ตอนที่ 20.1 หลุมพรางที่ไม่อาจข้ามพ้น (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“ฉางโซ่ว! เสวียนหย่า!”

“ฉางโซ่ว! ไอ้หยา! เหตุใดเจ้าถึงได้เข้ามาในสถานที่อันตรายเยี่ยงนี้!”

ขณะที่หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้าปากถ้ำ เขาอดจะยิ้มกว้างออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเงาร่างทั้งสองที่พุ่งลงมาจากก้อนเมฆ

เขาไม่คาดคิดว่าอาจารย์ของเขาจะอยู่ในกลุ่มค้นหาด้วยเช่นกัน

อาจารย์เฒ่าของเขาดูตื่นเต้นยิ่ง และยังคว้าแส้หางม้าที่คุ้นเคยทำท่าราวกับกำลังจะใช้มันไล่ตีก้นของเขาด้วยใจเมตตา แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังอบอุ่นหัวใจยิ่งนักเมื่อได้พบท่านอาจารย์ผู้เป็นดุจบิดาของเขา

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสของสำนัก หลี่ฉางโซ่วก็ไม่คิดที่จะหลบเลี่ยง และปล่อยให้ท่านอาจารย์ตีเขาสองสามครั้งเพื่อเป็นการสงบสติอารมณ์

เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่เจ็บ

จิ่วจิ่วและฉีหยวนกระโดดลงมาจากก้อนเมฆพร้อมกัน เดิมที จิ่วจิ่วต้องการไปหาหลี่ฉางโซ่วเพื่อตรวจสอบดูก่อนว่าเขาเป็นอันใดหรือไม่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉีหยวนก็อยู่ที่นี่ด้วย นางจึงปรี่ไปหาโหย่วฉินเสวียนหย่าแทน

เมื่อเห็นอาจารย์ของเขายกแส้หางม้าขึ้นและกำลังจะฟาดลงมา หลี่ฉางโซ่วก็เผยสีหน้าขมขื่นใจขณะที่หลับตาเตรียมรับมัน ทว่าแส้หางม้านั้นกลับแตะลงมาเบาๆ บนไหล่ของเขาเท่านั้น อาจารย์ของเขาไม่ได้ใช้กำลังมากนัก

หลี่ฉางโซ่วฟังเสียงสบถก่นด่าของอาจารย์ ก่อนที่อาจารย์ของเขาถามออกมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาดินแดนเทวะอุดรที่อันตรายเช่นนี้! หากหลิงเอ๋อร์ไม่บอกอาจารย์ เจ้าคงตายอยู่ที่นี่ไปแล้ว แถมข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาศพของเจ้าได้จากที่ใด!”

“ท่านอาจารย์ ข้าฝึกบำเพ็ญเงียบๆ อยู่ในสำนักมานานจึงปรารถนาจะเดินทางไปรอบๆ ให้ทั่ว โปรดเมตตายกโทษให้ศิษย์ที่ไม่ได้เรียนท่านก่อนล่วงหน้าด้วยเถิดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะตอบด้วยความเคารพและเผยท่าทางสะเทือนใจอย่างยิ่งขึ้นมาทันที ทว่าหางตาเหลือบไปทางด้านข้าง

เวลานั้นจิ่วจิ่วก็กอดโหย่วฉินเสวียนหย่าแล้วโอบร่างนางหมุนไปรอบๆ พลางฉีกยิ้มกว้างประหนึ่งเด็กน้อย ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าหน้าแดงก่ำพลางร้องตะโกนเรียก ‘อาจารย์อา’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจหนีจากอ้อมกอดของนางไปได้

ชุดกระโปรงผ้าไหมของนางสะบัดปลิวพลิ้วไสวไปตามสายลมพร้อมกับเส้นผมยาวสยายสีดำของนาง และ ‘การหมุนพร้อมกันสองร่าง’ นี้ก็ดูงดงามอย่างยิ่งเช่นกัน

เมื่อเห็นพวกนางทั้งสองเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ว่ากันตามตรงแล้วโหย่วฉินเสวียนหย่าชนะด้วยสัดส่วนเรือนร่างที่งดงามสมบูรณ์แบบยิ่ง ทั้งยังมีส่วนโค้งเว้าไร้ที่ติ เมื่อเทียบกับโหย่วฉินเสวียนหย่าแล้ว อาจารย์อาจิ่วนั้นดูจะมีรูปร่างเล็กเตี้ยไปสักหน่อย ใบหน้าของนางก็ดูกลมๆ เล็กน้อยเช่นกัน ทำให้เห็นได้ชัดว่าพวกนางทั้งคู่ดูมีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างกัน

หลังจากเหลือบตาดูอยู่ชั่วขณะ หลี่ฉางโซ่วก็เก็บสายตากลับมาและตั้งใจฟังคำสั่งสอนที่ไม่มีที่สิ้นสุดของอาจารย์ของเขา…

การวิจารณ์ของเขาในยามนี้ เป็นเพียงนิสัยสุภาพบุรุษที่มีมานานหลายปีในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา อีกทั้งเขาวิจารณ์บนพื้นฐานของความรู้สึกต่อความสวยงามส่วนตัวของเขา ซึ่งไม่มีความหมายแต่อย่างใดเลย

ในทางกลับกันนั้น หลี่ฉางโซ่วสนอกสนใจเกี่ยวกับการกระทำของนักพรตเต๋าร่างเตี้ยมากขึ้นในยามนี้

ในขณะนั้นจิ่วอูก็ได้ลากร่างของนักพรตเต๋าชราที่หมดสติมาวางไว้เบื้องหน้าพวกเขา

เมื่อเห็นว่าหลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่าสบายดีแล้ว นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็ดูเยือกเย็นลงแล้วสะบัดข้อมือเบาๆ จากนั้นนักพรตเต๋าชราที่อยู่ในมือของเขาก็มีอาการชักกระตุกสองสามครั้ง ก่อนที่การหายใจของคนผู้นั้นจะล้มเหลวในทันใด

หากหลี่ฉางโซ่วคาดไม่ผิด ด้วยการกระทำเช่นนั้นปราณวิญญาณของนักพรตเต๋าชราผู้นั้นเพิ่งถูกทำลายจนแตกสลายโดยตรง

และราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น จิ่วอูโยนศพของนักพรตเต๋าชราเซียนหยวนผู้นั้นไปในป่าข้างๆ ก่อนจะหันไปรวมตัวกับอาจารย์และศิษย์คนอื่นๆ ที่นี่พร้อมรอยยิ้ม

ช่างหฤโหดน่าสะพรึงกลัวยิ่ง เขาเด็ดชีพคนราวกับบี้แมลงเท่านั้น

ขณะนั้นนิ้วของหลี่ฉางโซ่วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาพลันงอเข้าหากัน เขาจีบปลายนิ้วเพื่อคำนวณตรวจหาตัวตนของนักพรตเต๋าร่างเตี้ย จากนั้นข้อมูลเกี่ยวกับนักพรตเต๋าผู้นี้ก็ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงรวบรัดอย่างเรียบง่ายเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาได้รับมา

จิ่วอู ศิษย์พี่ห้าของอาจารย์อาจิ่วจิ่วและเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้ทรงพลังในสำนักตู้เซียน เขาฝึกบำเพ็ญอยู่ในสำนักมานานกว่าสองพันปีจนบรรลุถึงขอบเขตเซียนเสิ่นขั้นสูงสุด แล้วข้ามผ่านสู่กึ่งเซียนเทียน เขามีนิสัยเหมือนเด็กและชอบหยอกล้อผู้อื่นไปทั่ว แต่ความจริงแล้วเป็นผู้เลิศล้ำสติปัญญาแถมยังเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เขาจงรักภักดีต่อสำนักอย่างยิ่ง มักจะออกจากสำนักไปจัดการเรื่องต่างๆ จึงมีสหายมากมายทั้งในและนอกสำนัก นอกจากนี้เขายังชอบบ่มสุราและหลอมโอสถ ส่วนจุดอ่อนของเขานั้นยังไม่ชัดเจนนัก

หลี่ฉางโซ่วได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วว่า คนเยี่ยงนี้ไม่จำเป็นต้องคบหาเป็นสหายให้มากนัก เพราะตราบใดที่เขาทำหน้าที่ของเขาในฐานะศิษย์ของสำนักก็ย่อมจะเพียงพอแล้ว

ในอีกด้านหนึ่งนั้นจิ่วจิ่วก็ปล่อยร่างของโหย่วฉินเสวียนหย่าออก แล้วเงยหน้ามองนางด้วยอารมณ์อันท่วมท้น ในที่สุดนางก็สามารถรักษาเงินค่าสุราของนางเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด

ในขณะนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ได้ยินเสียงของนักพรตเต๋าฉีหยวนกำลังกล่าวตำหนิติเตียนหลี่ฉางโซ่วอยู่

“เจ้าคิดบ้าอันใดอยู่ เหตุใดเจ้าถึงกล้ามาที่นี่ทั้งที่เจ้าอยู่ในขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพเท่านั้น รู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นตัวถ่วงผู้อื่น”

“ท่านอาจารย์อาฉีหยวนเจ้าคะ!”

โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังในทันทีว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่วหาได้เป็นตัวถ่วงผู้ใดไม่เจ้าค่ะ แต่ตรงกันข้าม ศิษย์ได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์พี่หลายครั้งเจ้าค่ะ…”

“ใช่ขอรับ ศิษย์ไม่ได้ถ่วงผู้ใด และยังช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก” หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวแทรกคำพูดของ โหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างสงบด้วยใบหน้ามีชัยเล็กน้อยพร้อมกับแย้มยิ้มก่อนกล่าวเสริมว่า “อาจารย์ ท่านยังไม่รู้ ศิษย์ยังได้ทะลวงด่านและบรรลุไปถึงขอบเขตคืนกลับอนัตตาจากการเดินทางหาประสบการณ์ครั้งนี้ด้วยขอรับ”

ขณะกล่าวหลี่ฉางโซ่วก็แผ่กลิ่นอายลมปราณของเขาออกมา เพื่อเผยให้เห็นว่าเขาเข้าสู่ขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหนึ่งจริงๆ

ลมปราณของเขายังไม่เสถียรมั่นคงนัก ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของการเพิ่งข้ามผ่านขอบเขตสูงขึ้นไปได้

ทันใดนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันรู้สึกสับสนในใจ

ศิษย์พี่ที่เคยสงบและมั่นคงก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างกะทันหัน กลายเป็นคนที่ดูเหลาะแหละเล็กน้อยได้อย่างไร…

หลี่ฉางโซ่วพลันขยิบตาให้นาง ทำให้โหย่วฉินเสวียนหย่าตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะนึกถึงถ้อยคำของ หลี่ฉางโซ่วที่บอกนางก่อนหน้านี้ได้

นางจึงเม้มปากแล้วเงียบงันไปทันที

“ฉางโซ่ว เจ้าทะลวงด่านได้สำเร็จงั้นหรือ”

นักพรตเฒ่าฉีหยวนตื่นเต้นฉับพลันขณะที่สัมผัสกลิ่นอายลมปราณของหลี่ฉางโซ่วอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมด้วยดวงตาสดใสสว่างจ้าอย่างยิ่ง

ทว่าก่อนที่รอยยิ้มของฉีหยวนจะเบ่งบานเต็มที่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งกะทันหัน แล้วต่อว่าเสียงดังทันที “เจ้าศิษย์บ้า เจ้าต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่าร้อยปีถึงเพิ่งจะเข้าใจและบรรลุสู่คืนกลับอนัตตาได้หรือ! แล้วยังกล้ามาทำท่าเบิกบานใจได้อีก!? ดูเสวียนหย่าสิ! นางเป็นศิษย์น้องของเจ้า แต่นางบรรลุถึงคืนกลับอนัตตาขั้นสี่แล้ว!”

หลี่ฉางโซ่วอดยิ้มอย่างกระดากอายออกมาไม่ได้ เขาดูจนใจเล็กน้อยที่อาจารย์ดุเขา แต่ก็รู้สึกขบขันเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

“เป็นการดีที่ทะลวงผ่านคืนกลับอนัตตาได้ในหนึ่งร้อยปี นั่นก็นับเป็นพรสวรรค์ระดับสูงแล้ว” จิ่วอูกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ

เขายังกล่าวต่ออีกว่า “ศิษย์น้องฉีหยวน ศิษย์พี่รองของข้ายังใช้เวลาถึงสองร้อยปีเพียงเพื่อบรรลุคืนกลับอนัตตาได้เท่านั้น แต่หลังจากสั่งสมรากฐานในช่วงเวลาหลายปีเหล่านั้น เขาก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์บรรลุสู่เซียนได้ภายในเวลาเพียงยี่สิบปีเท่านั้น การฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องของพรหมลิขิต ดังนั้นอย่าเข้มงวดกับศิษย์ของเจ้าให้มากจนเกินไปเลย เอ๊ะ…เสวียนหย่า เจ้ารู้หรือไม่ว่า หยวนชิงอยู่ที่ใดกัน”