…”

 

“ห—หะ”

 

แต่ในขณะที่คอนแนลและนากากำลังพูดถามกันขึ้นมาอย่างจนปัญญาอยู่นั้นเอง อลิซที่นั่งก้มหน้านึกอะไรบางอย่างมาได้สักพักก็เอ่ยปากขึ้นมาลอยๆ จนทำให้พวกเขาทั้งสองนั้นต้องหันขวับไปทางเธอในทันที

 

“ค–คุณอลิซหมายถึงโทษประหารน่ะหรอครับ?”

 

“ใช่… เพราะถ้าให้พูดโดยรวมแล้ว แมรี่เขาก็ฆ่าพวกอัศวินกับสาวใช้ของเวก้าไปเยอะอยู่ใช่มั้ยล่ะ แล้วเวก้าก็ถือว่าเป็นขุนนางของทางวัง… แบบนี้พวกนั้นจะรู้สึกเสียหน้าจนอยากจะประหารแมรี่ก็ไม่แปลกหรอก”

 

“แต่มันก็เพราะแมรี่เขาควบคุมวิซในตัวไม่ได้ไม่ใช่หรอ!? มันไม่ใช่ความผิดของแมรี่เขาเองสักหน่อย!”

 

แน่นอนว่าเมื่อนากาได้ยินอลิซพูดออกมาแบบนั้น เขาก็พยายามจะพูดแก้ต่างให้แมรี่ออกมาทันที ส่วนคอนแนลนั้นกลับยืนนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

“ใช่… พวกเรารู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ แต่คนที่ตัดสินเรื่องนี้จริงๆ มันไม่ใช่พวกเราสักหน่อย”

 

“คนตัดสิน—!? จริงด้วยสิ…ถ้าเกิดพวกเขาโดนส่งไปที่นั่นล่ะก็…”

 

“ทำหน้าแบบนั้นนายคงจะเข้าใจสินะ ว่าถ้าเกิดแมรี่โดนส่งเข้าระบบตัดสินความผิดของที่นี่ขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไงน่ะ”

 

“ค…ครับ… ถึงคุณเวก้าเขาจะมียศแค่บารอนก็เถอะ แต่ว่ายังไงซะเขาก็เป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสำคัญ ถ้าเกิดว่าเขาชิงตัดหน้าคุณเอริกะไปแจ้งเรื่องก่อนจริงๆ คุณหนูแมรี่ก็คงไม่พ้นต้องโทษประหารแน่ๆ ล่ะครับ…”

 

ปึ้ง!!

 

“ถึงต้นเหตุทั้งหมดนั่นมันจะเป็นเพราะฝีมือเวก้าเองน่ะหรอ!?”

 

แน่นอนว่าพอนากาได้ยินแบบนั้นเข้าเขาก็ทุบมือลงบนโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับตะโกนถามออกมาเสียงดังด้วยความโมโหทันที จนทำให้พรีมูล่าที่จิ้มแก้มของเอริกะเล่นอยู่นั้นถึงกับสะดุ้งหันมามองด้วยความตกใจอยู่สักครู่ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปจิ้มแก้มของเอริกะเล่นต่อ

 

แต่คอนแนลนั้นก็ได้แต่หันหน้าหลบสายตาของนากาไปอีกทางด้วยความละอายใจ ก่อนที่จะพูดตอบนากาออกมาเบาๆ

 

“ใช่ครับ…”

 

“แล้วระบบแบบนั้นมันเรียกว่ายุติธรรมได้ที่ไหนล่ะ!! แบบนี้ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าศาลของเมืองที่เป็นความหวังของมนุษยชาติได้อยู่อีกหรอ!?”

 

“ฉันถึงไม่เรียกมันว่ากระบวนการยุติธรรมหรือว่าศาล แต่เรียกมันว่าระบบตัดสินความผิดไงล่ะ เพราะว่าสำหรับที่นี่แล้วมันมีหน้าที่แค่หาคนผิดจากที่ไหนก็ได้มารับโทษซะมากกว่า แล้วยิ่งกรณีนี้ทางวังเป็นผู้เสียหายเองด้วยพวกนั้นก็ยิ่งตัดสินความผิดง่ายเข้าไปใหญ่”

 

“หว๊าย…”

 

ซึ่งเมื่อพรีมูล่าที่ได้ยินก็ทำให้เธอถึงกับต้องผละมือจากแก้มของเอริกะพร้อมทำหน้าแหยๆ ออกมา

 

ในขณะที่คอนแนลซึ่งเคยภูมิใจว่าตนเองนั้นเป็นหนึ่งในอัศวินที่ถูกแต่งตั้งตั้งแต่ยังอายุน้อยนั้นก็เริ่มรู้สึกหมดศรัทธากับวังหลวงมากขึ้นไปทุกวัน จึงได้แต่หยิบเอาตราอัศวินของเขาออกมาจ้องมองดูอยู่เงียบๆ แต่ว่าทันใดนั้นเองเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากถามอลิซออกมา

 

“ว่าแต่คุณอลิซรู้เรื่องระบบนั้นได้ยังไงน่ะครับ? ถ้าเป็นคุณเอริกะผมก็ยังพอจะเข้าใจได้… แต่ว่าคุณอลิซมาจากนอกเมืองไม่ใช่หรอครับ ทำไมท่าทางเหมือนจะรู้เรื่องภายในวังดีกว่าผมอีกล่ะครับ?”

 

“หึ…ต้องบอกว่าฉันรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ดีละมั้ง… แต่เรื่องของฉันน่ะช่างมันเถอะ ตอนนี้บอกมาดีกว่าว่านายน่ะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ถึงนายจะดูซื่อสัตย์กับเอริกะแล้วก็จริงใจกับพวกฉันก็เถอะ แต่ว่าตัวนายเองก็เป็นอัศวินของวังหลวงไม่ใช่หรือไง? ถ้าเกิดว่าพวกนั้นคิดจะประหารแมรี่จริงๆ นายจะเข้ากับฝั่งไหนล่ะ เพราะว่าพวกฉันคงจะไม่ยอมให้แมรี่โดนประหารแน่ๆ ล่ะ”

 

“จ…จริงด้วยสิ คอนแนลเขาเป็นอัศวินของเมืองนี่นา”

 

“แต่พี่คอนแนลเขาทำตัวไม่ค่อยเหมือนเลยอ่า~”

 

พอโมโกะได้ยินที่อลิซพูดนั้นเธอก็หันมาหาคอนแนลด้วยความแปลกใจ ในขณะที่พรีมูล่านั้นก็ยิ้มแป้นออกมาพร้อมกับหันมาพูดใส่คอนแนลโดยไม่เกรงใจเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“พ—พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันน่ะครับพรีมูล่า! ถึงเห็นแบบนี้แต่ผมก็เป็นอัศวินเต็มตัวเหมือนกันนะครับ!”

 

“แฮะๆ แต่ไม่ใช่ว่าปกติพวกอัศวินเขาต้องทำตัวขรึมๆ ท่าทางดุๆ ดูเคร่งกฎระเบียบหรอ? พี่คอนแนลดูไม่ใช่คนแบบนั้นเท่าไหร่เลยอ่ะ!”

 

“มันก็จริงนะ… คอนแนล นี่นายเป็นอัศวินของที่นี่จริงๆ หรอ?”

 

“ก็ต้องจริงสิครับโมโกะ!!”

 

คอนแนลที่ได้ยินโมโกะพยักหน้าเห็นด้วยกับพรีมูล่านั้นก็รีบโวยวายออกมาทันที ก่อนที่อลิซนั้นจะกระแอ่มคอและรีบพูดชักทุกคนกลับเข้าประเด็นสำคัญหลักทันที

 

“ฮะแฮ่ม…เรื่องเหมือนไม่เหมือนนั่นค่อยว่ากันทีหลังเถอะ แต่ที่สำคัญตอนนี้คือนายอยู่ฝ่ายไหนต่างหากล่ะคอนแนล”

 

“เรื่องนั้นคุณอลิซไม่ต้องห่วงหรอกครับ! ถึงผมจะเป็นอัศวินก็จริงแต่ว่าถ้าไม่ได้คุณเอริกะช่วยเอาไว้เมื่อตอนนั้นผมก็คงไม่มีวันนี้หรอกครับ เพราะงั้นถ้าเกิดว่าคุณเอริกะต้องการความช่วยเหลือ ต่อให้ผมจะใส่เครื่องแบบอัศวินของรีมินัสอยู่ ผมก็พร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างเธอครับ!”

 

“โหว~ นี่สิพี่คอนแนลดูค่อยสมกับที่เป็นอัศวินหน่อยอ่ะ”

 

เขาพูดออกมาพร้อมกำมือขึ้นมาที่หน้าอกของเข้าด้วยท่าทางมุ่งมั่น จนทำให้พรีมูล่านั้นเอ่ยปากออกมาด้วยความแปลกใจ ในขณะที่อลิซนั้นก็ขมวดคิ้วมองเขาก่อนที่จะถามออกมาอีกครั้ง

 

“งั้นหมายความว่าถ้าเกิดเอริกะเขาต้องเป็นศัตรูกับวังหลวง นายก็จะออกจากการเป็นอัศวินมาปกป้องเอริกะเขาน่ะหรอ”

 

“แน่นอนครับ! เพราะผมมั่นใจว่าถ้าเกิดคุณเอริกะคิดจะเป็นศัตรูกับทางวังหลวงจริงๆ ล่ะก็ คุณเอริกะจะต้องมีเหตุผลเพียงพออย่างแน่นอนครับ!! ยิ่งหลังจากที่ผมได้เห็นเธอพยายามทุ่มตัวและชื่อเสียงของตัวเองเพื่อคุณหนูแมรี่ขนาดนี้แล้วด้วย…”

 

“อืม…ถ้างั้นฉันขอโทษที่สงสัยนายนะคอนแนล… เพราะปกติฉันจะเห็นแต่พวกอัศวินที่คอยก้มหัวรับใช้เจ้านายอย่างเดียวโดยไม่สนผิดถูกซะมากกว่าน่ะ… อัศวินที่ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อแบบนายไม่ค่อยจะมีให้เห็นกันสักเท่าไหร่นี่นะ…”

 

ซึ่งเมื่ออลิซได้ยินคำตอบที่หนักแน่นของคอนแนลแล้ว สีหน้าของเธอก็ดูผ่อนคลายลงมากก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอโทษออกมาตรงๆ ซึ่งคอนแนลนั้นก็ยิ้มออกมาและพยักหน้าให้กับเธอโดยไม่ถือสาอะไร

 

และเมื่อนากาเห็นว่าทั้งสองคนนั้นจะทำความเข้าใจกันได้แล้ว เขาก็ถามถึงเรื่องของแมรี่ขึ้นมาว่าควรจะทำยังไงกันต่อดี

 

“เอาล่ะ ถ้างั้นเรื่องคอนแนลก็ไม่มีปัญหาละ แต่เราจะเอายังไงกับเรื่องแมรี่นี่ดี? เพราะฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอถูกประหารไปแบบนั้นแน่ๆ ล่ะ”

 

“ถ้าเกิดว่าแมรี่ถูกตัดสินโทษประหารจริงๆ เราก็คงยังจะพอมีเวลาอีกสักพักละมั้ง ต่อให้ทางวังหลวงจะเลวร้ายขนาดไหนแต่ก็คงไม่ถึงขั้นพร้อมจะประหารชีวิตคนได้ทุกเมื่อหรอก น่าจะต้องมีเตรียมการอะไรกันก่อนบ้างล่ะ”

 

“ก็ตามที่โมโกะพูดมานั่นแหล่ะครับ ปกติแล้วจะต้องมีการขังเอาไว้ก่อนสักวันสองวันเผื่อว่านักโทษจะสารภาพอะไรเพิ่ม เพราะงั้นพวกเราน่าจะยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง ถึงไม่รู้ว่าจะมากน้อยสักแค่ไหนก็เถอะครับ”

 

“จะว่าไปแล้วเราลองไปถามพี่อารอนก่อนก็น่าจะได้นี่นา ในเมื่อพี่เอริกะหลับอยู่แบบนี้อ่ะ”

 

ทันใดนั้นเองพรีมูล่าที่กำลังดึงแก้มของเอริกะเล่นอยู่ก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา ทำให้นากาและโมโกะที่ได้ยินแบบนั้นก็หันมามองพรีมูล่าที่จู่ๆ ก็เหมือนจะมีสมองขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันกลับมาพยักหน้าให้กันไปทีหนึ่ง

 

“ดีล่ะ! ถ้างั้นพวกเรารีบไปหาอารอนกันเถอะ!!”

 

“ก่อนนายจะพูดนายได้ดูสภาพขาของฉันบ้างหรือเปล่าเนี่ยหะ…”

 

“ถ้างั้นเธอรออยู่บ้านนี่ล่ะ เผื่อว่าเอริกะตื่นขึ้นมาจะได้ถามข้อมูลเพิ่มเลย เอาละ พวกเราไปกันเถอะ!!”

 

“เดี๋ยวก่อนสินากา! นี่นายคิดจะปล่อยให้อลิซที่บาดเจ็บอยู่กับเอริกะที่สลบเหมือดไปแล้วอยู่บ้านกันแค่สองคนเนี่ยนะ? ถ้าเกิดพวกนั้นบุกเข้ามาพวกเธอจะทำยังไงกันล่ะ!?”

 

แต่เมื่อโมโกะเห็นนากาทำท่าเหมือนจะชวนทุกคนไปด้วยกันนั้นเธอก็รีบร้องห้ามเขาขึ้นมาก่อน ซึ่งคอนแนลที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาพลางพยายามหยุดมือของพรีมูล่าที่กำลังเล่นซนกับแก้มของเอริกะหนักขึ้นไปทุกที

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมอยู่ที่บ้านด้วยละกันครับ เพราะเอาจริงๆ แล้วจะให้ผมออกไปเดินในเมืองตอนนี้คงจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ด้วย”

 

“เดี๋ยวจะทำให้ทางวังหลวงสงสัยเอางั้นสินะ…?”

 

“ใช่ครับ เพราะงั้นเดี๋ยวผมดูแลพวกคุณอลิซกับพรีมูล่าเขาให้เองก็ละกัน”

 

“เอ๋!? หนูด้วยหรอ!?”

 

และเมื่อคอนแนลพูดออกมาแบบนั้น ทั้งนากาและโมโกะก็หันมาพยักหน้าให้เขาเป็นคำตอบ โดยที่ไม่สนใจเสียงของพรีมูล่าที่ร้องอิดออดออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้างั้นโมโกะ เธอรู้ทางไปหาอารอนใช่มั้ย?”

 

“อื้อ ถ้าเป็นที่คลินิกของเขาก็จำทางไปได้อยู่แล้วล่ะ งั้นพวกเราเองก็รีบไปกันเถอะ!!”

 

“นี่!!! แล้วหนูล่ะ!!!

 

ซึ่งทันทีที่พรีมูล่าได้ยินนากาหันไปตกลงและทำท่าจะวิ่งออกไปพร้อมโมโกะนั้น เธอก็รีบเอ่ยปากถามพร้อมชี้นิ้วมาที่ตัวเองทันที

 

“เธอน่ะเกะกะ! / เธอมันเกะกะเกินไป!”

 

“อ่—”

 

“ตอนนี้แหล่ะ!! / คอนแนลจับตัวยัยนั่นเอาไว้!!”

 

แต่ทั้งสองนั้นก็หันกลับมาตอบเป็นเสียงเดียวกัน จนทำให้พรีมูล่านั้นอ้ำอึ้งไปสักพัก ซึ่งทั้งนากาและโมโกะก็รีบใช้โอกาสที่พรีมูล่ากำลังชะงักไปนั้น รีบพุ่งตัววิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว

 

“กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะพี่นากา!! โมโกะจังงง!!”

 

 

“แฮ่ก—แฮ่ก— น–นากา! นี่นายจะรีบเกินไปมั้ยเนี่ย!?”

 

หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้ออกวิ่งมาสักพัก โมโกะก็ร้องออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะว่านากานั้นได้ออกวิ่งเต็มฝีเท้าราวกับว่าถ้าเขาสามารถหายตัวไปหาอารอนได้เขาก็คงทำมันไปแล้ว

 

ซึ่งเมื่อนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็ชะลอฝีเท้าของตนลงเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับเธอ

 

“ถ้าไม่ไหวแล้วงั้นเธอนั่งพักแถวนี้ก่อนก็ได้ บอกทางไปคลินิกอารอนมาสิ แล้วเดี๋ยวเธอค่อยตามฉันไปที่นั่นละกัน”

 

“นายจะบ้าหรอ! เมืองรีมินัสมันใหญ่มากกว่าที่นายคิดเยอะเลยนะ! แค่นายเผลอเลี้ยวผิดแค่ซอยเดียวนายก็กลับมาไม่ถูกแล้ว!!”

 

“งั้นจะให้ฉันทำยังไงล่ะ!? ก็เอริกะเขาดันสลบเหมือดไปแล้วแบบนี้แล้ว มันก็เหลือแต่อารอนที่น่าจะรู้เรื่องไม่ใช่หรอ!?”

 

“แล้วมันต้องรีบขนาดนั้นเลยหรือไงล่ะ! ตามที่คอนแนลบอกเราน่าจะมีเวลาอีกสักสองสามวันไม่ใช่หรือไง พักก่อนสักห้านาทีไม่เป็นไรหรอกมั้ง!”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็หยุดวิ่งลงและยอมให้โมโกะได้นั่งพักสักเล็กน้อย ซึ่งทั้งสองคนก็เงียบกันไปสักพักจนโมโกะท่าทางเหมือนจะหายเหนื่อยแล้วจึงได้พูดเล่นขึ้นมาด้วยท่าทีที่อารมณ์ดีขึ้นมาก

 

“จะว่าไปเดี๋ยวคงต้องหาวิธีง้อพรีมูล่าด้วยละมั้งเนี่ย… แล้วนี่เมื่อวานนายบอกจะให้พรีมูล่าซื้อขนมอะไรก็ได้อย่างนึงไปแล้วนี่นะ คราวนี้จะง้อด้วยอะไรดีล่ะ?”

 

“ป่านนี้ยัยนั่นน่าจะลืมไปแล้วละมั้ง… แต่ตอนนี้เอาเรื่องแมรี่ก่อนดีกว่า เรื่องพรีมูล่าไว้กลับไปค่อยว่ากันอีกที อีกอย่างตอนนี้คนก็เริ่มเยอะแล้วด้วย… พวกเรารีบไปกันดีกว่า”

 

นากาพูดตอบกลับไปอย่างส่งๆ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและมองดูเหล่าประชาชนในเมืองรีมินัสที่เริ่มจะออกมาทำกิจกรรมยามเช้าอย่างการเปิดร้านค้าหรือจับจ่ายซื้อของกันซะแล้ว ซึ่งเมื่อดูจากปริมาณคนที่เดินบนถนนแล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะจับมือของโมโกะเอาไว้เพื่อที่จะได้ไม่พลัดหลงจากกัน

 

“อ่ะ–”

 

ซึ่งโมโกะนั้นก็ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจเล็กน้อยแต่ว่าก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเขาออกมา หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินจูงมือกันไปตามถนนเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกัน

 

“….”

 

“เลี้ยวตรงหัวมุมนี้หรอโมโกะ?”

 

“อ—อื้อ! เลี้ยวตรงนั้นแล้วตรงไปอีกไม่นานก็ถึงแล้วล่ะ!!”

 

นากาที่เดินตามทางที่โมโกะบอกมาเรื่อยๆ ได้เอ่ยปากถามเธอซ้ำอีกครั้ง เพราะว่าทางที่โมโกะบอกนั้นได้พาพวกเขาออกห่างจากถนนเส้นหลักของเมืองมากขึ้นไปทุกที

 

ซึ่งเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในซอยนั้นได้สักพัก โมโกะก็ดึงมือหยุดเขาเอาไว้ และชี้ไปที่บ้านชั้นเดียวขนาดไม่ใหญ่มากที่ตั้งแยกห่างจากบ้านหลังอื่นอยู่เล็กน้อย

 

ถึงแม้ว่ามันจะดูกว้างกว่าตึกแถวที่ตั้งอยู่ริมถนนเส้นหลักของเมือง และยังมีที่ว่างรอบๆ สำหรับวางต้นไม้ตกแต่งอยู่บ้าง แต่มันก็จัดว่าเล็กกว่าบ้านของเอริกะหรือว่าคลินิกของอารอนที่หมู่บ้านโมริโกะอยู่มาก เลยทำให้เขาต้องหันมาถามโมโกะด้วยความสงสัย

 

“ที่นี่หรอ? ดูเล็กกว่าที่หมู่บ้านอยู่เหมือนกันแฮะ…”

 

“ก็คลินิกที่หมู่บ้านของพวกเรามีสองชั้นนี่เนอะ ถึงที่นี่จะมีแค่ชั้นเดียวแต่ด้านในก็กว้างเอาเรื่องอยู่นะ… ถ้าเทียบกับร้านค้าที่อยู่ด้านนอกนั่นน่ะ”

 

โมโกะพูดอธิบายออกมานิดหน่อย ก่อนจะรีบเดินตามหลังนากาที่เดินเข้าไปในตัวคลินิกอย่างรีบร้อน ซึ่งทั้งสองคนก็พบกับพนักงานต้อนรับที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า

 

“อ่ะ ย…ยินดีต้อนรับค่ะ ต…ต้องการขอรับยาหรือว่ามาขอพบคุณหมอหรอคะ…?”

 

และพอนากาและโมโกะเข้ามาด้านใน ทั้งสองก็พบกับพนักงานต้อนรับที่สวมชุดเดรสสีขาวสะอาดและหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าของตนซึ่งได้รีบเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยทันทีเมื่อได้ยินเสียงของประตูที่เปิดออก

 

“หือ…?”

 

“อื้อ! พอดีพวกฉันมีเรื่องจะคุยกับอารอนน่ะ! ถ้าเป็นไปได้ช่วยไปตามเขาออกมาเลยได้หรือเปล่า!!”

 

“ด…ได้ค่ะ! ถ…ถ้างั้นเดี๋ยวหนูไปตามพี่อารอนมาให้ค่ะ…”

 

เมื่อเด็กสาวคนนั้นได้ยินนากาพูดอย่างรีบร้อน เธอก็อุ้มตัวเด็กทารกที่วางไว้ในเตียงขนาดเล็กด้านข้างเคาน์เตอร์ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะรีบเดินหายเข้าไปในประตูด้านหลังไป ซึ่งโมโกะที่เห็นแบบนั้นเธอสะกิดเรียกนากาในทันที

 

“ด—เดี๋ยวสินากา!? เด็กคนเมื่อกี้–”

 

“อ่าว…? พวกเธอเองหรอนากา โมโกะ มีอะไรหรือเปล่า…? อลิซเขาออกไปซนจนได้แผลมาเพิ่มอีกหรอไง…?”

 

แต่ยังไม่ทันที่โมโกะจะได้พูดจบ อารอนก็เดินออกมาจากประตูด้านหลังเคาน์เตอร์ด้วยสภาพขอบตาดำคล้ำ พร้อมโบกมือทักทายทั้งสองคนด้วยท่าทางอ่อนเพลียที่ดูแล้วไม่ได้ดีกว่าเอริกะไปสักเท่าไหร่นัก จนทำให้โมโกะอดที่จะพูดออกมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้

 

“พอดีมีเรื่องต้องคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องของอลิซเขาหรอก ว่าแต่นายนี่สภาพดูไม่ได้คล้ายๆ กับเอริกะเขาเลยนะเนี่ย…”

 

“ก็ไม่มีอะไรหรอก… แค่ต้องอยู่ทำเอกสารกับเตรียมทำเรื่องนิดหน่อยเลยได้นอนน้อยก็แค่นั้นแหละ… ว่าแต่ถ้าไม่ใช่เรื่องของอลิซแล้วพวกเธอมาที่นี่ทำไมล่ะ?”

 

“ก็เรื่องของแมรี่เขาน่ะสิ! ที่เอริกะเขาบอกว่าแมรี่ไม่อยู่กับพวกเราแล้วมันหมายความว่าไงน่ะ!!”

 

“….!”

 

แต่เมื่ออารอนได้ยินสิ่งที่นาการีบถามออกมา เขาก็ขมวดคิ้วมองกลับมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มหน้าลงไปใช้ความคิดอยู่สักครู่หนึ่ง

 

“ว่าไงล่ะอารอน—!?”

 

หมับ

 

“ใจเย็นก่อนสิเจ้าหนุ่ม มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้”

 

นากาที่กำลังคาดคั้นอารอนอยู่นั้นได้ชะงักไปเมื่อมีคนมาจับไหล่ของเขาเอาไว้และพูดออกมา ซึ่งเมื่อนากาหันไปมองก็พบว่าคนที่ร้องห้ามเขาเอาไว้นั้นก็คือชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในคนไข้ที่นั่งรออยู่ในคลินิก

 

“ใช่ๆ ให้เกียรติคุณหมออารอนเขาหน่อยสิเธอน่ะ!”

 

ก่อนที่ทันใดนั้นจะมีเสียงของหญิงสาวอีกคนดังขึ้นมาจากอีกฝั่งนึงจนทำให้โมโกะหันไปมอง ซึ่งเมื่อเธอหันไปมองรอบๆ ดูก็พบว่า พวกเธอนั้นกำลังถูกเหล่าคนไข้ของอารอนยืนล้อมเอาไว้ด้วยท่าทีคุกคามซะแล้ว

 

“ไม่เป็นไรหรอก… เขาแค่อารมณ์ร้อนไปหน่อยน่ะครับ…”

 

“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงล่ะครับคุณหมอ! เจ้าหนุ่มนี่ทำท่าอย่างกับจะเข้ามาต่อยคุณอยู่แล้วนะครับ!!”

 

ชาววัยกลางคนที่จับไหล่ของนากาเอาไว้รีบร้องขึ้นมาในทันที เพราะว่าในสายตาของเขานั้นนากาได้เปิดประตูคลินิกเข้ามาอย่างรุนแรง แถมยังโวยวายใส่พนักงานต้อนรับจนเธอทำตัวไม่ถูกเลยวิ่งหลบไปในห้องด้านหลังนั่นอีกต่างหาก

 

“เฮ้อ… เขาแค่รับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เฉยๆ แหล่ะครับ… แล้วนี่เอริกะบอกนายไว้ว่าอะไรบ้างล่ะ…?”

 

อารอนที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับตอบชายวัยกลางคนกลับไป แล้วจึงหันมาถามนากาดูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนากาก็ตอบกลับมาแบบเกร็งๆ เพราะว่าเขาถูกเหล่าคนไข้ของอารอนยืนล้อมเอาไว้แถมยังจ้องมองซะจนเขาแทบไม่กล้าขยับตัว

 

“ก็… เมื่อกี้นี้เอริกะเขากลับไปถึงบ้านแล้วก็พูดมาแค่ว่าแมรี่ไม่อยู่แล้ว เสร็จแล้วก็สลบไปเลยโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีกน่ะ”

 

“งั้นก็แบบที่เธอบอกนั่นล่ะ… เท่าที่ฉันรู้มาก็คือเมื่อสองวันก่อนเด็กที่ชื่อแมรี่ได้แอบหนีออกไปจากโรงพยาบาลเพื่ออาสาสมัครเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะของทางวังหลวง… แต่ผ่านมาวันนึงเต็มๆ แล้วเธอก็ยังไม่ได้กลับมา ฉันก็เลยคิดว่าเธอคงจะไม่รอดแล้ว…”

 

“เอ๊ะ… แต่ว่าเมื่อวานนี้—”

 

“ไอโครงการบ้านั่นยังอยู่อีกหรอน่ะ!?”

 

แต่ยังไม่ทันที่นากาจะได้พูดจนจบ ชายวัยชราอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดังทำให้ทุกคนหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ ซึ่งชายคนนั้นก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอตะโกนออกมา ทำให้เขากระแอมออกมาและหันไปพูดกับนากาด้วยความเห็นใจในทันที

 

“อะแฮ่ม… ถ้าเกิดว่าแม่หนูแมรี่ของเอ็งไปเข้ารับการทดลองนั่นจริงๆ ก็ทำใจเถอะเจ้าหนุ่ม… สองสามปีก่อนลูกชายของลุงที่เกิดอุบัติเหตุจนขาขาดไปข้างก็ได้รับการติดต่อมาเหมือนกัน แล้วไอเจ้าลูกชายโง่นั่นก็ไปตอบรับเขาเอาง่ายๆ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้กลับมาจากห้องผ่าตัดนั่นอีกเลย…”

 

“โครงการนั่นหมายถึงที่เขาลือกันไปทั่วเมื่อสี่ห้าปีก่อนนั่นนะหรอคะ? ที่ว่ามีคนแขนขาดแล้วไปเข้ารับการรักษาของทางวังจนได้แขนกลับคืนมาน่ะ?”

 

“เหอะ! จะมีอะไรอย่างอื่นอีกล่ะ… แล้วไอคนที่ลือกันว่าได้แขนกลับมาอีกครั้งนั่นมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ซะด้วยซ้ำ! แต่ที่แน่ๆ ก็คือมีคนเป็นร้อยแล้วล่ะมั้งที่หลงเชื่อจนหายตัวไปน่ะ!!”

 

ชายชราคนนั้นได้พูดตอบกลับหญิงสาวคนหนึ่งออกมาอย่างไม่เกรงกลัว เพราะเขาเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าเรื่องคนแขนขาดคนนั้นเป็นเรื่องโกหกที่ทางวังสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนที่กำลังสิ้นหวังจากการสูญเสียอวัยวะให้ตกลงเข้ารับการทดลองแน่ๆ

 

ซึ่งทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่เด็กสาววัยรุ่นคนหนี่งจะพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“แล้วเด็กที่ชื่อแมรี่นี่… ใช่เด็กผู้หญิงผมสีเทาอายุเจ็ดแปดขวบที่เป็นลูกของผู้หญิงผมสีทองหรือเปล่าคะ…”

 

“หือ เธอรู้จักแมรี่ด้วยหรอ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเธอก็ถามกลับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะเขาเข้าใจว่าแมรี่นั้นไม่ค่อยได้ออกมานอกคฤหาสน์สักเท่าไหร่นัก ทำให้เธอไม่น่าจะมีคนรู้จักอยู่ในเมืองนี้ได้

 

“เอ่อ… ฉันไม่เคยได้คุยกับเธอหรอกนะคะ แต่ว่าเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนมีเด็กชื่อแมรี่กับคุณแม่ของเธอมาทานแพนเค้กของร้านที่ฉันทำงานอยู่แล้วท่าทางของเธอดูเหมือนจะชอบแพนเค้กที่ฉันทำมาก ฉันก็เลยพอจะจำชื่อเธอได้อยู่น่ะค่ะ…”

 

ทันทีที่เธอพูดจบทุกคนก็เงียบไปอีกสักพักใหญ่ ก่อนที่อารอนนั้นจะถอนหายใจออกมาและเรียกนากาให้ตามเขาเข้าไปในห้องพัก

 

“เฮ้อ… เอาเป็นว่านายตามฉันเข้ามาข้างในนี่ก่อนสิ ฉันจะได้เล่าเรื่องของแมรี่ให้ฟัง… แล้วพวกคุณก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวพวกจากวังหลวงก็ได้ตามไปเคาะประตูถึงหน้าบ้านพวกคุณกันพอดี…”

 

“ครับผมคุณหมออารอน!”

 

“รับรองว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังเด็ดขาดเลยค่ะ!”

 

หลังจากที่ทุกคนตอบรับคำของเขาแล้ว อารอนก็เดินนำนากาเข้าห้องพักพนักงานไป โดยที่คนไข้ของเขาก็แยกย้ายกันกลับไปนั่งรอกันตามเดิม ส่วนนากากับโมโกะนั้นก็รีบเดินตามหลังอารอนเข้าไปในห้องพักอย่างรวดเร็ว

 

“นี่คาร์เทียร์…มาทางนี้เดี๋ยวนึงสิ…”

 

ซึ่งเมื่ออารอนเห็นว่าพวกนากาเดินตามเข้ามาในห้องและปิดประตูลงไปแล้วนั้น เขาก็หันกลับไปเรียกเด็กสาวในหมวกปีกกว้างเมื่อสักครู่ที่กำลังส่งตัวทารกให้นางพยาบาลที่อยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้วออกมาทีหนึ่ง

 

“เอ๋ะ? อะไรหรอคะพี่อารอน?”

 

“ถอดหมวกสิ… ฉันบอกว่าให้ใส่ตอนอยู่ข้างนอกก็จริง แต่ว่าตอนอยู่ข้างในนี้ไม่ต้องใส่ก็ได้ไม่ใช่หรอ…?”

 

“อะ— แฮะๆ ขอโทษทีค่ะ~”

 

เด็กสาวผมเทาหัวเราะขอโทษอารอนกลับมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะถอดหมวกผ้าปีกกว้างบนศีรษะของเธอออก พร้อมเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าสดใสทั้งสองข้างให้นากาเห็น

 

“น–นี่เธอ—แมรี่!?”

 

“ส…สวัสดีค่ะ…พี่นากา พี่โมโกะ”

 

“เอริกะเขาไม่ได้โกหก… เพราะเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า แมรี่ รีวิซ นั้นได้ตายไปแล้ว… ตอนนี้เหลือแค่เด็กคนนี้ที่มีชื่อว่า คาร์เทียร์ กับทารกที่เป็นลูกของเวก้าที่รอดชีวิตมาจากคฤหาสน์เท่านั้น”

 

อารอนที่เห็นนากากำลังตกใจเป็นไก่ตาแตกก็เลยถือโอกาสนี้พูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง ในขณะที่โมโกะนั้นก็ยื่นหน้าไปมองคาร์เทียร์ที่เธอเพิ่งเคยได้เจอหน้ากันจริงๆ เป็นครั้งแรกใกล้ๆ

 

“เธอเองหรอเด็กที่พวกนากาเขาพูดถึงกันน่ะ…”

 

“ค่ะ ส่วนพี่สาวก็คงเป็นพี่โมโกะงั้นสินะคะ? หนูได้ยินชื่อพี่จากที่พี่อารอนเขาบ่นออกมาเมื่อวานอยู่บ้างแล้วล่ะค่ะ”

 

“เออ อารอน นายพอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย ว่าตกลงวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้างกันแน่น่ะ”

 

“อื้ม…”

 

และเมื่ออารอนถูกนากาหันมาถามแบบนั้น เขาก็เหลือบตาไปมองทางคาร์เทียร์ราวกับว่าจะถามความสมัครใจของเธอ ซึ่งพอเขาเห็นว่าคาร์เทียร์พยักหน้าเป็นคำตอบกลับมาให้ อารอนก็เลยตัดสินใจเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมาให้นากาและโมโกะฟังในทันที

 

“มันเป็นความคิดของเอริกะที่เพิ่งมาตกลงกันได้เมื่อเช้านี้น่ะ… ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดก็…”