บนพื้นปรากฎซากร่างของอสรพิษกองทับถมกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ พิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงกำลังแผ่ขยายออกไปจนทั่วทั้งพื้นที่ ภายในระยะเวลาร้อยปีต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณนี้ไม่อาจเจริญงอกงามได้อีก

ขณะที่แขนของฉินจิ่วเกอแทบจะล้าจนยกไม่ขึ้น ไอวิญญาณภายในร่างก็ใกล้จะแห้งเหือดเต็มทน สภาพของชายชุดดำเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน จวนเจียนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

ตูมตูม

ยามที่คนทั้งสองกำลังสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ตัวอย่างระแวดระวัง ซ่งเล่อที่หายเข้าไปในถ้ำก็ปรากฎตัวออกมา

เหยาะย่างราวเหินบิน ในมือถือวัตถุบางอย่างในสภาพชำรุดไปกว่าครึ่ง ทั้งยังเลอะเลือนไปด้วยโลหิต

“ไปเร็ว!” ซ่งเล่อเห็นสหายทั้งสองยืนเฝ้าอยู่หน้าปากหลุม ดูไปคล้ายเทพารักษ์ผู้อารักขาประตูสวรรค์

พรวด

ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ซ่งเล่อก็กระอักเลือดออกมาคำโต โลหิตราดรดลงบนพื้น

หลังของมันยามนี้ปรากฎรอยแผลสองรอย เลือดสีแดงฉานไหลโกรก บาดแผลยาวลึกถึงกระดูก กระทั่งว่าชิ้นเนื้อแผ่นใหญ่กระเด็นหลุดหายไปไหนไม่อาจทราบ

“ซ่งเล่อ!” ฉินจิ่วเกอบดขยี้อสรพิษปาฉือที่พุ่งเข้ามากัดจนเละไม่เป็นซาก ก่อนจะรีบเปลี่ยนทิศพุ่งปราดเข้ามาช่วยประคองซ่งเล่อ

มองเห็นซากวัตถุในมือของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเป็นศาสตราวิเศษขั้นสูงสุด มีดอสรพิษฟ้าหรอกหรือ?

ศาสตราวิเศษอัดแน่นไปด้วยไอวิญญาณ แม้แต่ชนชั้นพิสุทธิ์ยังต้องสิ้นเรี่ยวเปลืองแรงมหาศาลกว่าจะทำลายมันลงได้ ในโรงประมูลศาสตราวิเศษหนึ่งชิ้น ยังมีราคาไม่ต่ำกว่าศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน

ซ่งเล่อเบิกตาโพลง เส้นเลือดตรงหางตาแตกกะเทาะ เปล่งเสียงคำรามลั่น “ระวัง!”

สะเก็ดหินพุ่งฉิวออกจากปากถ้ำ พุ่งไปทางอสรพิษตัวหนึ่ง

เศียรของอสรพิษตัวนั้นถูกสะเก็ดหินกระแทกติดกับกำแพงจนแหลกเละ

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินจิ่วเกอเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ลึกเข้าไปในโพรงถ้ำ พลังกดดันที่ชวนให้ใจสั่นสะท้านขุมหนึ่งก็แผ่พุ่งออกมา บันดาลให้ผู้คนต้องหนังศีรษะชาด้าน

“รีบไปเร็ว ข้างในมีอสรพิษปาฉือตัวเต็มวัยอยู่ พลังเทียบได้กับขอบเขตพิสุทธิ์!” ซ่งเล่อมุมปากยังมีเลือดไหลออกมา ความแตกต่างระหว่างขอบเขตปราณสุริยันกับขอบเขตพิสุทธิ์ไม่ใช่แค่ช่องว่างระหว่างกัน เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่า มีดอสรพิษฟ้าที่ใช้ออกด้วยวิชายุทธของมันก็ถึงกับหักสะบั้นไม่มีชิ้นดี

เสื้อคลุมดำที่ยืนอยู่แถวปากถ้ำพอได้ยินร่างถึงกับสะท้านเฮือก สายลมหอบหนึ่งกวาดออกวูบ อสรพิษจำนวนมหาศาลตรงหน้าเสมือนถูกเคียวมรณะตัดผ่าจนตกตายเป็นเบือทันที

จากนั้นก็ตีฝ่าคลื่นน้ำสีนิลจนออกห่างไปเรื่อย ๆ

ในตาซ่งเล่อเริ่มส่อแววสิ้นหวัง อีกฝ่ายหนีเร็วยิ่งกว่ามุสิกเสียอีก

หันมาทางฉินจิ่วเกอ หมอนี่ก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร หวังว่าอีกเดี๋ยวคงไม่จับตัวเองเขวี้ยงไปทางปากถ้ำแล้วก็วิ่งหนีเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียวหรอกนะ?

ฉินจิ่วเกอไม่ได้รู้เลยว่าภาพลักษณ์ของตัวเองในใจซ่งเล่อจะถึงขั้นเลวร้ายเกินเยียวยาขนาดนี้

หากมันรู้เข้าละก็ ฉินจิ่วเกอย่อมใช้มีดแทงกระซวก ๆ ใส่ซ่งเล่อสักหลายแผล ให้มันรู้ว่าความสิ้นหวังที่แท้จริงเป็นเยี่ยงไร

เค้นกำลังประคองตัวซ่งเล่อขึ้นมา มือหนึ่งแบกน้ำหนักตัว อีกมือถือกระบี่ พยายามแหวกคลื่นสัตว์อสูรตรงหน้าออกไปให้ได้

“พี่ฉิน นี่ท่าน……” ซ่งเล่อซึ้งใจสุดจะกล่าว ดูท่าสหายตรงหน้ามันนี้จะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่มันคิด

ฉินจิ่วเกออาบเหงื่อต่างน้ำ สองขาสั่นเครือไม่ยอมหยุด “อย่าเพิ่งพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง หากเจ้ารู้สึกไม่ดีจริงๆ เช่นนั้นรอให้เรารอดไปจากที่นี่ค่อยเอาศิลาวิญญาณสักก้อนสองก้อนมาให้ข้าแทนคำขอบคุณก็พอ”

กลัวว่าซ่งเล่อจะเป็นคนเถรตรงจนเกินไป มันรีบกล่าวเสริม “บอกไว้ก่อนว่า ศิลาวิญญาณที่จะเอาให้ข้า สามพันก้อนข้าก็รับ ห้าพันก้อนก็ถือว่าไม่มากไป แปดพันก้อนถือว่าพอทน”

ได้ฟังคำพูดคำจาดั่งโจรหน้าเลือดของอีกฝ่าย ใบหน้าซ่งเล่อพลันดำมะเมื่อมดุจก้อนถ่าน เสมอเหมือนทหารที่ยอมตายแต่ไม่ยอมทำเรื่องผิดจรรยาบรรณ “ข้าว่านะพี่ฉิน ท่านมิสู้ปล่อยข้าไว้กับอสรพิษพวกนี้จะดีกว่า ศิลาวิญญาณเป็นพันๆ ก้อน ข้าจะไปหามาจากไหน”

“เลิกพูดไม่เข้าท่าได้แล้ว ให้ข้าแบกเจ้าขึ้นหลังก่อน ยังดีที่อสรพิษชั้นปราณสุริยันพวกนั้นส่วนใหญ่ถูกเจ้าตาขาวนั่นฆ่าตายไปหมดแล้ว” ฉินจิ่วเกอใช้กระบี่หนักต่างไม้ค้ำยัน ยกขาที่สั่นพั่บๆ มุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความทุลักทุเล

ส่วนเสื้อคลุมดำตอนนี้เหินร่างขึ้นเหนือยอดไม้ที่อยู่นอกรัศมีคลื่นอสรพิษไปแล้ว ทอดตามองมาทางคนทั้งสอง

เห็นฉินจิ่วเกอไม่ทอดทิ้งซ่งเล่อเอาไว้เบื้องหลัง ตรงข้ามกลับรับบทสหายร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันอย่างนี้ ในแววตาของมัน ไม่ทราบเกิดความเคารพหรือความเย้ยหยันออกมากันแน่

ฉินจิ่วเกอใจไม่แข็งพอ มันสามารถทำตัวเหี้ยมโหดกับตัวเองอย่างไรก็ได้ แต่จะให้ทำเป็นมองไม่เห็นชีวิตที่กำลังจะดับไปอยู่ตรงหน้า มันทำไม่ได้

ขณะหมุนตัวเตรียมจะไปจากที่นี่ ชายชุดดำก็เกิดลังเลขึ้นมา หากในตอนนั้นเองที่พื้นดินเริ่มปรากฏรอยแตกร้าวขึ้น

ในไม่กี่อึดใจ พื้นดินก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ หางงูที่มีขนาดเท่าเอวเจ้าอ้วนน่าตายสามคนต่อกันก็พุ่งออกมาจากปากหลุม

เกล็ดของมันโค้งไปตามลำตัวและร้อยเรียงไต่ระดับกันไป ไม่ทราบงูตัวนี้มีชีวิตอยู่มานานแค่ไหน บนเกล็ดถึงได้มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เต็มพรืดไปหมดแบบนี้

แต่ทั้งหมดนี้ไม่อาจอำพรางพลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่มาพร้อมกันได้ ต้นไม้สูงหลายสิบเมตรหักโค่นลงด้วยเสียงกึกก้องดุจสีหนาท ก่อนจะถูกลำตัวของอสรพิษยักษ์บดขยี้จนไม่เหลือซาก

โคมไฟสองดวงปรากฏขึ้นในม่านหมอกสีเทาหม่น ทันใดนั้น แม้แต่แสงสว่างของจันทราก็ยังถูกพรากไป

โคมไฟสีแดงโลหิตคู่ยักษ์ ตรงกลางขีดออกเป็นเส้นสีดำ ทั้งกำลังเบิกจ้องมาทางมนุษย์ทั้งสามที่กล้าบุกรุกเข้ามาในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของมันนี้

ชายชุดดำหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันกระโดดลงมายืนขนาบข้างฉินจิ่วเกอ

และแล้วพื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็ยุบตัวลงอีกหนหนึ่ง ด้วยถูกแรงกระแทกจากเศียรอันใหญ่โตสุดลูกหูลูกตาของอสรพิษปาฉือตัวเต็มวัย

แผ่นดินกะเทาะออกและยุบตัวลงอีกครั้ง ศิลาปลิวว่อนเกลื่อนฟ้า เป็นภาพที่น่าตื่นตกใจถึงเพียงไหน

คนทั้งสามถูกกลบอยู่ในดิน แรงโน้มหน่วงหนาหนักหลายร้อยจินสะกดทับอยู่บนหัว ต่อให้อยากขยับตัวก็ยังทำไม่ได้ ทุกที่ที่อสรพิษยักษ์เคลื่อนผ่าน บนพื้นจะเกิดรอยแตกแยกเป็นทางยาว

สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์มาเองก็ยังตึงมือ

ซ่งเล่อกระตุ้นจุดตันเถียนพร้อมโคจรไอวิญญาณที่เหลืออยู่ร่อยหรอเต็มทน เตรียมที่จะสู้จนตัวตาย แต่แล้วก็รับรู้ได้ถึงระลอกกระแสวิญญาณอ่อนๆ จากใต้ฝ่าเท้าเสียก่อน

ค่ายกล!

บนโลกนี้ นอกจากผู้ฝึกตนก็สามารถแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีก ไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยาหรือนักจัดวางค่ายกล ทั้งหมดต่างก็ใช้ไอวิญญาณเป็นที่ตั้ง สร้างโลกที่สอดประสานกับธรรมชาติขึ้นมาชนิดหนึ่ง

ซ่งเล่อที่เป็นศิษย์ประตูหายนะ ย่อมต้องทราบว่าหากมีระลอกกระแสวิญญาณอย่างนี้แล้ว ย่อมจะต้องมีค่ายกลอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

นักจัดวางค่ายกลที่เป็นเลิศ สามารถสร้างค่ายกลขึ้นจากอากาศธาตุก็ยังได้ กักขังสังหารศัตรูที่ทรงพลังกว่าตนเองหลายร้อยเท่าก็ไม่ใช่ปัญหา

“เฮ้อ ต้องตายอีกแล้วหรือนี่” เทียบกับคนชุดดำที่กระเสือกกระสนเอาตัวรอดอยู่ในโคลน ฉินจิ่วเกอกลับคล้ายเข้าสู่นิพพาน เกิดการหยั่งรู้ในโคลนตม ร่างไม่ขยับเคลื่อนไหวสักกระผีกริ้น

“ไอ้งูนั่นมันมาแล้ว!” ชายชุดดำร้องโวยวาย พลางตำหนิโทษว่าตัวเองว่าจะกลับมาหาที่ตายทำไม

“ต่อให้ไอ้งูนั่นไม่มา อีกไม่กี่นาทีพวกเราก็ต้องขาดอากาศหายใจตายเพราะถูกโคลนดูดอยู่ดี โดนโคลนดูดตาย หรือโดนไอ้เขี้ยวยาวงาบตาย จะทางไหนก็ตายอยู่ดี แล้วจะต่างกันตรงไหน? โลกนี้ยุติธรรมเสมอ สรรพสิ่งใต้หล้าต่างหนีไม่พ้นมรรคาวิถี แล้วพวกเรามีดีอะไรถึงได้มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”

มุมปากของฉินจิ่วเกอวาดออกเป็นรอยยิ้ม รู้สึกว่าคำพูดนี้ของตนช่างน่าเลื่อมใสกระไรปานนั้น กล่าวได้ว่านี่อาจเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่มันจะลาลับจากโลกนี้ไป ถ้าครั้งนี้ตายอีก เท่ากับตายเป็นครั้งที่สาม ในอนาคตข้างหน้ามันสามารถเขียนตำราคู่มือแนะนำนักข้ามภพได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว

ชายชุดดำพอได้ยินแล้ว พลันหยุดกระเสือกกระสนทันที

ไม่ใช่ว่ามันหลงคารมฉินจิ่วเกอ แต่เป็นเพราะคำพูดคำจาของฝ่ายนั้นพิเรนเกินไปต่างหาก แต่มันก็พูดถูกอยู่อย่าง ในเมื่อทางไหนก็ต้องตาย งั้นก่อนอื่นก็ต่อยมันสักตุ้บสองตุ้บก่อนค่อยกลับไปกระเสือกกระสนต่อก็แล้วกัน

ในทางกลับกัน ซ่งเล่อยามนี้กำลังรีดเค้นพลังจนหน้าดำหน้าแดง ทำถึงขั้นเผาแก่นโลหิตตัวเอง ให้พลังวิญญาณชำแรกลงไปในดิน พยายามเชื่อมโยงกับค่ายกลเร้นลับที่ยอดคนรุ่นก่อนสร้างเอาไว้

ฝืนกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัส ซ่งเล่อใช้สัมผัสเทวะควานหาไปรอบๆ จนท้ายที่สุดก็พบที่ตั้งของค่ายกลที่กำลังตามหาอยู่ ก่อนจะใช้พลังวิญญาณของตนเชื่อมต่อเข้ากับดวงตาค่ายกล

อสรพิษปาฉือตัวเต็มวัยตัวนี้มีขนาดราวร้อยเมตร ไม่ทราบกินหนอนแมลงจากในโคลนตมไปเท่าใด ถึงได้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนี้

คนทั้งสามอยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปฆ่ายกครัวอสรพิษจนแทบสิ้นสกุล เรียกได้ว่าเป็นความแค้นชนิดที่เลือดต้องล้างด้วยเลือดเลยทีเดียว

ยามที่ปรากฎเต็มสายตา ลำตัวของอสรพิษยักษ์ขดกันเป็นวังวนคล้ายกำลังแขวนลอยอยู่กลางเวหา ปากที่อ้ากว้างหันมาทางคนทั้งสามคล้ายจะเขมือบพวกมันลงท้องไป

เกล็ดของมันมีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ ส่วนหัวใหญ่เท่ากับฝาบ้าน เขี้ยวที่งอเงี้ยวเทียบกับมนุษย์ยังมีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่า

ฉินจิ่วเกอยังคงติดอยู่ในโคลนไม่อาจกระดิกตัวไปไหนได้ หลังโดนชายชุดดำรัวหมัดไปหลายตุ้บ จึงเริ่มเดือดขึ้นมากำหมัดสวนกลับไปบ้าง

เผชิญกับอสรพิษยักษ์ที่อ้าปากใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ซ่งเล่อจำต้องทำเมินเฉยต่อการต่อยตีกันเป็นเด็กเล็กๆ ของสหายทั้งสอง

ปากของมันกว้างจนแทบจะกลืนโลกลงไปได้ทั้งใบ ลมมรสุมดำที่หอบเอากลิ่นเหม็นบูดเพราะไม่ได้แปรงฟันมาหลายร้อยปีพุ่งเข้ารูทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าอย่างเต็มรัก น้ำลายเหนียวหนืดยามไหลหยดลงกับพื้นก็แปรสภาพเป็นควันพิษเหม็นคละคลุ้ง ความเหี้ยมเกรียมนี้ไม่ทราบควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีก่อน

สำเร็จแล้ว!

ซ่งเล่อลืมตาโพลงพลางยิ้มกว้าง ยกมือปาดคราบเลือดบนใบหน้า พื้นใต้ฝ่าเท้าเริ่มเปล่งแสงหลากสีสันออกมา กระแทกร่างของอสรพิษยักษ์ปาฉือที่พุ่งสวบเข้ามาจนกระเด็นกลับไป

ต้นไม้เจ็ดแปดต้นหักครืนลงทันทีเมื่อต้องรับน้ำหนักร่างอันใหญ่ยักษ์ของเจ้าอสรพิษ เมื่อตั้งตัวได้ เจ้าอสรพิษก็พิโรธเดือดดาล พุ่งปราดเข้ามาอีกคำรบ

ปง

ปากของมันครอบฟ้าคลุมดิน แม้แต่คชสารยังต้องถูกมันกลืนลงไปทั้งตัว

เพียงแต่ครั้งนี้ ในปากของอสรพิษยักษ์มีเพียงดินโคลน ส่วนร่างของคนทั้งสามนั้นได้ถูกเคลื่อนย้ายไปอีกที่หนึ่งก่อนที่แสงสว่างในบริเวณนั้นจะดับลงพอดี

“ข้าคือใคร?” ยามที่ได้สติกลับมา โลกตรงหน้าของฉินจิ่วเกอก็มีแต่สีหม่นเทา จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

เมื่อสถานการณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด ซ่งเล่อก็ปลุกกระตุ้นค่ายกลเร้นลับที่ซ่อนอยู่ใต้ดินได้อย่างฉิวเฉียด

เท่าที่ดู ค่ายกลอันนี้จะต้องสร้างขึ้นด้วยฝีมือของปรมาจารย์ผู้เก่งกล้าสามารถท่านหนึ่ง จุดประสงค์ของค่ายกลนี้ไม่ใช่เพื่อจู่โจม แต่เป็นการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ

ซ่งเล่อกุมปากแผลที่ยังมีเลือดไหลปรี่ไม่หยุด กัดฟันประคองสติอันอ่อนล้าไว้

ฉินจิ่วเกอมองมาทางมันแล้วเอ่ยคำพูดยอดฮิตอย่าง ข้าคือใคร ตกลงข้าเป็นใครกันแน่ ออกมา

หากซ่งเล่อกล้าตอบกลับมาในเชิงปรัชญาทำนองว่าอันตัวเราคือตัวตนของเราเทือกนั้น ฉินจิ่วเกอก็จะไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายต้องถูกผู้ข้ามภพขโมยร่างไปแล้วแน่ๆ นั่นยังจะไม่ใช่สถานการณ์คนต่างถิ่นพลัดพรากกลับมาเจอกัน น้ำตาหยดนองไหลอาบหน้าอีกหรือ

เกิดเจอผู้ข้ามภพอีกคนขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไรดี?

ข้าควรยื่นมือออกไปบีบคออีกฝ่ายให้ตายตกไปเลยดีหรือไม่

ต่อให้ข้ามมาแล้วไม่อาจได้เป็นพระเอก จะดีร้ายยังไงก็ถือว่าหาได้ยากอยู่ดี ยิ่งพวกที่สามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างโดดเด่นยิ่งมีน้อยกันเข้าไปใหญ่

เคราะห์ดีที่ซ่งเล่อไม่ได้ถูกขโมยร่างไปจริงๆ มันใช้ดวงจิตที่ทรหดของตัวเองเรียกสติกลับคืนมา “เจ้าก็คือไอ้สมองเพี้ยน!”

“เพ้ย!” ฉินจิ่วเกอตอกกลับเสียงอ่อน

“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?” เผชิญกับคนทั้งสองที่ตัวเองเพิ่งทิ้งมาหมาดๆ เสื้อคลุมดำไม่ได้รู้สึกกระดากอายหรือขอโทษเสียใจเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงยังคงเย็นชาดังเดิม

ฉินจิ่วเกอตอบกลับเสียงห้วน “ใครจะไปรู้ บางทีอาจเป็นอเวจีสิบแปดขุมก็ได้”

“คาดว่ายังอยู่ในเขตมนุษย์ ฝีมือของผู้สร้างค่ายกลที่ข้าเปิดใช้อยู่ในระดับที่สูงยิ่ง ที่นี่สมควรเป็นมิติเอกเทศ สถานที่ที่มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นหมื่นวิถีจะใช้ได้” ซ่งเล่อคาดเดา

“ที่ที่เราอยู่นี้ เบื้องบนมองไม่เห็นฟ้า เบื้องล่างหยั่งไม่ถึงก้น โลกหลังความตายที่ระบุไว้ในตำนานก็คงมีลักษณะประมาณนี้นี่แหละ” ฉินจิ่วเกอกวาดตามองไปรอบๆ รับรู้ถึงไอสังหารอ่อนๆ ได้อย่างเลือนราง

กระบี่ที่ห้อยไว้ที่เอวยังคงเปื้อนเลือด กลิ่นอายพยาบาทแม้จะบางเบา แต่เป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันขจัดออกไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณคนตายไม่กี่ร้อยดวงจะก่อขึ้นมาได้เป็นอันขาด

มีแต่สมรภูมิรบอันเก่าแก่ตามตำนานเล่าขานเท่านั้นที่จะมีไอสังหารเข้มข้นขนาดนี้ รวมถึงพสุธามอดไหม้สีแดงดั่งโลหิตที่ชวนให้ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ นั่น

“ลองสำรวจกันหน่อยเถอะ พวกเราควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” เสื้อคลุมดำที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดมือถือกระบี่เดินนำออกไปเป็นคนแรก

แม้จะสลัดเจ้าอสรพิษปาฉือผู้ดุร้ายพ้นแล้ว ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอันตรายซ่อนอยู่อีก

ซ่งเล่อแบ่งยาในตัวให้ฉินจิ่วเกอ คนทั้งสองเดินไปพลาง สกัดฤทธิ์ยาไปพลางเพื่อฟื้นฟูพละกำลังที่ใช้ไป

ยิ่งอยู่ที่นี่ ในใจก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัวมากขึ้นทุกฝีก้าว กระทั่งว่าเมื่อนำไปเทียบกับตอนอสรพิษตัวเต็มวัย ยังน่าขนลุกยิ่งกว่า

สถานที่ที่มีกลิ่นอายเก่าแก่น่าขนลุกมักจะปลุกกระตุ้นความอ่อนแอในใจของผู้คนได้ดีที่สุด เอาแค่พื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิต อย่างน้อยๆ ต้องเกิดจากเลือดของคนนับหมื่นนับแสนคนขึ้นไป

ตั้งแต่รู้จักฉินจิ่วเกอ แหวนมิติก็มาถูกคนขโมยไป พอได้สมุนไพรวิเศษมาครองก็มีอสรพิษตัวเต็มวัยออกมาต้อนรับ สุดท้ายก็ร่วงตกลงมายังสถานที่ที่แม้แต่คนตายยังไม่คิดเหยียบย่าง

ซ่งเล่อมิอาจไม่กังวลใจ “จะมีผีออกมาหรือเปล่า หรือไม่ก็พวกสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด”