ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“อารอน~ ตื่นหรือยังงง~”

 

ย้อนกลับมาในช่วงเช้าที่ผ่านมาของวันนี้ หลังจากที่อารอนได้เตรียมอาหารเช้าให้แมรี่และนางพยาบาลจนเสร็จก็ได้มีเสียงเคาะประตูที่เขาได้กะเอาไว้แล้วดังขึ้น พร้อมตามมาด้วยเสียงของเอริกะที่ได้นัดพวกเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ได้ดังตามขึ้นมาติดๆ

 

“เดี๋ยวเธอกินข้าวไปก่อนนะแมรี่…ฉันขอไปรับยัยนั่นเข้ามาแป๊บ…”

 

ซึ่งแมรี่ก็พยักหน้าตอบอารอนกลับมาอย่างว่าง่าย ก่อนที่อารอนจะลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินไปเปิดประตูต้อนรับเพื่อนนักประดิษฐ์ตัวแสบของเขา

 

“ว่าไง~ พวกนายพร้อมมั้ย?”

 

“ถ้าเรื่องเอกสารเท่าที่ฉันรู้ล่ะก็เตรียมเอาไว้แล้ว… แต่ยังไงก็รอแมรี่เขากินข้าวเช้าก่อนหรือเปล่าล่ะ”

 

“ไม่มีปัญหาๆ เพราะยังไงเราก็ไม่ได้นัดอะไรกับทางวังหลวงไว้ก่อนอยู่แล้วด้วย ถ้างั้นฉันจะได้เตี๊ยมกับเธอกันเอาไว้ก่อนด้วย”

 

“งั้นก็เข้ามาข้างในก่อนสิ…”

 

เขาพูดพร้อมหลบทางให้เอริกะเดินเข้ามา ซึ่งเธอก็เดินตรงเข้าไปที่ห้องพักพนักงานที่แมรี่นั่งทานข้าวเช้าอยู่ พร้อมเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งข้างเธอในทันที

 

“อรุณสวัสดิ์จ้ะแมรี่จัง~ หวังว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเกิดขึ้นใช่มั้ย?”

 

“อ…อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่เอริกะ…ม…ไม่มีเลยนะคะอาการแบบที่ว่าน่ะ…”

 

“นี่เอริกะถ้างั้นเธอกับฉันมาเช็กเอกสารกับของที่ต้องเอาไปยื่นก่อนมั้ย…? แล้วเดี๋ยวค่อยมาบอกแมรี่เรื่องที่ต้องเตี้ยมหลังเธอกินข้าวเสร็จก็ได้…”

 

อารอนที่เดินตามหลังเอริกะเข้ามาในห้องก็เดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ของเอริกะให้ถอยออกห่างมาจากแมรี่ทันที ก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบเอกสารส่วนที่เขาเตรียมเอาไว้มายื่นให้กับเธอ

 

“อื้อ ก็ได้แหละ~ ถ้างั้นเดี๋ยวแมรี่จังกินข้าวไปก่อนน๊า~”

 

“ค…ค่ะ…”

 

หลังจากที่เอริกะกับอารอนแลกกันเช็กเอกสารของแต่ละฝ่ายได้สักพักหนึ่ง อารอนก็เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยพูดกับเธอออกมา

 

“ไม่ต่างจากที่ฉันเดาไว้เท่าไหร่เลยแฮะ…”

 

“แฮะๆ แผนฉันมันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?”

 

“ก็นะ…ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอใช้แผนแบบนี้นี่…”

 

เขาพูดออกมาพร้อมกับส่งเอกสารในมือคืนให้เอริกะไป ก่อนที่จะหันไปพูดสรุปแผนการของเอริกะให้แมรี่และนางพยาบาลที่นั่งกินข้าวอยู่ใกล้ๆ กันฟัง

 

“ป้ายความผิดบอกว่าเป็นฝีมือของตัวอย่างการทดลองที่ล้มเหลวและหลบหนีไป… ส่วนแมรี่เป็นแค่ลูกของสาวใช้ในคฤหาสน์ที่พาเด็กทารกคนนั้นหนีตายออกมาตามคำสั่งของหัวหน้าสาวใช้งั้นสินะ…”

 

“แล้วนายคิดว่าไงบ้างล่ะ? ฉันว่ามันฟังดูเข้าท่าดีออก แถมมันก็ไม่ใช่คำโกหกทั้งหมดด้วยเลยยิ่งดูสมจริงเข้าไปใหญ่อีก ที่เหลือก็แค่จะพูดยังไงให้ผู้พิพากษาเขาเชื่อแค่นั้นแหล่ะ”

 

ซึ่งเมื่ออารอนเห็นเพื่อนนักทดลองตัวแสบของเขายิ้มร่า พร้อมถามออกมาอย่างภาคภูมิใจกับแผนการของเธอ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่งก่อนแล้วจึงค่อยตอบเธอกลับไป

 

“ถ้าเกิดไม่มีหลักฐานไปยืนยันก็จัดได้ว่าเป็นเรื่องแต่งที่พอจะมีหลักความเป็นไปได้สูงอยู่… แต่ว่า…”

 

“แต่ว่า?”

 

อารอนที่เห็นเอริกะหันมาถามก็เลื่อนมือไปหยิบห่อผ้าอันหนึ่งออกมาส่งให้เอริกะ

 

และเมื่อเธอเปิดมันออกและหยิบของที่อยู่ด้านในขึ้นมาดูเธอก็ได้พบกับซากของตราห้าเหลี่ยมรูปประภาคารอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองรีมินัสที่ถูกประดับด้วยขอบสีทองที่ดูหรูหราผิดจากตราทั่วๆ ไป ซึ่งถึงแม้ว่าครึ่งหนึ่งของมันนั้นจะถูกเผาไหม้ซะจนแทบจะกลายเป็นสีดำ แต่ว่าด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่นของมันนั้นก็ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร

 

“นี่มัน ตราขุนนางของที่นี่?”

 

“อืม…เมื่อวานตอนฉันกลับมาจากบ้านของเธอ มีคนเอาเจ้านี่มาใส่ตู้จดหมายของคลินิกของฉันเอาไว้… ฉันเชื่อว่าคนที่เอามาใส่เขาตั้งใจจะเอาให้เธอแต่ไม่กล้าไปหาเองมากกว่าน่ะ…”

 

“อ่า…เป็นอย่างนั้นเองสินะ…ทำแบบนี้ก็สมกับเป็นเขาที่ฉันรู้จักดีนั่นแหล่ะ”

 

เอริกะที่เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างแล้วนั้นก็เผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมา ก่อนที่จะนำตราขุนนางอันนำขึ้นมากำเอาไว้ที่หน้าอกของตน

 

“เดี๋ยวฉันจะจบเรื่องนี้ให้เขาเอง…”

 

“ในฐานะที่เป็นคู่แข่งกันมานานน่ะนะ…?”

 

“…ในฐานะที่พวกเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ถ้าเกิดมันไม่ได้ลงเอยแบบนี้ต่างหาก ถ้างั้นเอาเป็นว่าพวกฉันไปเจอร่างของเขาเสียชีวิตจากฟ้าผ่าขนาดยักษ์เมื่อวาน ที่มาจากการต่อสู้กับตัวอย่างการทดลองที่ว่าอย่างกล้าหาญก็ละกัน…”

 

“พูดแบบนี้ก็สมกับเป็นเธอดีล่ะมั้ง…”

 

อารอนที่ได้ยินคำตอบของเอริกะก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาให้เธอเห็น ก่อนที่เอริกะจะรีบเก็บตราที่ว่าเข้าด้านในเสื้อกาว์นไปอย่างรวดเร็ว

 

“น…หนูกินเสร็จแล้วค่ะ”

 

“ถ้างั้นแมรี่จังคงพร้อมละเนอะ ถ้างั้นเรามาตกลงกันเรื่องปัญหาหลักของเธอตอนนี้กันดีกว่า”

 

“ป…ปัญหาหลักของหนูงั้นหรอคะ…?”

 

“ใช่แล้วล่ะ เป็นปัญหาใหญ่มากที่ต้องตกลงกันให้ได้ก่อนที่จะเริ่มแผนการได้น่ะ เพราะเดี๋ยวเธอจะต้องตาย–”

 

โป๊ก!!

 

แต่ทันทีที่เอริกะพูดออกมาแบบนั้น สันมือของอารอนก็สับลงมาที่หัวของเธอลงไปเต็มแรงทีหนึ่งจนทำให้เอริกะร้องโวยวายออกมา ในขณะแมรี่ก็ได้แต่มองทั้งสองคนไปมาด้วยความสับสน

 

“โอ๊ย!? แต่อันนี้ฉันพูดจริงๆ นี่นา!!”

 

“ตรงไป…”

 

“น…หนูต้องตายหรอกคะ…? ล.. แล้วเด็กคนนั้นล่ะคะ? …หนูจะไม่ได้ดูแลเขางั้นหรอ…?”

 

แมรี่ได้ยินที่เอริกะบอกมานั้น เธอก็หันไปหาทารกในอ้อมกอดของนางพยาบาลด้วยสายตาสิ้นหวัง เพราะถึงแม้ว่าเธอจะรู้ตัวดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งหรืออาจจะทั้งหมดนั้นมันเป็นความผิดของเธอเอง แต่ว่าเธอก็ยังอยากที่จะอยู่ดูแลเด็กทารกที่เป็นลูกของคุณแม่ของเธออยู่ดี

 

“เฮ้อ…ไม่ใช่แบบนั้นหรอก คนที่ต้องตายจริงๆ น่ะมีแค่เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าแมรี่ แค่ยัยนี่ขี้เล่นแล้วจงใจพูดออกมาไม่ชัดเจนก็แค่นั้นแหล่ะ…”

 

“อ…เอ๋?”

 

แมรี่ที่ได้ยินอารอนอธิบายออกมาเธอก็เผยสีหน้าสับสนออกมา ทำให้เอริกะซึ่งกำลังลูบหัวตัวเองอยู่นั้นพูดอธิบายออกมาให้เธอฟังอีกครั้งหนึ่ง

 

“ใช่แล้วล่ะ~ เพราะพวกฉันไม่รู้ว่าเวก้าเขารายงานเรื่องของเธอให้ทางวังหลวงรู้ไปมากขนาดไหน แถมเท่าที่ฟังมาจากเธอแล้ว

 

หลังจากการทดลองนั่นเวก้าก็คงไม่มีเวลาไปรายงานว่าร่างกายของเธอเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นอายุสิบห้าไปแล้วหรอก เพราะงั้นทางที่ดีที่สุดก็คงเป็นการกำจัดเด็กผู้หญิงที่ชื่อแมรี่ทิ้งไปเลยนั่นล่ะ”

 

“ต…แต่แมรี่ก็คือหนูไม่ใช่หรอ?”

 

“ตอนนี้น่ะใช่ แต่เดี๋ยวหลังจากนี้จะไม่ใช่แล้วไง~ เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะให้หนูแมรี่เปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นเลยได้หรือเปล่า? แบบว่าทิ้งชื่อแมรี่นี้ไปเลยแล้วเดี๋ยวฉันจัดการเรื่องเอกสารให้ เพราะว่าถ้าเกิดหนูใช้ชื่อแมรี่ต่อไป เดี๋ยวอีกไม่นานพวกวังหลวงได้สืบจนเจอตัวหนูแน่เลยล่ะ”

 

“แต่ชื่อแมรี่นี่เป็นชื่อที่คุณแม่เจนตั้งให้หนูมา… ถ้าเกิดจำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ แล้วล่ะก็…”

 

“หื้ม…?”

 

หลังจากที่แมรี่ฟังที่เอริกะขอมาแบบนั้น เธอก็พูดพร้อมก้มหน้าใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่เธอนั้นจะเงยกลับขึ้นมามองอารอนที่กำลังหันไปรับแก้วกาแฟของตนจากนางพยาบาลผมบลอนด์เข้าพอดี

 

“พี่อารอนคะ…ถ้าเกิดหนูต้องเปลี่ยนชื่อจริงๆ หนูขอเป็นชื่อที่พี่อารอนตั้งให้ได้มั้ยคะ…?”

 

“…..”

 

พออารอนได้ยินแมรี่พูดมานั้น เขาก็รับแก้วกาแฟที่นางพยาบาลเป็นคนชงทิ้งไว้ให้ขึ้นมาจิบอยู่เงียบๆ สักครู่ ก่อนที่จะเหลือบตาไปมองอากาศสดใสด้านนอกหน้าต่าง

 

“เพราะอะไรถึงอยากให้ฉันตั้งให้ล่ะ…?”

 

“น…หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ… แค่หนูรู้สึกเหมือนว่าถ้าได้พี่อารอนตั้งชื่อให้ก็คงจะดีน่ะค่ะ… ไม่ได้หรอคะพี่อารอน…?”

 

เขายกแก้วกาแฟในมือนั้นขึ้นมาจิบอีกครั้งก่อนที่จะเหลือบสายตาไปมองเอริกะที่ก็กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ซะจนน่าหมั่นไส้อยู่

 

“คาร์เทียร์…เธอคิดว่าไงบ้างล่ะ…?”

 

“ฉันว่าก็ดีเลยนะ~ จะหมายความว่าบริสุทธิ์หรือสดใสแบบท้องฟ้าก็ได้ แล้วแต่ว่าจะมาจากภาษาโบราณหมวดไหนเลย~”

 

“พูดมากน่ะ…”

 

“คาร์เทียร์งั้นหรอคะ…”

 

เอริกะที่รอฟังอยู่เช่นกันก็เอ่ยปากพูดแทรกออกมาทันที ในขณะที่แมรี่นั้นก็พูดทวนชื่อใหม่ของเธอไปมาอยู่สักครู่ ก่อนที่เธอจะหันมาพยักหน้าและยิ้มให้อารอนกลับไป

 

“ถ้าเป็นชื่อที่พี่อารอนตั้งให้แล้วล่ะก็หนูเองก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ… ขอบคุณนะคะพี่อารอน…”

 

“อื้ม…ถ้ามันทำให้เธอสบายใจได้ก็ดีแล้วล่ะ…”

 

คาร์เทียร์ยิ้มตอบอารอนกลับมาพร้อมค้อมหัวขอบคุณเขามา ซึ่งอารอนนั้นก็ยิ้มบางๆ ตอบเธอกลับพร้อมวางแก้วกาแฟในมือนั้นลง

 

ในขณะที่เอริกะที่เห็นว่าทั้งสองตกลงกันเสร็จแล้วนั้นก็ขยับมาสะกิดเรียกคาร์เทียร์ไปเบาๆ

 

“งั้นก็เป็นชื่อนี้ละกันเนอะคาร์เทียร์จัง~ เอาล่ะ ถ้าตกลงได้แล้วแบบนี้เดี๋ยวฉันจะได้อธิบายแผนให้เธอฟังน่ะ ถึงเธออาจจะไม่ได้ต้องทำอะไรมากแต่ยังไงก็ฟังแล้วจำไว้หน่อยละกันเนอะ~”

 

“ค…ค่ะ!”

 

ซึ่งคาร์เทียร์นั้นก็พยักหน้าพร้อมขานตอบออกมาอย่างแข็งขัน ในขณะที่อารอนที่พอเห็นเธอร่าเริ่งขึ้นแบบนั้นก็เลยแอบยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมนิ่งเงียบเพื่อปล่อยให้เอริกะรับหน้าที่อธิบายต่อไป

 

“เอาจริงๆ ก็ต้องขอบคุณเวก้าเขาด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกันล่ะ ไม่งั้นเราคงจะยังมีปัญหาใหญ่ที่จะระเบิดมาตอนไหนไม่รู้คาอยู่แน่ๆ ล่ะ”

 

“ก็ถ้าเขาคิดจะวางมือตามที่เธอพูดน่ะนะ… ลูกที่เพิ่งเกิดหายไปทั้งคนแบบนี้เขาจะยอมอยู่เฉยๆ แน่หรอ…”

 

“เชื่อใจฉันเถอะหน่า!”

 

“ก็ถ้าเธอว่าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นแหล่ะ…”

 

ซึ่งถึงแม้คาร์เทียร์จะอยากถามว่าทำไมเอริกะถึงมั่นใจว่าเวก้าจะไม่ย้อนกลับมาทีหลัง แต่เมื่อเธอเห็นอารอนที่เชื่อใจอีกฝ่ายแบบนั้น คาร์เทียร์ที่เลือกที่จะเชื่อใจเอริกะตามเขาไปจึงพยักหน้าให้เอริกะไปด้วยทีหนึ่ง

 

“ล…แล้วเดี๋ยวหนูต้องทำอะไรบ้างหรอคะ?”

 

“คาร์เทียร์จังก็แค่ทำตัวน่ารักๆ เข้าไว้แล้วก็อุ้มเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วยท่าทางเหมือนว่าหวงเขาสุดๆ ชนิดที่ว่าต่อให้เจ้าหน้าที่หรือทหารยามจะพูดยังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาดเลยน่ะ แล้วก็ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือห้ามหลุดปากออกมาว่าตัวเองชื่อแมรี่เป็นอันขาดเลยนะ”

 

เอริกะออกมาพูดพร้อมชี้ไปทางเด็กทารกที่นางพยาบาลอุ้มเอาไว้ ในขณะที่คาร์เทียร์นั้นก็ถามออกมาด้วยความแปลกใจ

 

“อ—เอ๋…? ต่อหน้าพนักงานของวังหลวงก็ไม่เป็นไรงั้นหรอคะ…?”

 

“อื้อ ก็ไม่ว่าคนของวังหลวงจะบอกให้ส่งตัวเด็กคนนั้นไปหรือยังไง เธอก็ห้ามส่งตัวเด็กคนนี้ให้พวกเขาเด็ดขาดเลยนะเข้าใจมั้ย? ต่อให้พวกเขาบอกว่าฉันหรืออารอนมาบอกอนุญาตแล้วก็ตาม แต่ถ้าเธอไม่ได้ยินจากปากของพวกฉันเองโดยตรงก็ห้ามส่งให้เด็ดขาดนะ!”

 

“ค…ค่ะ!!”

 

“เอาล่ะ งั้นเรื่องพูดคุยที่เหลือเดี๋ยวฉันกับอารอนจัดการเอง! เพราะเดี๋ยวพี่พยาบาลเขาก็จะคอยอยู่ข้างๆ เธอในฐานะผู้ปกครองชั่วคราวด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเธอไม่มีอะไรต้องกังวลไปหรอกคาร์เทียร์~”

 

“ใช่จ้ะ ถ้าเกิดมีอะไรก็เรียกพี่ได้ทุกเมื่อเลยนะคาร์เทียร์จัง”

 

หลังจากที่เอริกะอธิบายหน้าที่ของคาร์เทียร์ และเห็นเด็กสาวหันไปพยักหน้าตกลงให้กับนางพยาบาลพร้อมรับตัวเด็กทารกมาอุ้มเป็นที่เรียบร้อย เธอก็หันมาพยักหน้าให้อารอนไปทีหนึ่งเพื่อที่จะส่งสัญญาณว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว

 

“ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ~!”

 

 

“ว่าแต่เอริกะเขาจะพาเด็กทารกคนนั้นไปด้วยทำไมล่ะ? ไม่ใช่ว่าให้อยู่ที่คลินิกนี่ไปน่าจะดูแลง่ายกว่าหรอ?”

 

โมโกะที่ได้นั่งฟังอารอนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจนจบ ก็เอ่ยปากถามเขาที่กำลังพักจิบกาแฟอยู่ออกมา

 

“เพื่อยืนยันตัวน่ะ…”

 

“ยืนยันตัวงั้นหรอ มันมีเรื่องอะไรที่ต้องให้ทารกแบบนี้ยืนยันอีกน่ะ?”

 

“ยืนยันตัวผู้ที่จะสืบทอดมรดกที่เหลืออยู่ของเวก้ากับยืนยันความบริสุทธิ์ใจของคาร์เทียร์เขา… เพราะที่เอริกะบอกพวกนั้นไปคือแมรี่โกรธแค้นที่โดนใช้เป็นหนูทดลองก็เลยฆ่าทุกคนทิ้ง ในขณะที่คาร์เทียร์ก็ได้ใช้โอกาสที่แมรี่เผลอ พาตัวเด็กทารกหนีออกมาจากคฤหาสน์ตามคำสั่งของหัวหน้าสาวใช้น่ะ”

 

“แล้วพวกวังหลวงนั้นไม่สงสัยหรือส่งคนไปตรวจสอบบ้างเลยหรอ? ดูเหมือนพวกเขาจะเชื่อคำพูดของเอริกะกันจังนะ?”

 

โมโกะที่เริ่มเป็นห่วงนั้นก็เอ่ยปากออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้าเกิดว่าพวกวังหลวงสืบรู้ความจริงขึ้นมาทีหลังก็คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

 

“เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องห่วงหรอก… เพราะเวก้าเองก็ดันชอบใช้คนนอกระบบเข้ามาช่วยงานอยู่แล้วด้วย แล้วก็ต้องขอบคุณวิซธาตุไฟฟ้าของแมรี่ที่รุนแรงซะจนแทบจะแยกแยะร่างของพวกอัศวินในชุดเกราะไม่ออกเลยนั่น

 

พวกฉันก็เลยโมเมบอกไปได้เลยว่าเจอตราประจำตัวของเวก้าอยู่ในร่างไหนสักร่างหนึ่งไปได้เลยน่ะ… เพราะยังไงเจ้าพวกนั้นก็ไม่มีปัญญาหาทางตรวจสอบร่างพวกนั้นเองได้อยู่แล้วล่ะ…”

 

“ม…ไม่เห็นน่าขอบคุณสักนิดเลยค่ะ…”

 

“ฮะฮะ…ขอโทษทีนะ…”

 

ซึ่งเมื่อคาร์เทียร์ได้ยินอารอนอธิบายออกมาเธอก็หันขวับมาหรี่ตาพูดกับเขาในทันที ซึ่งอารอนก็หันมาหัวเราะพร้อมยื่นมือมาลูบหัวของเธอไปมาเล็กน้อย ก่อนที่นากาซึ่งฟังอยู่นั้นจะเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

“จะว่าไปเมื่อกี้นายบอกว่ายืนยันตัวผู้สืบทอดมรดกหรอ? งั้นหมายความว่าคฤหาสน์หลังนั้นจะเป็นของคาร์เทียร์เขาหรือเปล่า?”

 

“ม…ไม่ใช่ของหนูหรอกค่ะ…เป็นของเด็กคนนี้เขาต่างหาก…”

 

“ใช่แล้ว… เพราะคาร์เทียร์เป็นแค่ลูกของสาวใช้คนนึงในคฤหาสน์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลรีวิซเลย ส่วนแมรี่ที่ตามเอกสารแล้วเป็นลูกสาวของเวก้าก็ได้หนีหายไปแล้ว…

 

ตอนนี้ก็เหลือแค่เด็กคนนี้ที่เป็นทายาทของเวก้า… ถึงเขาจะพยายามปิดเอาไว้จนไม่มีใครรู้เรื่องมาก่อนก็เถอะ… แต่ว่าในไดอารี่ของเจนก็เขียนไว้ชัดเจนอยู่ว่าเธอได้คบหากับเวก้าแล้วก็มีลูกกับเขาจริงๆ … เพราะงั้นตอนนี้คฤหาสน์หลังนั้นก็เลยตกเป็นของเด็กคนนี้โดยมีคาร์เทียร์เป็นผู้ดูแลน่ะ…”

 

อารอนที่เห็นนากาสงสัยและหันไปหาคาร์เทียร์นั้น ก็เลยช่วยเธอพูดอธิบายส่วนที่เหลือที่เขารู้ออกมาให้

 

“แบบนั้นก็โชคดีเลยนี่? เพราะคฤหาสน์ของเวก้านั้นก็ใช่ว่าจะหลังเล็กๆ ซะด้วย”

 

“ฉันไม่เคยเห็นกับตาตัวเองแฮะ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคฤหาสน์ก็น่าจะใหญ่อยู่แล้วล่ะ ยินดีด้วยนะคาร์เทียร์จัง~”

 

แต่ในขณะที่นากากับโมโกะหันมายิ้มแสดงความดีใจกับคาร์เทียร์นั้น เธอก็กลับมีสีหน้าลังเลอยู่สักครู่ก่อนที่จะตัดสินใจพูดบอกพวกเขาออกมา

 

“ต…แต่ว่า…ถึงผลมันจะออกมาแบบนั้นก็เถอะค่ะ… หนูคิดว่าหนูกะจะยกคฤหาสน์หลังนั้นให้กับพี่เอริกะเขาไปน่ะค่ะ… พี่นากากับพี่โมโกะพอจะช่วยไปบอกพี่เขาให้หน่อยได้หรือเปล่าคะ?”

 

“ห–หะ เอาจริงดิ—!?”

 

โมโกะที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบจะสำลักกาแฟที่เธอกำลังจิบอยู่และรีบร้องถามเด็กสาวออกมาด้วยความประหลาดใจในทันทีก่อนที่ทางนากาที่แค่เบิ่งตามองเด็กสาวเฉยๆ นั้นจะถามเสริมเพื่อนของเขาออกมา

 

“คือที่จะเรื่องบอกให้น่ะมันไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่เธอจะเอาแบบนั้นจริงๆ หรอคาร์เทียร์?”

 

“ค่ะ… เพราะหนูคงจะไม่อยากกลับไปที่นั่นสักพักใหญ่เลยล่ะค่ะ… เอาไว้ถ้าเกิดว่าเด็กคนนั้นเขาโตขึ้นแล้วอยากจะไปดูที่นั่น… หนูจะพาเขาไปแล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง… แบบนั้นน่าจะดีกว่าค่ะ…”

 

“อื้ม…”

 

นากาที่ได้ยินคาร์เทียร์ตอบกลับมาแบบนั้นเขาก็หันไปส่งสายตาให้โมโกะเหมือนกับจะถามว่าจะเอายังไงกันดี แต่เธอก็กลับเอียงคอและหยักไหล่ใส่เขาราวกับจะบอกว่า ‘ฉันเองก็ไม่รู้กะจะตอบยังไงก็แล้วแต่นายเองสิ’ ซะอย่างงั้น

 

“ยัยนี่— เฮ้อ…เข้าใจแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันลองไปบอกเอริกะเขาให้ก็ได้และ แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหนล่ะคาร์เทียร์?”

 

เลยทำให้นากาที่ไม่อยากแถมไม่มีเหตุผลที่จะขัดใจอีกฝ่ายนั้น ก็เลยยอมพยักหน้ารับปากไปแต่เขาก็อดที่จะถามกลับไปเพิ่มด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

 

ซึ่งคาร์เทียร์นั้นก็หันกลับไปหาอารอนที่นั่งจิบกาแฟฟังพวกเขาคุยกันอยู่ และยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อเขาของเบาๆ

 

“หื้ม…?”

 

“พ…พี่อารอน…หนูอยากจะขออยู่กับพี่อารอนด้วย…ได้หรือเปล่าคะ…?”

 

พออารอนได้ยินที่เด็กสาวขอมาแบบนั้นนั้น เขาก็นิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะยิ้มบางๆ และยื่นมือมาลูบหัวคาร์เทียร์ไปมาเล็กน้อย

 

“ต้องบอกก่อนนะว่าบางครั้งฉันอาจจะต้องเดินไปทางที่อื่นแล้วก็อาจจะพาเธอไปด้วยไม่ได้น่ะ… ถ้าเกิดถึงเวลาแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ เธอจะอยู่คนเดียวสักพักได้หรือเปล่าล่ะ…?”

 

“หนูไม่มีปัญหาหรอกค่ะ! ถึงเห็นแบบนี้แต่หนูก็พอจะดูแลตัวเองได้อยู่เหมือนกันนะคะ!”

 

แต่ทันทีที่คาร์เทียร์ได้ยินที่อารอนบอกนั้น เธอก็รีบพยักหน้าตอบกลับมาให้อารอนทันทีโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

จนทำให้อารอนนั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ให้กับท่าทีอันมีความหวังของเด็กสาว ก่อนที่เขาจะยิ้มบางๆ ให้และตอบกลับเธอมา

 

“เฮ้อ…ถ้างั้นก็เอาตามนั้นก็ได้… เพราะถึงเธอจะไม่อยากอยู่ที่คฤหาสน์นั่นแต่เธอก็ไม่มีที่จะไปใช่มั้ยหล่ะ…”

 

“ค…ค่ะ!! ขอบคุณค่ะพี่อารอน…!”

 

ทันใดนั้นเองคาร์เทียร์ที่ได้ยินคำตอบของอารอนก็ได้กระโดดพุ่งไปกอดอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ จนทำให้อารอนนั้นเกือบจะหงายหลังล้มลงจากเก้าอี้

 

“….!”

 

ทันใดนั้นเองนากาที่กำลังนั่งยิ้มมองดูทั้งสองคนอยู่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมาตรงมาที่เขาจากอีกทาง จนทำให้เขารีบหันไปมองรอบๆ ในทันที

 

แต่ว่าก็ไม่พบอะไรนอกจากนางพยาบาลที่กำลังยืนกล่อมเด็กทารกอยู่เพียงแค่นั้น

 

“ว่าแต่นากา… นายกับโมโกะมีอะไรที่สงสัยอีกหรือเปล่า…?”

 

“เอาจริงๆ ก็ไม่มีแล้วนะ ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวพวกฉันขอตัวกลับก่อนละกัน ไหงยังจะมีต้องไปฝึกซ้อมเตรียมเรื่องสอบเข้าอีก”

 

“แต่ฉันยังมีเรื่องที่อยากถามอยู่นะ พอดีเห็นว่าบนใบสมัครมันต้องใช้คำยืนยันกับลายเซ็นของแพทย์ที่ทางเมืองรับรองด้วยน่ะ ฉันเลยสงสัยว่านายพอจะเซ็นให้ฉันได้มั้ย”

 

ทันใดนั้นเองเมื่ออารอนจับแมรี่กลับมานั่งที่ได้สำเร็จ โมโกะก็รีบใช้จังหวะที่เขาถามออกมาในทันที

 

“หะ!? อารอนนายเซ็นอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอ!? ไม่ใช่ว่านายถูกเรียกว่าหมอเถื่อนหรอกหรอ!?”

 

“เอ๋ะ…ก็พี่อารอนเขาก็เป็นหมอที่ทางโรงพยาบาลของเมืองนี้ยอมรับเหมือนกันนะคะ…?”

 

“อื้ม…”

 

และเมื่ออารอนได้ยินที่นากาพูดออกมาด้วยความตกใจนั้น เขาก็หรี่ตามองนากาก่อนที่จะชูนิ้วโป้งชี้ไปทางกรอบรูปที่ติดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ที่ด้านในนั้นมีใบวุฒิบัตรของเมืองรีมินัสอยู่ด้านในที่ช่วยหนุนคำพูดของคาร์เทียร์ได้เป็นอย่างดี

 

“แค่ฉันไม่ยอมเข้าไปทำงานให้ในวังของพวกนั้นก็เลยโดนเรียกแบบนั้นเท่านั้นแหล่ะ…”

 

“จ—จริงด้วย—ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอวิ่งกลับไปหยิบใบสมัครนั่นมาแป๊บนึงนะ!!”

 

“ไม่ต้อง…”

 

แต่ก่อนที่นากานั้นจะได้วิ่งออกไป เขาก็ถูกอารอนเรียกพร้อมคว้าคอเสื้อหยุดเอาไว้ซะก่อน

 

“เรื่องนี้เอริกะบอกฉันเอาไว้แล้ว… เอาไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันจะไปหาพวกนายแล้วจัดการเรื่องเอกสารกับการตรวจร่างกายให้ เพราะงั้นวันนี้นายกลับไปฝึกซ้อมไม่ก็พักผ่อนซะ… ไม่ต้องวิ่งกลับไปเอาเอกสารนั่นมาล่ะ…”

 

พอโมโกะได้ยินแบบนั้นเธอก็พยักหน้าตอบพร้อมลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินตามไปหานากาที่เกือบจะพุ่งตัวออกไปเมื่อสักครู่

 

“อ—อื้อ ถ้านายว่างั้นล่ะก็ งั้นเดี๋ยวฉันเองก็ขอตัวกลับก่อนดีกว่า พอดีนี่ตกใจเรื่องแม— เรื่องคาร์เทียร์เขาก็เลยรีบวิ่งกันมาน่ะ ยังไงก็ไว้เจอกันพรุ่งนี้ละกันนะอารอน”

 

“อ่า…ยังไงก็ฝึกเรียกเด็กคนนี้กันให้ชินด้วยก็แล้วกัน แล้วถ้าจะฝึกก็ช่วยอย่าใช้วิซจนล้มคว่ำไปอีกด้วยล่ะ…โมโกะ…”

 

“เข้าใจแล้วล่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันคอยเตือนนากากับไปบอกคนอื่นๆ เขาให้ก็ละกันเนอะ”

 

โมโกะตอบกลับมาก่อนที่เธอกับนากาจะโบกมือลาคาร์เทียร์และนางพยาบาลแล้วจึงเดินออกจากห้องพักพนักงานไป

 

“เฮอ~ ฉันนึกว่าเรื่องมันจะแย่กว่านี้แล้วซะสิ”

 

“ก็นั่นสิน๊า… แต่ลงเอยแบบนี้ก็น่าจะโอเคที่สุดแล้วล่ะมั้ง?”

 

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินกลับนั้น นากาก็เอ่ยปากพูดกับโมโกะออกมาอย่างโล่งอก ซึ่งเธอก็กระดิกหูของตนไปมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพูดตอบเขากลับมา

 

“แต่ถ้าเกิดเอริกะนั่งเตรียมแผนนั่นมาทั้งคืน ก็คงจะอธิบายสภาพของเธอตอนกลับมานั่นได้อยู่แหละ”

 

“อ่า ดูเหมือนพวกเราจะโชคดีเหมือนกันนะ ที่อารอนพาพวกเรามาหาเอริกะเขาน่ะ”

 

“อื้ม ถ้าไม่งั้นป่านนี้พวกเราก็คงจะยังอยู่ที่หมู่บ้านอยู่เลย… เดี๋ยวนะ…”

 

แต่เมื่อเธอได้ยินที่นากาบอกออกมา โมโกะก็กลับชะงักพร้อมก้มหน้าลงไปใช้ความคิดอยู่สักครู่ ราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นจะยังมีอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจเธออยู่

 

“หื้ม? โมโกะ? มีอะไรหรือเปล่าหรอ?”

 

“อ่ะ– เปล่าหรอกๆ ไม่มีอะไร ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเรากลับกันเถอะ เพราะฉันเองก็ต้องไปเตรียมตัวเอาไว้บ้างเหมือนกัน”

 

“อื้อ! งั้นเดี๋ยวฉันจะช่วยฝึกเธอให้เอง!”

 

“เอ๋…”

 

แต่โมโกะที่รู้ตัวดีว่าอาวุธของตนเป็นระยะไกลต่างจากนากาโดยสิ้นเชิงนั้นก็กลับทำหน้าหน่ายๆ ใส่นากากลับมาเมื่อเธอได้ยินเขาพูดออกมาแบบนั้น จนทำให้นากาที่กำลังจะเดินนำต้องหันขวับกลับมาหาเธอในทันที

 

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงกันน่ะหะ!?”

 

“เปล๊า~ ถ้างั้นพวกเราก็รีบกลับไปฝึกกันเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวคอนแนลจะโดยพรีมูล่าแกล้งจนหมดสภาพเอาซะก่อนนะ”

 

“นี่! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนเดี๋ยวนี้เลยนะ! โมโกะ!!”