ตอนที่ 19 ดอกบัวขาว (4)
“ก็…ก็ได้ขอรับ…ถึงแม้มันจะเจ็บ…แต่…เพียงดูแลสักหน่อย อีกเดี๋ยวมันก็งอกขึ้นมาใหม่เอง” เขาก้มหัวลง เอ่ยด้วยเสียงเบา
“กลีบของเจ้า คือส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้าหรือ” จวินอู๋เสียถาม
ดอกบัวขาวพยักหน้า
“อย่างนั้นเมื่อครู่ข้าดึงกลีบดอกบัว ก็เท่ากับว่าข้าดึงแขนเจ้ารึ”
ดอกบัวขาวพยักหน้ารับอีกครั้ง
เข้าใจแล้ว จวินอู๋สียหมดคำพูด
ภูติวิญญาณที่ดูราวกับไร้ประโยชน์ กว่าจะหาประโยชน์เจอได้กลับพบกว่าต้องใช้วิธี ‘กินเนื้อคน’ สรุปแล้วคือกลับไปไร้ประโยชน์เหมือนเดิม!
นางรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนไร้เหตุผล แต่กับเรื่องการกินเนื้อคนนั่น…สำหรับศัลยแพทย์อย่างนางแล้วมันรับไม่ไหวจริงๆ
ดูสิร่างเล็กป้อมนี่อายุคงราวสามสี่ขวบเท่านั้นกระมัง
“อ้อ! แต่ข้ายังมีนี่!” จู่ๆ ดอกบัวขาวก็อุทานเสียงดัง เขาจับชุดเอี๊ยมตัวเล็กของเขาราวกับกำลังควานหาบางอย่าง จากนั้นก็ชูกำปั้นไปทางจวินอู๋เสีย แบมือน้อยๆ นั่นออกด้วยความตื่นเต้น
เมล็ดพืชกลมมนสีใสราวกับหยกห้าเมล็ดนอนแน่นิ่งอยู่ในมือป้อมๆ ของเขา
“นั่นคืออะไร” จวินอู๋เสียถามอย่างสนใจ
“เมล็ดบัวอย่างไรเล่าขอรับ” ดอกบัวขาวกะพริบตาถี่หลายครั้ง
“แม้ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ดีเท่ากับการกินกลีบบัวโดยตรง แต่เมล็ดบัวเหล่านี้ก็ยังมีสรรพคุณสามารถทำให้กระดูกแข็งแรงยิ่งขึ้น และยังช่วยชำระล้างไขกระดูกให้กลับมาบริสุทธิ์เช่นเดิมได้อีกด้วย แต่พวกมันทำได้เพียงชำระล้างไขกระดูกเท่านั้น ไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อหนังหรือเปลี่ยนเส้นเอ็นได้” ดอกบัวขาวยิ่งพูด น้ำเสียงก็ยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
“มีเพียงห้าเมล็ดเองหรือ” จวินอู๋เสียขมวดคิ้วถาม สามารถชำระล้างไขกระดูกได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
“ตอนนี้มีเพียงห้าเมล็ดเท่านั้นขอรับ แต่ข้าสามารถผลิตมันออกมาเพิ่มได้นะขอรับ เดือนละหนึ่งเมล็ด น่าเสียดายที่ที่เหลือถูกพวกเขากินไปหมดแล้ว ข้ารักษาไว้ได้เพียงแค่ห้าเมล็ดเท่านั้น”
ดอกบัวขาวเอ่ยเสียงเบา
พวกเขา? จวินอู๋เสียพบว่าสิ่งที่ดอกบัวขาวพูดออกมานั้นยากที่จะทำความเข้าใจ
แต่อย่างไรก็ตามสามารถผลิตได้เดือนละหนึ่งเมล็ดก็ดีพอแล้ว
หลังจากรับเมล็ดบัวทั้งห้าเมล็ดมา ใจของจวินอู๋เสียก็มีแผนแล้ว แม้ดอกบัวขาวของนางจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เจ้าตัวน้อยกลับประสาทสัมผัสดีไม่หยอก แถมยังผลิตเมล็ดบัวพวกนี้ได้อีก แม้ไม่ถึงขั้นเป็นยาอายุวัฒนะสามารถคืนชีพให้คนตายได้ แต่มันก็สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายคนให้ดีขึ้นได้ จวินอู๋เสียกำลังต้องการสิ่งเหล่านี้พอดี
ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของนาง จวินชิง หรือว่าจวินเสี่ยน ต่างก็ต้องการมันเพื่อฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้น!
จริงอยู่ที่ว่าเม็ดยาทั้งหลายสามารถนำมาใช้รักษาได้ผลดี ทว่าจะให้ส่งผลลึกไปถึงการชะล้างไขกระดูกนั้นยังเป็นเรื่องยาก หากมีเมล็ดบัวที่ดอกบัวขาวให้มา เรื่องนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ขอแค่มีกระดูกที่แข็งแรงเป็นฐาน อาการอื่นๆ ที่เหลือ สำหรับนางสามารถรักษาได้ง่ายๆ ราวกับพลิกฝ่ามือ
ทั้งนี้การมีภูติวิญญาณ นั่นก็หมายความว่าจวินอู๋เสียสามารถบ่มเพาะพลังและฝึกวิชาใดๆ บนโลกนี้ได้ นางไม่หวังให้ดอกบัวขาวน้อยออกไปต่อสู้ เพียงต้องการใช้มันเพื่อการอยู่รอดเท่านั้น
ขณะดอกบัวขาวน้อยกำลังรอคอยการยอมรับจากจวินอู๋เสียด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ในที่สุดจวินอู๋เสียก็พยักหน้า
เมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่ถูกทิ้งแล้ว ดอกบัวขาวน้อยก็ยิ้มทั้งน้ำตา สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจวินอู๋เสีย จะเป็นภูติวิญญาณที่น่ารักและเชื่อฟัง
เมื่อยอมรับแล้ว จวินอู๋เสียก็เริ่มก้มหน้าก้มตาศึกษาเขาอย่างจริงจัง
ดอกบัวขาวน้อยกลับคืนร่างบัวหิมะซังอวี้ ทุกส่วนในร่างกายเขามีประโยชน์หมด เริ่มตั้งแต่เนื้อหนังของเขาสามารถทำให้มนุษย์เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เมล็ดบัวมีสรรพคุณช่วยชำระล้างไขกระดูกได้ แม้กระทั่งน้ำตาของเขาก็ยังสามารถปรับสมดุลในเลือด ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี
พูดได้ว่านอกจากความสามารถด้านการต่อสู้ที่เป็นศูนย์สนิท เจ้าดอกบัวขาวน้อยนี้ก็ล้ำค่าไปทั้งร่าง!
………….
ตอนที่ 20 ล้ำค่าทั้งร่าง (1)
เพื่อให้ได้น้ำตามาเก็บสะสมไว้ เจ้าแมวดำจึงแข็งใจกัดเขาไปสองสามครั้ง เด็กน้อยเจ็บจนร้องไห้จ้าน้ำตาไหลพรากไม่หยุด เพียงเท่านี้ก็สามารถเก็บน้ำตาไว้ในขวดเล็กๆ ได้ขวดหนึ่ง นี่คือสิ่งที่จวินอู๋เสียเตรียมไว้ใช้กับจวินเสี่ยนและจวินชิงในวันข้างหน้า
จนกว่านางจะแข็งแกร่งและมีกำลังมากพอ ความปลอดภัยของจวนหลินอ๋องจำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขาทั้งสองก่อน
หลังจากร้องไห้อย่างหนัก ดอกบัวขาวน้อยผู้เหน็ดเหนื่อยและน่าสงสารก็แปลงกายกลับเป็นแหวนอยู่บนนิ้วของจวินอู๋เสียอย่างสงบ
จวินอู๋เสียเก็บเมล็ดบัวและน้ำตาไว้เป็นอย่างดี นอนหลับไปด้วยความสบายใจ
เช้าวันต่อมา นางก็ไปเคาะประตูห้องของจวินเสี่ยน
จวินเสี่ยนมองหลานสาวด้วยความประหลาดใจมาก คิดว่าตนตาฝาดไปเองหรือเปล่า เพราะนับตั้งแต่ที่นางได้รับบาดเจ็บ น้อยครั้งที่ตนจะได้พบหน้าหลานสาวผู้นี้ แถมทุกครั้งยังเกิดจากความบังเอิญอีกด้วย
การที่จวินอู๋เสียไม่ติดเขาอย่างเคย ทำให้จวินเสี่ยนเจ็บปวดหัวใจมาก
“อู๋เสีย เจ้ามาได้อย่างไรกัน รีบนั่งก่อน” จวินเสี่ยนรีบจูงมือนางมานั่งในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด
เนื่องจากท่อนล่างของจวินชิงพิการ เขาจึงไม่สามารถมีลูกได้ ตอนนี้เขามีจวินอู๋เสียเป็นหลานสาวเพียงผู้เดียว จึงรักและทะนุถนอมนางราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
จวินอู๋เสียปล่อยให้จวินเสี่ยนจูงตนไปนั่ง เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ใกล้ชิดกับปู่คนใหม่เช่นนี้ นางประหลาดใจเล็กน้อย
นางไม่เกลียดความรู้สึกแบบนี้หรอกนะ
“ท่านปู่ ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะปรึกษาท่าน” จวินอู๋เสียเรียบเรียงความคิด ตัดสินใจเอ่ยเรื่องสำคัญกับจวินเสี่ยนไป
จวินเสี่ยนหัวใจเต้นระส่ำ หลายวันนี้ข่าวซุบซิบนินทาเกี่ยวกับจวินอู๋เสียด้านนอกย่ำแย่จนถึงขีดสุดแล้ว หรือว่านางได้ยินสิ่งใดมา
“พูดมาได้เลย ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด ปู่ก็พร้อมจะทำให้เจ้า” จวินเสี่ยนมองหลานสาวด้วยแววตาเปี่ยมรัก
จวินอู๋เสียกระแอมไอเล็กน้อย เริ่มพูดคุยอย่างเป็นทางการกับ ‘คนในครอบครัว’ เป็นครั้งแรก
“เรื่องที่ข้าไม่มีภูติวิญญาณนั้น คิดว่าท่านปู่คงรู้ดีอยู่แล้ว”
เพียงคำพูดแรกที่หลุดออกมา ก็ทำเอาหัวใจของจวินเสี่ยนหล่นวูบ
“ข้ารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถบ่มเพาะพลังวิญญาณได้ ทั้งช่วงนี้ยังนอนป่วยติดเตียง ต้องกินยาทั้งวัน เวลาว่างจึงไปหาตำราแพทย์ในห้องหนังสือมาอ่านดู ข้าพบว่าไหนๆ ข้าก็ไม่สามารถฝึกวิชาได้แล้ว ยามนี้ไยมิสู้หาความรู้ด้านอื่นมาประดับตัวแทนเล่า อย่างน้อยๆ ก็ยังมีวิชาติดตัวบ้าง หลังจากคิดทบทวนอยู่สักพัก ข้าก็ตัดสินใจว่าจะศึกษาเกี่ยวกับวิชาแพทย์อย่างจริงจังเจ้าค่ะ” จวินอู๋เสียพูดไม่เก่ง นางใช้คำง่ายๆ บอกเล่าความคิดและอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของตน คำพูดเหล่านี้นางใช้เวลาทั้งคืนถึงคิดได้ แต่เนื่องจากเจ้าของร่างคนเก่ามิใช่คนนิสัยน่ารัก และไม่สนใจเรียนแพทย์ นางเอ่ยออกมาเช่นนี้จึงค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง
ดีที่ช่วงนี้นางกำลังป่วยไข้ ช่วงที่รักษาตัวอยู่ได้สัมผัสกับยาเป็นส่วนใหญ่ จึงพอจะยกมาอ้างเป็นเหตุผลได้
จวินเสี่ยนมองจวินอู๋เสียด้วยอาการตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าที่นางมาหาตนวันนี้…ก็เพื่อพูดเรื่องเหล่านี้
แม้จวินเสี่ยนจะรักและหลงหลานสาวมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าหลานสาวของตนไม่ได้มีความสามารถอันใดนอกจากสร้างเรื่องไปวันๆ หัวใจทั้งหมดของนางย้ายไปอยู่ที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยหมดแล้ว
วันนี้นางแปลกไป กลายเป็นเด็กรู้ความเรียบร้อย ทำเอาจวินเสี่ยนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
เมื่อเห็นจวินเสี่ยนชะงักไป จวินอู๋เสียจึงยืนกรานอีกครั้ง
“จวนหลินอ๋องมิได้สงบเหมือนกาลก่อน เรื่องนี้ข้าเองก็พอรู้อยู่ หลังจากได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ข้าจึงตาสว่างคิดได้ ท่านปู่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้าอีกต่อไปแล้ว ยามนี้ข้าได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
จวินเสี่ยนเงียบไม่พูดจา สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจวนหลินอ๋องปัจจุบันนั้นไม่นับว่าดี แม้แต่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ยังกล้าถ่อมาถอนหมั้นถึงที่จวน เห็นได้ชัดว่าสถานะของพวกเขาคลอนแคลนมากเพียงใด ดูท่าเขาคงจะปิดบังอะไรจากนางไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ
……………..