ตอนที่ 38 โชคดีและโชคร้ายคือเชือกที่มัดรวมกันแน่น

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

บทที่ 2 ตอนที่ 12 โชคดีและโชคร้ายคือเชือกที่มัดรวมกันแน่น

 

「บ้าเอ๊ย…..นี่เป็นคดีจริงๆงั้นเหรอเนี่ย แล้วไม่ใช่ว่าเป็นแค่เขาวงกตแรงค์ F หรอกรึ?」

 

    เมื่อรู้ตัวว่าการโจมตีนี่เกิดขึ้นจากมนุษย์ ที่แว่บขึ้นมาในหัวก็คือบทสนทนาที่มีกับอันนา

    ถ้ามีบางอย่างที่ไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมชาติปรากฏขึ้นมา สาเหตุก็ต้องมาจากภายนอก…..

    ตอนที่อันนาพูดและพยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของคดี ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

    การก่ออาชญากรรมต่อเนื่องโดยการหลอกเกทที่คุมเขาวงกต และกล้องรักษาความปลอดภัยของดันเจี้ยนมาร์ท เป็นอะไรที่มีความยากสูงเอามากๆ

    เพราะแบบนั้น เลยคิดไปว่าถ้ามีความสามารถแบบนั้นอยู่ล่ะก็ เอาไปใช้หาเงินทางอื่นจะดีกว่า

 

    ทว่า ในตอนนี้มันได้มาเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจริงๆ ไม่มีที่ให้สงสัยแล้ว

    ไม่รู้หรอกว่าทำยังไง แต่เจ้าผู้โจมตีคนนี่ มีวิธีในการลบร่องรอยการก่ออาชญากรรมของตัวเองอยู่

    จากที่มองเห็น ยังไม่เจอตัวมาสเตอร์ บางทีคงจะใช้ลิงค์ในการควบคุมระยะไกล

    การควบคุมการ์ดระยะไกลด้วยลิงค์ สามารถใช้เพื่อโจมตีนักผจญภัยคนอื่นโดยแสร้งทำเป็นการโจมตีจากมอนสเตอร์ของเขาวงกตได้

    นี่คือสาเหตุว่าทำไมเทคนิคเกี่ยวกับลิงค์จึงถูกเก็บเป็นความลับต่อสาธารณะ

    เทคนิคที่เรียกว่าลิงค์นั้น มันมีความสะดวกมากเกินไปในเขาวงกต

    สาเหตุที่ไม่มีระบบตรวจคุณสมบัติมัน ก็เพราะถ้าใช้การ์ดอย่างชำนาญไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็จะได้มันมาเอง บางทีแล้วสิ่งที่ให้ความสำคัญคงเป็นการแพร่กระจายความรู้เกี่ยวกับมันมากกว่า…..

 

    แต่ไหนแต่ไร ถ้าเกิดมีนักผจญภัยถูกฆ่าในขณะที่คนๆนั้นกำลังทำการสำรวจอยู่ ทางตำรวจและกิลล์ก็ต้องมีการสืบสวน

    แล้วทันทีที่การสืบสวนเริ่มขึ้น ตัวคนร้ายก็จะเป็นที่แน่ชัด นั่นเพราะว่ามีมอนสเตอร์และอุปกรณ์เวทที่สามารถอ่านใจได้อยู่

    เพราะแบบนั้น การโจมตีภายในเขาวงกตจริงๆจึงมีน้อย…..เลยลดความระมัดระวังตัวลง

 

「……….ชิ」

 

    ไม่เหมือนกับมอนโคโลที่มีความปลอดภัย ความอาฆาตของจริงที่ทิ่มแทงผิวหนัง หัวใจเริ่มเต้นเร็วจนน่ารำคาญ

    ผมกำมือที่เริ่มจะสั่นเข้าไว้แล้วสูดหายใจลึกๆ ไม่เป็นไร ศัตรูมีการ์ดแรงค์ C 3 ใบ และมี 1 ใบบาดเจ็บ ส่วนทางด้านนี้มีแรงค์ B กับแรงค์ C อย่างล่ะ 1 ใบ และแรงค์ D 4 ใบ โอกาศชนะมีพอสมควร ถ้าในกรณีฉุกเฉินก็ยังมีการ์ดไลแคนโทรปที่ยังไม่ได้ใช้

 

『เร็นกะ, เอลิซ่า…..ก่อนอื่นจะใช้ซิงโครเพื่อจัดการตัวที่ไม่บาดเจ็บทั้ง 2 ตัวในคราวเดียวก่อน ยูคิ, เมอา, ซุซูกะ, ดราโกเน็ต ฝากจัดการปิดฉากไลแคนโทรปสีดำที่บาดเจ็บด้วย ขอโทษด้วยแต่ไม่มีเวลาออกคำสั่งให้ทางนั้น คิดว่าสถานะผิดปกติน่าจะคลายในไม่ช้าแล้ว ระวังตัวด้วย』

『รับทราบ!』

 

    เมื่อกลุ่มแรงค์ D เริ่มทำการโจมตี สนามรบที่หยุดนิ่งก็เริ่มขยับอีกครั้ง

    สิ่งแรงที่ขยับก่อนคือมนุษย์หมาป่าสีขาวที่ปรากฏมาตัวที่ 2 เป้าหมายการโจมตีคือเอลิซ่า เนื่องจากเร็นกะอยู่บนอากาศ เธอจึงน่าจะเป็นตัวเลือกเดียวสำหรับไลแคนโทรปที่ชำนาญการต่อสู้ระยะประชิด มันจู่โจมเธอด้วยกรงเล็บเงินที่สวมใส่อยู่ที่แขนทั้ง 2 ข้าง แล้วอาศัยจังหวะนั้น มนุษย์หมาป่าสำน้ำตาลแดงตัวที่ 3 ก็หายตัวไปราวกับว่าหลอมรวมไปกับความมืด

    ไอ้เจ้านี่ก็เป็นประเภทแอสซาซินงั้นรึ….. ผมพยายามกลั้นความอยากที่จะเดอะลิ้น แต่ในตอนนี้ตัดสินใจให้ความสำคัญกับการจัดการมนุษย์หมาป่าสีขาวก่อน

    ร่างของเอลิซ่าที่ถูกทำให้บาดเจ็บด้วยอาวุธเงิน ยังคงถูกความเจ็บปวดเข้าจู่โจม แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูจะไม่มีปัญหาด้านการต่อสู้อะไร อาจจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งของประเภทอันเดด ถ้าหากใส่ใจมากเกินมันอาจจะไปขัดแข้งขัดขาแทนได้ ถ้างั้นจะคงการซิงโครไว้แค่เพื่อปลดปล่อยพลังต่อสู้

    ผีดูดเลือดกับมนุษย์หมาป่า มอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวต่างมีตำนานที่ใกล้ชิดกัน ในขณะที่แวมไพร์มีความสามารถที่จำแนกออกเป็นเวทมนตร์ ไลแคนโทรปจะมีความสามารถด้านการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า

    แม้แต่ในด้านของขนาดรูปร่างก็ยังมีความแตกต่างกันมากเกือบ 2 เท่า  มนุษย์หมาป่าสีขาวใช้ร่างกายท่อนบนเพื่อโจมตีมาจากด้านบนด้วยแขนอันแข็งแกร่ง

    การเคลื่อนไหวนั้นดูกระชับมากกว่าไลแคนโทรปป่าที่เคยสู้มาแล้วหลายครั้ง ดูแล้วมั่นใจว่าจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้อยู่แน่

    ในกรณีนี้ แม้ว่าเอลิซ่าจะมีศิลปะการต่อสู้เช่นกัน แต่ก็เสียเปรียบด้านรูปร่างและความสามารถด้านพละกำลัง

    ถ้าจะมีด้านไหนที่เธอเหนือกว่า นั่นก็คือ—-

 

「ชู่ว!」

 

    เอลิซ่าหายใจออกสั้นๆในขณะที่ใช้ฝ่ามือของเธอปัดท่อนแขนอันทรงพลังไปด้านข้าง การเคลื่อนไหวนั้นแม่นยำหาใครเปรียบและตรงจังหวะช่วงเวลาราวกับว่ามองเห็นอนาคต

   …..ข้อได้เปรียบของเอลิซ่าคือการเคลื่อนไหวอันแม่นยำและสัญชาตญาณ สกิลเคลื่อนไหวแม่นยำและสัญชาตญาณของเธอช่วยให้เธอสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำมากกว่าคู่ต่อสู้ของเธอที่มีความสามารถทางกายเหนือกว่า

    มนุษยหมาป่าที่แขนพลาดเป้า ทว่ามันก็ไม่มีการสะดุดแม้แต่น้อย มุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง

    เข้าปะทะ การโจมตีและการป้องกันรวดเร็วจนสายตาของมนุษย์ตามไม่ทัน มนุษย์หมาป่าจู่โจมด้วยร่างกายและพละกำลัง ส่วนผีดูดเลือดตั้งรับด้วยการเคลื่อนไหวอันแม่นยำและสัญชาตญาณ คู่อาฆาตทั้ง 2 ฝ่ายที่ล้มลงก่อนคือ…..ผีดูดเลือดสาวที่บาดเจ็บ

    เอลิซ่าเอนตัวเล็กน้อยในขณะที่ป้องกันการโจมตีของมนุษย์หมาป่า บาดแผลที่อยู่ด้านข้างส่งผลให้แกนร่างกายไม่สมดุล ทำให้เป็นเรื่องยากเล็กน้อยที่จะตั้งรับ มนุษย์หมาป่าสีขาวไม่พลาดโอกาสนี้

    ลำแสงสีเงินส่องแสง การโจมตีที่เน้นความเร็วและมีพลังในระดับหนึ่ง

 

    มันเข้าตัดนิ้วมือ 3 นิ้วที่มือซ้ายของเอลิซ่า—-แล้วร่างของมนุษยหมาป่าก็ถูกดาวหางพุ่งทะลวง

 

    พริบตาที่มนุษย์หมาป่าโจมตีเอลิซ่า เร็นกะก็ทำการซุ่มยิงโจมตี

    ลำแสงดาวหาง 3 ลูก เข้าบดขยี้ขาขวา, แขนซ้าย, และตาขวาของมนุษย์หมาป่าที่สามารถหลบการโจมตีที่หัวไปได้

    ตาชั่งเริ่มเอนเอียงมาทางฝั่งนี้แล้ว

    ชั่วขณะที่คิดแบบนั้น ความมืดข้างหลังมันก็เริ่มแผ่ขยาย

    มนุษย์หมาป่าตัวที่ 3 ที่แอบซ่อนอยู่เปิดเผยเขี้ยวเล็บ ทางศัตรูเองก็มองหาช่องว่างที่จะจัดการเหยื่อเช่นกัน

    มนุษย์หมาป่าขนสีแดงปรากฏตัวขึ้นราวกับว่าแยกตัวออกมาจากค่ำคืนอันมืดมิด เหวี่ยงกรงเล็บเข้าใส่เพื่อหวังฉีกร่างผมเป็นชิ้นๆ

    แม้ว่าจะพยายามหลบ การเคลื่อนไหวของมนุษย์ก็เชื่องช้าหากเทียบกับมอนสเตอร์

    —-ทว่า

 

『อ่านออกหรอกน่า…..!』

 

    -วืด- แขนอันแข็งแกร่งของมนุษย์หมาป่าผ่านเหนือศรีษะไปขณะที่ผมลื่นล้ม

    เป็นเรื่องดีเกินกว่าจะเรียกได้ว่าแค่บังเอิญ แน่นอนว่าเป็นเพราะการอวยพรจากเทพีแห่งโชคลาภ

    ช่องโหว่ถูกสร้างขึ้นในชั่วขณะที่การโจมตีสังหารของมนุษย์หมาป่าน้ำตาลแดงถูกหลบได้

    ในตอนนั้นเอง ขณะที่เร็นกะกำลังจะโจมตี

 

『คิย๊าาาา!?』

『กั่กกก…..!?』

『ซุซูกะ!? ดราโกเน็ต!』

 

    ผ่านทางลิงค์ สามารถมองเห็นสภาพของกลุ่มการ์ดแรงค์ D

    เมื่อมองดูทางฝั่งนั้น ก็เห็นซุซูกะกับดราโกเน็ตมีบาดแผลฉกรรจ์ ซุซูกะถูกเฉือนจนหน้าอกเปิดออกกว้าง ส่วนดราโกเน็ตถูกฉีกปีกไปข้างหนึ่ง

    ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง มนุษย์หมาป่าสีดำก็มีบาดแผลเต็มตัวและกำลังหอบหายใจอย่างหนัก

    ได้ขอให้กลุ่มการ์ดแรงค์ D ช่วยกันจัดการมนุษย์หมาป่าตัวแรกที่ติดสถานะผิดปกติอยู่ แต่ดูเหมือนว่าพอถูกต้อนจนใกล้ตาย สถานะผิดปกตินั้นกลับส่งผลให้เกิดการโต้กลับอย่างรุนแรง

    บางที มันอาจจะมีสกิลที่ส่งผลในตอนที่ใกล้ตายก็เป็นได้…..

    ยูคิกับเมอารีบเข้าไปหยุดมันทันที แต่นี่ก็ถูกโจมตีอย่างหนัก

    ความเสียหายของซุซูกะและดราโกเน็ตอยู่ในระดับที่หากไม่กลับคืนสู่การ์ดในทันที หรือรักษาด้วยเวทมนตร์ฟื้นฟูแล้วล่ะก็สามารถลอสได้เลย โดยเฉพาะในส่วนของดราโกเน็ตที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้จะยิ่งไม่สามารถกลับคืนมาได้ ยูคิและเมอาเองก็บาดเจ็บมากถึงแม้จะไม่หนักเท่ากับอีก 2 ใบ

 

    …..ทำยังไงดี ใช้ฝนอมฤตดีไหม?

    ไม่ นั่นมันเป็นไพ่ตายที่สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว อยากจะเก็บมันเผื่อเอาไว้ กับศัตรูระดับนี้ การ์ดแรงค์ D ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนัก ถ้างั้นแล้วเอาซุซูกะกับดราโกเน็ตกลับเข้าการ์ดก่อนดีกว่า

 

『ทำได้ดีมาก! ซุซูกะกับดราโกเน็ตกลับมาซะ!』

『ต้องขอประทานอภัย! จะทำการล่าถอยโดยเร็วที่สุดคะ!』

『ชั้นบอกแล้วใช่ไหม! ว่าให้กลับบ้านไปดีๆน่ะ!』

『หนวกหูน่า!? เข้าใจแล้ว! ผมมันพลาดเอง! เดี๋ยวจะขอโทษทีหลังเอง ตอนนี้กลับมาซะก่อน!』

 

    ในขณะที่ตะโกนใส่ซุซูกะที่ยังจะมายึดติดในเวลาแบบนี้ ก็เอาทั้ง 2 กลับคืนสู่การ์ด

 

『ยูคิกับเมอา ขอโทษด้วยแต่ฝากคอยสนับสนุนพวกเร็นกะที!』

『เข้าใจแล้ว!』

『รับทราบ! วางใจได้เลย!』

 

    ดีละ เท่านี้ก็เหลือแค่ 2 ตัว แถมอีกตัวก็บาดเจ็บอยู่ ถ้าไปได้สวยล่ะก็—-

 

『…..!?』

 

    …..ชนะได้

    ชั่วขณะที่เกิดความหวังแบบนั้นขึ้นมา มันกลับถูกบดขยี้ไม่มีชิ้นดี

    สิ่งที่ถูกส่งผ่านมาจากพวกเร็นกะก็คือความตกตะลึง กับความร้อนรน

    เบื้องหน้าสายตาของเธอ…..ก็คือศัตรูใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมา

    สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีร่างกายกำยำของมนุษย์และศรีษะของสุนัขสีดำ ความสูงประมาณ 2 เมตร และถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในจำพวกมอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่โต แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างจนรู้สึกได้นั้น เทียบไม่ได้เลยกับไลแคนโทรป

    บรรยากาศในแว่บแรกก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่นคือตัวตนที่อยู่สูงกว่า ใกล้เคียงกับเทพเช่นเดียวกันกับเร็นกะ ในตอนนั้นเองก็รู้ได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของศัตรู

 

    ———-การ์ดแรงค์ B, อนูบิส(Anubis) เทพแห่งโลกหลังความตายจากตำนานของอียิปต์…..อีกทั้ง ยังมีการ์มอีก 3 ตัวติดตามมา

 

「คุ…..!」

 

    เผลอหลุดเสียงน่าสมเพชออกมาจากลำคอ

    นั่นมันอะไรกัน!!!! โธ่เว้ยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!

    อย่ามาล้อกันเล่นนะ! ทำไมต้องเอาการ์ดแรงค์ B ออกมาตอนนี้ด้วย!

    มีถึงการ์ดแรงค์ B อยู่แล้วก็อย่ามาทำเรื่องแบบนี้สิฟะะะะะะะ!!

    บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย!!

 

    ความสิ้นหวังและความโกรธแพร่กระจายไปทั่วร่างราวกับพิษ เป็นครั้งแรกหลังจากห่างหายไปนานที่ขามันสั่นอย่างจริงจัง ไม่สามารถรวบรวมกำลังได้อย่างเต็มที่ เริ่มรู้สึกได้ถึงลางสังกรณ์แห่งความตาย

    จะชนะได้ไหม? ศัตรูมีแรงค์ B 1 ใบและแรงค์ C 5 ใบ ส่วนทางนี้มีแรงค์ B 1 ใบ, แรงค์ C 1 ใบ, แรงค์ D 2 ใบ…..แล้วก็แรงค์ C ที่ยังไม่ได้ใช้งานอีก 2 ใบ ถึงแม้ว่าจากจำนวนจะดูเท่ากันก็ตาม…..

    คิดอย่างใจเย็น แล้วก็ได้ข้อสรุป ไม่ไหว ชนะไม่ได้…..พลังต่อสู้ต่างกันมากเกินไป

    หวนคืนจิตวิญญาณของเร็นกะมีเวลาจำกัด เอลิซ่าบาดเจ็บ กลุ่มแรงค์ D ขาดกำลังรบ แรงค์ C ที่ยังไม่ใช้ยังไม่ถูกพัฒนาพลังต่อสู้ ยังไม่รู้วิธีใช้งาน อีกทางด้านหนึ่ง พลังต่อสู้ของศัตรูเป็นปริศนา อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้เรื่องกำลังเสริม

    ไม่มีทางอื่นนอกจากหนี แต่ จะหนีได้รึเปล่า…..?

 

『จะทำเช่นไรดี มาสเตอร์เอ๋ย』

『…..ถอนตัว』

『ยังไงกันล่ะ?』

『น-นั่นมัน…..』

 

    จากตรงนี้มันเหลือแค่หนทางเดียวที่จะหนีไปได้ แต่ว่า ก็ลังเลที่จะพูดมันออกมา

    ตัวผมที่เป็นเช่นนั้น ถูกเร็นกะมองมาอย่างเงียบๆ

    แววตาที่มองมาเช่นนั้น ทำให้นึกได้ถึงคำพูดที่เธอพูดมาก่อนหน้า

 

    —-สำหรับพวกชั้นแล้วชื่อคือ หลักฐานว่าพร้อมที่จะสละชีวิตไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตามเพื่อมาสเตอร์ ใช่ไหมล่ะ?

 

「…..คุ!」

 

    ตัดสินใจไปแล้ว

    …..แต่ว่า อา…..ถึงจะเป็นแบบนั้น…..ก็มีแค่เรื่องนั้น ที่ไม่อยากจะพูดออกมา

 

『———-เร็นกะ, เอลิซ่า, เมอา ฝากหยุดพวกมันด้วย ผมกับยูคิจะมุ่งไปที่เกท…..ไม่สิไปที่พื้นที่ปลอดภัย』

 

    นี่คือ หนทางเดียวที่จะรอด

    จากตรงนี้ มี 2 หนทางที่จะหนีไปได้คือบันไดที่ไปสู่ชั้นบนสุดกับเกท แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าศัตรูจะรออยู่ที่เกท ถ้าหากคิดกันตามปกติแล้วล่ะก็ ถ้าเหยื่อจะหนีก็คงจะไปที่เกท

    ทว่าพวกเรามีขลุ่ยของฮาเมลิน มันมีข้อเสียที่สามารถใช้ได้แค่ภายในพื้นที่ปลอดภัยเท่านั้น และกินเวลานานในการใช้งาน แต่หากศัตรูวางตาข่ายดักไว้รอบๆเกท นี่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะหนีได้

    ปัญหาคือศัตรูจะยอมปล่อยไปง่ายๆรึเปล่า

    เพื่อที่ผมจะสามารถหนีไปได้อย่างปลอดภัย จำเป็นจะต้องหยุดมันเอาไว้ตรงนี้

    แบบนั้นมันก็เหมือนกับบอกว่าให้กลายเป็นหมากใช้แล้วทิ้งซะ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกคำสั่งนั้นไป

    ผมหลบสายตาด้วยความอึดอัด แต่ว่าพวกเร็นกะกลับยิ้มร่าออกมา

 

『เยส, มาสเตอร์ โปรดรักษาตัวด้วย』

『ช่วยไม่ได้น้า…..คอยให้รางวัลมาทีหลังละกันนะ』

『วางใจได้เลย…..โอ้ เวลาแบบนี้มันต้องพูดว่ายังไงนะ ถ้าจำไม่ผิด…..ปล่อยที่นี่ให้ชั้นจัดการแล้วล่วงหน้าไปก่อนเลย ใช่รึเปล่า?』

『เร็นกะ…..ยัยบ้า นั่นมัน…..ปักธงตายแล้ว』

 

    ในขณะได้รับการเยียวยาจากความคิดของพรรคพวกที่ส่งผ่านมาทางลิงค์ ผมก็พยายามที่จะอัญเชิญการ์ดไลแคนโทรปออกมาเพื่อหวังจะว่าจะช่วยได้บ้างเป็นอย่างน้อย

    นี่น่าจะช่วยลดช่องว่างในด้านกำลังรบได้ส่วนหนึ่ง

    …..แต่ว่า

 

『นั่นไม่จำเป็นหรอก』

 

    เร็นกะใช้สายตาห้ามผมเอาไว้

 

『แต่ อย่างที่คิดว่าแค่ 3 ใบมัน…..』

『ไม่มีอะไรยืนยันว่าศัตรูจะไม่ไล่ตามไป เก็บมันเผื่อเอาไว้เถอะ』

『เข้าใจแล้ว…..』

 

    แม้แต่ในตอนนี้พวกเร็นกะก็ยังห่วงความปลอดภัยของผม พยายามกลั้นดวงตาที่เริ่มจะเกิดภาพเบลอแล้ว-กึด- ขึ้นขี่หลังยูคิ

 

『…..ไปล่ะนะ!』

『ค่ะ มาสเตอร์!』

「ฟู่—-ต้องหนีให้ได้!」

 

    เมื่อผมพยายามที่จะหนี พวกอนูบิสก็เข้าจู่โจม

    เร็นกะยืนขวางอยู่ตรงนั้น แล้วพูด

 

「ไม่ยอมให้ผ่านไปหรอก ต่อให้ต้องตายก็ตาม!」

 

    ในขณะที่ได้ยินเสียงของการต่อสู้อันดุเดือดดังมาจากทางด้านหลัง ผมก็เพ่งการซิงโครกับยูคิแล้ววิ่งตรงไปยังพื้นที่ปลอดภัย

    จากตรงนี้ไป ไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้อีกแล้ว ที่ทำได้มีแค่เฝ้าดูพวกเร็นกะกระเสือกกระสนผ่านลิงค์

    ทางฝั่งอนูบิสไล่ต้อนโดยอาศัยความห่างชั้นอย่างล้นหลามของพลัง แต่ทางฝั่งพวกเร็นกะสู้โดยอาศัยความร่วมมือของทั้ง 3 รวมเป็นหนึ่งเดียว

    ระหว่างที่เมอาขัดขวางด้วยสถานะผิดปกติ เร็นกะก็โจมตีด้วยพลังการยิงที่สูง และเอลิซ่าคอยปกป้อง

    ทว่าเมื่อเทียบกับทางฝั่งอนูบิสที่เหนือกว่าทั้งคุณภาพและปริมาณแล้ว แถมทางด้านเร็นกะที่หากปล่อยให้พวกมันหลุดไปได้แม้แต่ตัวเดียวก็เป็นเรื่องแย่ จึงถูกไล่ต้อนมาเรื่อยๆ…..

 

『…..อา อย่างที่คิดเลย ชั้นมัน…..อ่อนแอสินะ』

 

    ครู่หนึ่งหลังจากเริ่ม ที่ล้มลงก่อนก็คือการ์ดแรงค์ D เพียงใบเดียว เมอานั่นเอง

    ไม่ว่าจะใส่ความพยายามเข้าไปมากแค่ไหน ไม่ว่าจะมีความตั้งใจจะสู้มากเพียงใด ความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายของพลังต่อสู้ก็จะมาขวางหน้า

 

『แต่ว่า….จะให้ชั้นไปเฉยๆเนี่ย เห็นทีคงจะไม่ได้หรอกนะ!』

 

    แต่ถึงอย่างนั้น….. ปีศาจฝันตัวน้อยก็แสดงความมุ่งมั่นออกมาจนถึงท้ายที่สุด

 

『อาาาาาาา! เร็นกะะะะะ!』

 

    เมอากระอั่กเลือด ร้องคำราม ในตอนนั้นเอง การ์ดที่อยู่ตรงหน้าอกก็เรืองแสงออกมาเล็กน้อย

    มันคือ แสงที่เปล่งออกมาเมื่อการ์ดได้รับสกิลใหม่

    ไม่มีเวลาที่จะตรวจสอบมัน แต่ก็สามารถรู้ประสิทธิภาพของมันได้ในทันที

 

『…..อา พยายามได้ดีมาก ที่เหลือ ปล่อยให้ชั้นเอง!』

 

    เร็นกะ ถูกห่อหุ้มไปด้วยไอหมอกสีดำ ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นและบวม เส้นผมที่เงางามกลายเป็นสีขาวราวกับหญิงชรา

    เทพธิดา 2 ภาค…..อีกภาคหนึ่งของคิชโชเต็ง เทพีแห่งความโชคร้ายและภัยพิบัติ กลายร่างเป็นโคคุอันเท็น

 

『—-โลกามลายสูญยามราตรี』

 

    เร็นกะพูดด้วยเสียงอันแหบแห้งที่ราวกับลำคอถูกบดขยี้

    นี่ก็คือ ด้านตรงข้ามของ【ฝนอมฤต】ของคิชโชเต็ง สกิลเฉพาะตัวของโคคุอันเท็น

    ฝนสีดำโปรยปรายโดยมีเร็นกะเป็นศูนย์กลาง

    การ์มและไลแคนโทรปที่โดนเข้าเริ่มบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ฝนแห่งพิษและโรคร้าย นั่นก็คือตัวตนที่แท้จริงของฝนสีดำ

 

『ไร้สาระ! คิดว่าของแบบนี้จะทำอะไรข้าได้งั้นเรอะ!』

 

    ทว่า อนูบิสที่เป็นมอนสเตอร์แรงค์ B และเทพแห่งโลกหลังความตาย น่าจะมีความทนทานต่อสถานะผิดปกติสูง ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดเล็กน้อย มันกลับดูไม่ได้ผลมากนัก

    แล้วจากนั้นเร็นกะก็ยิ้มเยาะราวกับจะบอกว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆงั้นเหรอ

 

『เพราะฉะนั้นแล้ว จากตรงนี้แหละ…..เมอา』

『ตาย, ซะ…..』

 

    มิตรภาพร่วมมือ—-『หากสาปแช่งใครก็ต้องเตรียมหลุมไว้ 2』x『โลกามลายสูญยามราตรี』

 

    ในตอนนั้นเอง -เปรี๊ยะ- เกิดเสียงคล้ายของแตกดังขึ้นมาจากตรงหน้าอก

    ต้นเสียงคือการ์ดของเมอา เมื่อนำออกมาดู ก็พบว่าภาพวาดที่อยู่บนการ์ดของเมอาได้หายไป ตัวการ์ดทั้งใบกลายเป็นสีซีเปีย

    นี่หมายความว่า เมอาได้ลอสและกลายเป็นโซลการ์ดแล้ว

    แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะเปล่าประโยชน์

 

『คุ!? อ๊ากกก!?』

 

    จู่ๆ เลือดก็ทะลักจากทั่วร่างของอนูบิส บาดแผลของมันดูประหลาด ราวกับว่าความเจ็บปวดที่เมอาได้รับถูกส่งกลับคืนไปหาอีกฝ่าย

    พวกการ์มที่ไม่บาดเจ็บกลายเป็นบาดเจ็บอย่างหนัก ส่วนไลแคนโทรปที่บาดเจ็บอยู่แล้วก็ได้รับความเสียหายมากจนหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่อนูบิสเองก็ได้รับบาดแผลที่ลึกพอดู

    ในเวลาเดียวกัน เร็นกะที่ใช้พลังจนหมดก็กลับคืนสภาพสู่ซาชิกิวาราชิ

 

『…..ได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของสหายชั้นรึยังล่ะ』

『ไอ้เจ้าแรงค์ B จอมปลอม!』

 

    เร็นกะยิ้มเยาะในความสำเร็จ พวกอนูบิสโกรธจัดพุ่งเข้าโจมตีพร้อมๆกัน

 

「เมอา…..!」

 

    -กึด-กัดฟันแล้วเกาะตัวยูคิเอาไว้แน่น

    ในช่วงเวลาสุดท้าย ที่สามารถรับรู้ได้จากเมอาก็คือ ความเสียใจที่ตัวเองต้องเป็นคนแรกที่ถูกจัดการ

    ไม่ได้มีร่องรอยของความแค้นใดๆต่อผมที่ทอดทิ้งเธอราวกับเบี้ย มีแค่ความรู้สึกกังวลในความไร้ความความสามารถของตัวเอง และพรรคพวกที่ยังคงเหลืออยู่

    สิ่งนี้กลับยิ่งทำให้ใจของผมปวดร้าวยิ่งกว่าการตำหนิด่าทอเสียอีก

 

『มาสเตอร์…..ต้องขอ, ประทานอภัยอย่างสูง, ได้โปรด, รักษาตัวด้วย』

 

    ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในคราวนี้เป็นเอลิซ่าที่จากไป

    เธอคอยเป็นโล่ให้แก่เร็นกะจนถึงท้ายที่สุดของที่สุดจริงๆ สูญเสียแขนขวา, หน้าอกถูกคว้านออก, ที่ท้องเป็นรู, ส่วนหัวหายไปกว่า 3 ส่วน…..ล้มลงไปกับพื้นด้วยร่างกายสภาพรุ่งริ่งซะยิ่งกว่าตอนที่เป็นกูล

    แต่ว่าไม่มีใครที่คิดว่าร่างกายนั้นน่าเกลียดแม้แต่น้อย ไม่สำหรับพวกเราที่เป็นพรรคพวก

    รอยแผลที่ไม่อาจจะมองได้ตรงๆ จำนวนมากมาย มันคือความรู้สึกที่มาจากใจจริงของเธอที่มีต่อพรรคพวก

 

「เอลิซ่า…..!」

 

    ความคิดของเธอในตอนที่กำลังลอสก็ยิ่งบีบหัวใจ

    ตอนที่เธอกำลังจะตาย สิ่งที่อยู่ในหัวของเธอมีแค่ผมและเหล่าพรรคพวก

    มาสเตอร์จะหนีไปได้อย่างปลอดภัยรึเปล่า, ตัวเองยื้อเวลาเอาไว้ได้มากพอไหม, ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถปกป้องเมอาเอาไว้ได้, ช่างน่าเสียดายที่ไม่สามารถอยู่ปกป้องเร็นกะได้จนถึงท้ายที่สุด

    หัวใจของเธอที่เป็นห่วงเหล่าพรรคพวกมากยิ่งกว่าตัวเองนั้น ยังคงเป็นอยู่เฉกเช่นเดียวกันตอนที่เป็นกูล

 

「อา บ้าเอ๊ย…..」

 

    เหล่าพรรคพวกของผมกำลังตายไป

    เหล่าพรรคพวกที่หล่อหลอมให้ผมมีตัวตนเป็นดั่งทุกวันนี้ ทีละคน ทีละคน…..

    น่าจะรีบถอนตัวทันทีที่รู้ว่าการโจมตีครั้งนี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์แล้ว ถ้าหากทำแบบนั้น อาจจะต้องลอสการ์ดแรงค์ D ไปบ้าง แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องถูกไล่ต้อนจนถึงจุดที่แทบถูกจัดการจนเกือบหมดแบบนี้

    ไม่สิ แต่ไหนแต่ไร ถ้าเกิดตอนนั้นฟังคำของซุซูกะแล้วกลับบ้านไปทันทีล่ะก็….. ถ้าเกิดเป็นผมตอนที่เพิ่งเริ่มเป็นนักผจญภัย หากแค่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย ก็คงตัดสินใจถอยกลับ ทว่าพอเหล่าการ์ดเติบโต แล้วทุกๆอย่างเริ่มไปได้สวย มันก็เริ่มจะสูญเสียความระมัดระวังไป

    แม้แต่ตอนที่สมาร์ทโฟนเสียหายก็คิดว่าไม่ได้มีผลอะไรกับการต่อสู้กับจ้าวเลยบ้างล่ะ หรือถ้าในระหว่างที่กลับไปแล้วมีนักผจญภัยอื่นมาพิชิตเขาวงกตไปได้ก่อน ก็จะทำให้ที่อุตส่าห์ลงแรงไปตั้งเยอะเสียเปล่าบ้างล่ะ…..

    ผลลัพธ์จากการยึดติดในผลประโยชน์ระยะสั้น ทำให้ต้องมาสูญเสียเหล่าพรรคพวกคนสำคัญไปเกือบหมด

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะความเย่อหยิ่งอวดดีที่พองโตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

「ขอโทษ…..ขอโทษ…..」

「……….」

 

    ยูคิที่ตามปกติในเวลานี้จะคอยปลอบกลับไม่พูดอะไร นี่ก็เป็นรูปแบบความภักดีของเธอ ซึ่งสำหรับในตอนนี้แล้วรู้สึกขอบคุณมากกว่าสิ่งอื่นใด

    และแล้ว ในตอนที่มาถึงพื้นที่ปลอดภัยได้ในที่สุด

 

『อุทา, มาโร่…..』

 

    เสียงที่ 3 ดังขึ้น

    เสียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาลำบากแค่ไหนก็จะคอยตำหนิผม เสียงของคู่หูที่คอยสนับสนุนมาตลอด กำลังจะตาย

    ศัตรูที่เหลืออยู่ มีแค่อนูบิสตัวเดียวเท่านั้น

    พวกเร็นกะ ก้าวข้ามความเสียเปรียบ 5 ต่อ 3 ทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพ รับหน้าที่ในการหยุดพวกมันเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

    เพื่อพวกผม ด้วยการเสียสละอันมีค่าของพวกเธอ เพื่อให้มาถึงพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างปลอดภัย

    แต่ถึงอย่างนั้น…..

    ปลดปล่อยเสียงร่ำร้อง อารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด เผาไหม้และพลุ่งพล่านอยู่ภายในอก

 

「อาาาาาาาาาาาาาาา!!!! บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!」

 

    —–สิ่งที่ผมได้เห็นเมื่อมาถึงพื้นที่ปลอดภัยด้านหน้าบันได มันก็คืออนูบิสตัวใหม่และการ์มอีก 2 ตัว

 

    แม้จะยังกัดฟัน แต่เรี่ยวแรงทั่วร่างกายมันได้หายไปหมดแล้ว เมอา, เอลิซ่า, เร็นกะ…..

    ขณะที่ผมกำลังคอตกอยู่บนยูคิที่ตั้งท่าขู่คำราม อนูบิสก็พูดออกมา

 

『…..เอาคูซี่นั่นกลับเข้าการ์ด สละสิทธิการเป็นเจ้าของของการ์ดทุกใบและอุปกรณ์เวทแล้ววางไว้กับพื้นซะ รวมถึงโซลการ์ดด้วย 』

「…..ว่ายังไงน่ะ?」

『เร็วเข้าสิ! อยากจะถูกฆ่ารึไง!』

 

    อนูบิสใช้จิตสังหารเข้าจู่โจม ทำให้หัวของผมเย็นลงอย่างรวดเร็ว

    มาเรียกร้องเอาการ์ดตรงนี้เนี่ยนะ…..? นี่หมายความว่าเป็นแค่การปล้นงั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นแล้วทำไมต้องเอาทั้งยูคิกับโซลการ์ดด้วย?

    เรื่องสิทธิการเป็นเจ้าของในการ์ดทั่วไปแล้วพอเข้าใจได้ ถ้าหากมาสเตอร์ตายไปโดยที่ไม่ได้สละสิทธิ การ์ดมันก็จะหายไปด้วย แต่ว่า น่าจะรู้เรื่องสิทธิการเป็นเจ้าของการ์ดที่ถูกตั้งชื่อว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนได้นี่นา…..

 

「…..การ์ดที่ถูกตั้งชื่อแล้วไม่สามารถโอนย้ายสิทธิการเป็นเจ้าของได้ใช่ไหม?」

『แน่นอนว่ารู้อยู่แล้ว เจ้าก็แค่ต้องทำตามที่ทางนี้บอกก็เท่านั้น』

「ต่อให้ทำตามที่บอกไป สุดท้ายก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี…..」

『ถ้าหากทำตามที่บอกล่ะก็ จะยอมปล่อยผ่านไป แต่ว่าต้องให้ใช้บันไดเพื่อขึ้นกลับไปล่ะนะ』

「…..อะไรนะ?」

 

    ถ้าหากทิ้งการ์ดและอุปกรณ์เวททั้งหมดเอาไว้จะยอมปล่อยไป? กลับขึ้นไป? ถ้าแบบนั้นผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน ก็แค่ถูกฆ่าโดยมอนสเตอร์ระหว่างทางเท่านั้น….. ทำไมถึงไม่จัดการด้วยตัวเองไปเลย?

 

「แก ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ไม่ได้ทำเพื่อแค่ขโมยการ์ดใช่ไหม?」

 

    กับนักผจญภัยที่มีการ์ดระดับสูงขนาดนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องก่ออาชญากรรมเพื่อขโมยการ์ดของคนอื่นเลย หนทางอื่นในการหาเงินอย่างถูกกฏหมายมันก็มี

    นี่คือความหมายของคำถามที่พูดไป แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะตอบหรอก

    กับคนร้ายแล้ว มันไม่มีความจำเป็นจะต้องอุตส่าห์อธิบายแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมให้ฟัง

    ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะใกล้ตายแล้วก็ตาม…..

 

『หึ…..ต่อให้พูดไปก็ไม่มีทางเข้าใจถึงความปรารถนาอันสูงส่งนี่หรอก กับพวกแกที่หลงผิดคิดว่าพลังของการ์ดคือพลังของตัวเอง!』

 

    แต่ว่าผิดจากที่คาด อนูบิสตอบมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข

    ราวกับว่าได้ถูกถามในสิ่งที่อยากจะตอบใจจะขาด ก็…..ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น

    …..ความปรารถนาอันสูงส่ง? หลงผิดคิดว่าพลังของการ์ดคือพลังของตัวเอง?

    ในตอนนั้นเองที่บางอย่างมันแว่บอยู่ในหัว

 

『เอาล่ะ พอกันได้แล้ว ส่งการ์ดและอุปกรณ์เวททั้งหมดมาซะ』

 

    ความคิดถูกขัดจังหวะโดยอนูบิสที่เริ่มแผ่จิตสังหารอีกครั้ง

 

「…..จนกว่าจะได้คำสัญญาว่าจะปล่อยให้ผ่านเกทด้านล่างสุดไปก็ไม่ทำให้หรอก」

 

    อันที่จริงแล้วต่อให้ถูกฆ่าก็ไม่มีความคิดที่จะมอบการ์ดของพวกเร็นกะให้ เพียงแต่พูดไปเพื่อค้นหาสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ

 

『อย่าได้ใจให้มันมากนัก! ไอ้เจ้าหมาขี้แพ้! อยากจะถูกฆ่าตรงนี้เรอะ!』

「มันก็เหมือนกัน…..จะการถูกฆ่าตรงนี้ หรือขึ้นไปด้านบนแล้วตายคนเดียว」

 

    ทำไมถึงต้องยืนกรานให้ทิ้งการ์ดทั้งหมดเอาไว้

    ถ้าหากสามารถเข้าใจเรื่องนั้นได้ รู้สึกว่าจะสามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของศัตรูได้

    แต่ทว่า ดูเหมือนการฝืนดิ้นรนของผมจะไปสะกิดเส้นประสาทของศัตรูเข้า

 

『…..พอกันที ถ้าหากพูดมาถึงขนาดนั้นแล้วก็จะฆ่าทิ้งซะตรงนี้ตามที่ต้องการเลย』

 

    -วืด- แล้วอนูบิสก็ค่อยๆขยับร่างกายช้าๆ จิตสังหารนั้นแตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

    มาได้เท่านี้ งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นคงต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุดของที่สุดแล้ว

 

「เข้าใจแล้ว จะส่งการ์ดให้…..」

 

    ผมพูดแล้วเอามือล้วงไปในกระเป๋า ไม่ใช่เพื่อจะมอบการ์ดให้อนูบิส แต่เพื่ออัญเชิญไลแคนโทรปที่ยังไม่ถูกใช้

    คงไม่มีทางชนะ แต่อย่างน้อยก็จะทำให้การ์มลอสซักตัว

    ถ้าไม่อย่างงั้นคงไม่มีหน้าไปเจอกับพวกเร็นกะที่ช่วยขัดขวางหรอก

 

「…..?」

 

    ในตอนนั้นเอง รู้สึกได้ถึงบางอย่างผิดปกติภายในกระเป๋า

    การ์ด ที่มีขนาดใหญ่กว่าการ์ดมอนสเตอร์กว่า 1 เท่าตัว มันคือการ์ดเวทมนตร์『ฉุกเฉิน』

    จะว่าไปแล้ว มีอะไรแบบนี้อยู่ด้วยสินะ เพราะว่าไม่คิดจะใช้งานมันก็เลยลืมไปซะสนิท

    อันที่จริง การ์ดเวทมนตร์『ฉุกเฉิน』คงจะไม่มีประโยชน์อะไรตรงนี้ นั่นก็เพราะตรงนี้คือชั้นล่างสุด ต่อให้ใช้『ฉุกเฉิน』ที่เป็นการเคลื่อนย้ายสุ่มไปยังชั้นที่ยังไม่เคยไป……………มันจะเป็นยังไง?

    การใช้งานล้มเหลวแล้วถูกปล่อยไว้อยู่ตรงนั้น?…..หรือว่า  『จะถูกโยนไปที่ไหนซักแห่งในชั้นที่เคยไปมาแล้ว』กัน?

    มันเป็น ความคิดที่ไม่มีทางคิดออกมาได้ตอนปกติ การที่จะใช้การ์ดเวทมนตร์『ฉุกเฉิน』ที่มีราคาแพง ในสถานที่ที่ไม่มีจุดให้เคลื่อนย้ายไป

    …..แต่ว่า มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

    ยังไงสถานการณ์มันก็ไม่มีทางแย่ลงไปได้มากกว่านี้แล้ว ถ้างั้นการเดิมพันทุกอย่างเอาไว้กับการ์ดนี้ก็เป็นเรื่องดี

 

『เป็นอะไรไป! เร็วเข้าสิ!』

 

    อนูบิสตะโกนด้วยความหงุดหงิด ผมที่ไม่มีเวลาให้ลังเลจึงใช้งานการ์ดเวทมนตร์『ฉุกเฉิน』

 

「—-ใช้งาน『ฉุกเฉิน』!」

『หะ!?』

 

    ต่อหน้าอนูบิสที่ตกใจ ร่างของผมกับยูกิก็เปล่งแสง

 

『คิดว่าจะให้หนีเรอะ!』

 

    แม้ว่าเวทมนตร์จะใช้เวลาทำงานไม่ถึง 1 วินาทีก็ตาม อนูบิสก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

    ฆ่าทิ้งซะดีกว่าจะให้หนีไปได้! แล้วมือขวามันก็โบกสะบัด

    ผู้ที่มาขวางหน้าผมที่ไม่มีทางทำอะไรได้ คือพรรคพวกคนสุดท้าย ยูคินั่นเอง

    ขณะที่เลือดสดๆสาดกระเซ็นแบบสโลวโมชั่น พวกเราก็-วิ้ง-เกิดเสียงแล้วทำการเคลื่อนย้าย

 

 

 

 

「…..เตอร์…..ตื่นเถอะฮะ」

「…..อุ」

 

    มีใครบางคนกำลังเขย่าร่างกาย แล้วผมก็ฟื้นคืนสติ

    ดูเหมือนว่า จะหมดสติไป

    พอลืมตาขึ้นมา ก็พบกับยูคิที่ขนสีเขียวเปื้อนไปด้วยเลือดอยู่ตรงนั้น

   

「ยู…..คิ เป็นอะไรไหม?」

「ฮะ บาดเจ็บ…..นิดหน่อย แต่ถ้าจากที่เห็น ก็ไม่เป็นอะไรฮะ」

「งั้น, เหรอ…..รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะใช้โพชั่นให้」

 

    ขณะที่กำลังเอาโพชั่นขั้นกลางจากในเป้ออกมา ก็สังเกตุได้ถึงสิ่งรอบข้างเป็นครั้งแรก

 

「ที่นี่, คือ…..?」

 

    ตรงนั้นคือพื้นที่สีขาวโพลน มีทรงกลมจำนวนนับไม่ถ้วยล่องลอยอยู่ในอากาศ

    ในพื้นที่ขนาดเท่าโรงยิมของโรงเรียน มีทรงกลมคล้ายกับฟองสบู่ล่องลอยอนู่ในอากาศ และภายในนั้น…..

 

「…..การ์ด?」

 

    แต่ละอันมีการ์ดมอสเตอร์ที่ดูคุ้นตา

    แบทเทิลวูฟ, โคโบลด์, แฟรี่, วิล-โอ-วิสพ์, คาบังเคิล, คูซี่, เฮลฮาวนด์, ไลแลปส์…..

    พวกนี้ ไม่ว่าใบไหนก็เป็นการ์ดของเหล่ามอนเตอร์ที่ปรากฏในเขาวงกตแห่งนี้

    ขณะที่เทโพชั่นลงบนตัวยูคิ ก็ทำการมองดูด้วยความอัศจรรย์ใจ

    ขนาดของฟองสบู่แต่ละอันแตกต่างกันไป ถึงแม้จะเป็นการ์ดแบบเดียวกันก็ดูจะมีขนาดแตกต่างกันมากมาย

    ตาของผมเหลือบมองไปเห็นทรงกลมสีรุ้ง แล้วจู่ๆภาพทิวทัศน์ที่แตกต่างก็ปรากฏ

    มันเป็น ฉากที่เด็กตัวเล็กๆกำลังจมน้ำในแม่น้ำ เด็กผู้ชายอายุราวชั้นอนุบาลกำลังเล่นอยู่ตรงส่วนที่ตื้นของแม่น้ำ แต่เขากลับมุ่งไปส่วนที่ลึกกว่า แล้วก็ได้ถูกกระแสน้ำพัดไปจากที่ตรงนั้น คู่สามีภรรยาที่กำลังเตรียมบาร์บีคิวอยู่ข้างแม่น้ำจึงลนลานแล้วกระโจนลงแม่น้ำ แต่พวกเขาก็ไม่ทันเวลา…..

    ความเจ็บปวดของเด็กชาย ความร้อนรนและความกลัวของคู่สามีภรรยา ถูกรู้สึกได้โดยตรงราวกับว่าใช้งาน『ลิงค์』 ทำให้ผมครางออกมาเล็กน้อย

 

「อุ, คุ…..เมื่อกี้นี้มัน…..?」

 

    ราวกับว่า มันเป็นฉากที่ได้เกิดขึ้นจริงในโลกนี้ที่ใดที่หนึ่ง

    และในตอนที่ผมกำลังจะมองไปที่ฟองสบู่อันต่อไปนั่นเอง

 

「มาสเตอร์ นั่นฮะ」

 

    ยูคิชี้ไปที่ฟองสบู่

    ที่ตรงนั้น มีฟองสบู่ขนาดใหญ่มาก 2 อันอยู่คู่กัน พอเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าแต่ละอันมีการ์ดไลแคนโทรปอยู่

    การ์ดด้านหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกด้านหนึ่งเป็นผู้หญิง

 

「นี่มัน…..」

 

    พอยื่นมือไปทางฟองสบู่ใหญ่นั้น…..อันที่มีไลแคนโทรปผู้หญิงก็ -เป๊าะ-เกิดเป็นเสียงฟองสบู่แตก

    การ์ดไลแคนโทรปค่อยๆร่วงลงมา

 

【เผ่า】ไลแคนโทรป

【พลังต่อสู้】800

【ทักษะติดตัว】

    – ยามจันทราเต็มดวง

    – ชุดหมาป่า

    -การตื่นขึ้นของสัญชาตญาณ

 

【ทักษะเรียนรู้】

    – ผู้แท้จริง

    – ทำลายขีดจำกัด

    – อัญเชิญวงศ์วานแท้จริง

    – จ้าวอาณาเขต

    – วิชานินจาขั้นสูง

 

「ข-แข็งแกร่ง…..」

 

    นี่มันใช่ไลแคนโทรปจริงๆเหรอเนี่ย? ไม่เพียงแค่จะมีพลังต่อสู้เริ่มต้นมากกว่าไลแคนโทรปปกติถึง 2 เท่า ยังมีสกิลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกหลายสกิลด้วย

    ผู้แท้จริงมันเป็นสกิลแบบไหนกัน, ที่พลังต่อสู้สูงมากขนาดนี้เป็นเพราะทำลายขีดจำกัดงั้นเหรอ?, อัญเชิญวงศ์วานแท้จริงแตกต่างไปจากอัญเชิญวงศ์วานปกติรึเปล่า?

    และแล้ว ในตอนนั้นเอง

 

「อ-อะไรกัน…..!?」

「มาสเตอร์!」

 

    จู่ๆ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงก็เข้ามากระแทกพวกเรา

    -เปรี๊ยะเปรี๊ยะ-รอยแตกปรากฏขึ้นในพื้นที่สีขาว ฟองสบู่ค่อยๆแตกไปทีละอัน

    รอยแตกแปรสภาพกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ในทันที ที่ก้นบึ้งของมันเต็มไปด้วยความมืดมิด เหล่าการ์ดที่ร่วงลงมาจากฟองสบู่ถูกดูดเข้าไปภายในหุบเหวนั้น

 

「มาสเตอร์!」

 

    ภายในอ้อมแขนของยูคิ พวกเราพากันวิ่งหนีให้ห่างจากรอยแยก ทว่าพื้นที่สำหรับยืนก็ค่อยๆแคบลงเรื่อยๆ จนท้ายสุดก็จนมุม

    ในที่สุด พื้นที่ยืนสุดท้ายก็พังทลาย แล้วพวกเราก็ร่วงลงไปในหุบเหวพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

 

 

 

 

【Tips】การ์ดเวทมนตร์

    ท่ามกลางอุปกรณ์เวทที่ปรากฏออกมาจากเขาวงกต มีสิ่งที่ทำให้แม้แต่มนุษย์เองก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้ การ์ดเวทมนตร์นั้น คืออุปกรณ์เวทมนตร์แบบใช้แล้วทิ้งที่หาได้ง่ายที่สุด

    มีความสะดวดสบายที่เพียงแค่กล่าวชื่อเวทมนตร์ก็สามารถใช้งานมันได้ ช่วยให้ขอบเขตของการวางแผนเปิดกว้างขึ้น ถูกใช้งานเป็นหลักในมอนโคโล

    เวทมนตร์ที่อยู่ภายในการ์ดเวทมนตร์โดยหลักๆแล้วจะเป็นสิ่งที่มอนสเตอร์สามารถใช้งานได้ แต่ก็มีบางเวทมนตร์ที่ถูกยืนยันว่ามีแค่ในการ์ดเวทมนตร์เท่านั้น การ์ดเวทมนตร์『ฉุกเฉิน』เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

    นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของการ์ดเวทมนตร์เองก็ได้ถูกทดสอบแล้วอย่างถี่ถ้วน แน่นอนว่ามีการทดสอบใช้งาน『ฉุกเฉิน』ในชั้นล่างสุดแล้ว ผลก็คือ ไม่ถูกใช้งาน

 

 

 

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

โคคุอันเท็น(Kokuanten/黒闇天) เทพีแฝดผู้น้องของคิชโชเต็ง ในศาสนาพุทธ มีลักษณะเป็นดั่งด้านตรงข้ามของคิชโชเต็ง มีรูปโฉมที่อัปลักษณ์น่าเกลียด ควบคุมความโชคร้ายและภัยพิบัติ/

ปางที่ 7 ใน 9 ของมหาเทวี, กาลาราตรี ของฮินดู/

https://www.japanesewiki.com/Buddhism/Kokuanten.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Kalaratri

 

 

หากสาปแช่งใครก็ต้องเตรียมหลุมไว้ 2 (人を呪わば穴二つ)

สำนวนญี่ปุ่น – หากต้องการจะสาปแช่งเพื่อสังหารใครซักคน ก็จำเป็นจะต้องเตรียมหลุมศพเอาไว้ 2 หลุม ทั้งของคนที่จะโดนสาปแช่ง และคนที่สาปแช่งเองด้วย หมายความว่า การที่คนๆหนึ่งจะไปทำร้ายใคร คนๆนั้นก็จะต้องได้รับความเจ็บปวดแบบเเดียวกันกลับมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง, การไปสาปแช่งคนอื่น ก็เท่ากันการสาปแช่งตัวเอง

https://kotobank.jp/word/人を呪わば穴二つ-611210

 

 

สีซีเปีย(Sepia) – สีน้ำตาลแดงซึ่งได้มาจากถุงหมึกของหมึกกระดอง (Cuttlefish)

https://th.wikipedia.org/wiki/สีซีเปีย