ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 31 ชิงเยี่ยน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 31 ชิงเยี่ยน

แสงตะวันส่องมาในลานบ้านเล็ก เถาวัลย์ถูกสายลมพัด แกว่งไกวไปมา บุรุษที่นอนบนม้าโยกท่องคัมภีร์กระบี่สังสุทธ์ทีละคำจบแล้ว เด็กหนุ่มก็หยุดมือเขียนพู่กัน คลึงๆ ข้อมือที่เจ็บ

แมวที่กระโดดขึ้นสันกำแพงร้องเสียงเบา ขดตัว หาววอดอย่างเกียจคร้าน

กระบี่ร่มวางตรงมุมกำแพง ซ้อนกับร่มดำกับร่มกระดาษน้ำมัน กลิ่นคาวเลือดถูกชะล้างหายไปนานแล้ว ดูเหมือนร่มธรรมดาที่ใช้ยามฝนตกหนัก

วันฝนตกหนักถือร่มถือกระบี่ออกไปฆ่าคน หมดเรี่ยวแรงกลับมา

เทียบกับชีวิตแบบนั้น หนิงอี้ชอบความสงบสุขมากกว่า เด็กสาวต้มน้ำชา พัดใบพัดหญ้า สวีจั้งท่อง ตนคัดทีละคำ ถือว่าประทับเวลาได้อย่างสวยงาม

ชีวิตเปลี่ยนไปเป็นสงบสุขและอบอุ่น

สายลมสดชื่นพัดมา เปลวเพลิงในเตาไหวระริก

ขโมยเวลาว่างอันสุขสบายไปครึ่งวัน

“วันนี้ไม่ต้องฆ่าคน”

บุรุษที่ท่องคัมภีร์จบบทนอนบนเก้าอี้ กอดแขนงีบหลับ พูดเสียงเบา “เล่าเรื่องที่เจ้าประสบมาเมื่อวาน อย่าให้มีขาดตก”

…..

“เจ้ากินไข่มุกสองเม็ดรึ หนึ่งหยินสุดขั้ว อีกเม็ดหยางสุดขั้ว”

สวีจั้งลืมตาขึ้น ชำเลืองมองหนิงอี้แล้วพูดขึ้น “ในรถตู้นั้นมีไข่มุกตะวันคร้านพันปีเม็ดหนึ่ง ส่วนอีกเม็ดเป็นไข่มุกจันทราคร้านที่ผู้ฝึกภูตผีแดนทักษิณต้องใช้ นี่เจ้าเป็นคนโง่รึ ไข่มุกหยินยังกล้ากิน”

หนิงอี้เกาศีรษะ

พูดจบ บุรุษชุดคลุมดำก็เงียบไปชั่วครู่อย่างเห็นได้ยาก “พวกเราฝึกบำเพ็ญ ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน ดูดซับแสงดารา มีแต่ไข่มุกหยางที่หลอมรวมได้ตลอด หากกินไข่มุกหยิน อย่างเบาก็เจ็บสาหัสจากนั้นพ่นออกมา หากฝืนดูดซับและไม่มีวิชาภูตผีจะตัวระเบิดตาย”

พอพูดถึงตรงนี้ หนิงอี้มีสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย “ความรู้สึกนั้นเจ็บปวดมากจริงๆ กินไข่มุกหยางแล้วข้าก็ทะลวงพลัง…แต่ขลุ่ยกระดูกนำทางให้ข้ากินไข่มุกเม็ดที่สอง…พลังสองอย่างพัวพันกัน ซ้อนทับกันเรื่อยๆ อีกนิดเดียวข้าก็อาจจะตายไปแล้ว”

“สุดท้ายล่ะ เจ้ากินพวกมันไปหมดหรือไม่” สวีจั้งขมวดคิ้วมองหนิงอี้ “เจ้ากลับไม่ตายรึ”

เผยฝานที่นั่งยองพัดใบหญ้าใส่กาน้ำที่มีควันพวยพุ่งดับไฟลงเงียบๆ นำผ้าฝ้ายเปียกมาหยิบกาน้ำขึ้น เสียง ‘ตึง’ ดังลงบนเครื่องชาหน้าสวีจั้ง ก่อนถลึงตามองสวีจั้งอย่างไม่สบอารมณ์

เจ้ากลับไม่ตายรึ…แล้วนี่เรียกว่าอะไรกัน

ในน้ำเสียงของสวีจั้งไม่มีความหมายที่หวังให้หนิงอี้ตาย…เขาแค่คิดง่ายๆ ว่าเรื่องนี้ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของเขา

“การฝึกบำเพ็ญเป็นเรื่องจากคนไปถึงเทพ…แม้ทรัพยากรจะสำคัญ แต่หากกินหมดในทีเดียวก็ไม่ได้จะทะลวงพลังไปรวดเดียว โจวโหยวมีทั้งสำนักเต๋าช่วย เดินบนเส้นทางยังใช้เวลานานหลายปี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความเป็นเทพ’”

เมื่อเอ่ยถึงคำนี้ น้ำเสียงสวีจั้งเปลี่ยนไป เขามองหนิงอี้ “ผู้บำเพ็ญไม่ใช่ว่ายิ่งมีแสงดารามากเท่าไรยิ่งดี แต่ยิ่งมี ‘ความเป็นเทพ’ มากเท่าไรยิ่งดี ยิ่งมีความเป็นเทพมากก็หมายความว่าเจ้ายิ่งไม่เหมือนคน และยิ่งใกล้ก้าวนั้นในตอนสุดท้าย”

หนิงอี้กลั้นหายใจ

ความเป็นเทพ…เด็กสาวคนนั้นในอารามรู้กรรม แสงสว่างทั้งตัวนางคือความเป็นเทพรึ

“หากเจ้ากินไข่มุกสองเม็ดไปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ…” สวีจั้งมองหนิงอี้ “ก็มีคำอธิบายเดียวคือในตัวเจ้ามีความเป็นเทพที่คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง ความเป็นเทพสลายความเจ็บปวดทั้งหมดได้ เปลี่ยนการฝึกบำเพ็ญเป็นเรื่องง่ายเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ”

เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “โจวโหยวเป็นอัจฉริยะที่สุดแห่งยุคที่ยากจะพานพบได้ในพันปีของสำนักเต๋า แต่เขาก็ยังอยู่ต่ำกว่าหญิงคลั่งแห่งเขาลั่วเจียในเส้นทางบำเพ็ญ…ก็เพราะ ‘ความเป็นเทพ’”

หนิงอี้เงียบ เขาหุบปากเงียบๆ

เขารู้ว่าไม่ใช่เพราะตนมีความเป็นเทพเหนือคนธรรมดา แต่เป็นเพราะเด็กสาวคนนั้นในอารามรู้กรรม…ในตัวเด็กสาวที่มีนามว่าสวีชิงเยี่ยนนั่น มีความเป็นเทพสูงมาก กระทั่งเอ่อล้นกระจายออกมา

“ความเป็นเทพเป็นสิ่งที่ยากจะปกปิดได้…ต่อให้ไม่เคยขุดหรือใช้งาน คนที่มีความเป็นเทพมองในกลุ่มคนปราดเดียวก็มองออก” สวีจั้งขมวดคิ้วมองหนิงอี้ ก่อนพูดด้วยความไม่เข้าใจ “สภาพอย่างเจ้า เด็กยากจนที่อยู่รอดในเทือกเขาประจิมได้สิบปี…เหตุใดถึงดูไม่เหมือนคนที่มีความเป็นเทพเลยล่ะ”

“หรือขลุ่ยกระดูกนั่นจะอำพรางความเป็นเทพได้” สวีจั้งส่ายหน้าแล้วพูดด้วยความฉงน “ไม่ว่าอย่างไร…นี่เป็นเรื่องดี ขลุ่ยกระดูกปกป้องชีวิตเจ้าได้ และยังให้เจ้าทะลวงสองขอบเขตได้ติดกัน

หากข้าเดาไม่ผิด ความเป็นเทพกับขลุ่ยกระดูกของเจ้ามีความเกี่ยวข้องที่แยกจากกันไม่ได้…เจ้าฝึกบำเพ็ญต้องใช้ทรัพยากรมากขนาดนี้ก็เพราะเหตุนี้”

สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่หากเจ้ามีทรัพยากรมากพอ…การทะลวงพลังจะไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก”

หนิงอี้รีบปรบมือพูดชม “พูดดีจริงๆ ฝึกบำเพ็ญไม่มีคอขวด ฟังดูเหมือนข้าเป็นสุดยอดอัจฉริยะเลย…ข้าจะไปฝึกบำเพ็ญแล้ว!”

สวีจั้งพลันขมวดคิ้ว เหมือนนึกอะไรออก ความเป็นเทพกับร่างเงาบางคนในความคิดเชื่อมต่อกัน จากนั้นนึกออกอย่างง่ายดายว่าในอารามแห่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘อารามรู้กรรม’ เหมือนจะมีเด็กสาวที่มีความเป็นเทพเอ่อล้นอย่างพบเห็นได้ยากคนหนึ่ง

ดังนั้นสวีจั้งจึงเข้าใจเหตุผลที่หนิงอี้อยากจะเบี่ยงประเด็นในทันที เสียงเขาพลันเย็นชาลง “หนิงอี้…บอกความจริงมา หลังจากเจ้าทะลวงพลังแล้วไปที่ใดมา”

……..

สวีชิงเยี่ยนงัวเงียตื่นขึ้นมา

ตั้งแต่นางจำความได้ ‘อาการป่วย’ จะกำเริบตรงเวลาทุกเดือน จะเจ็บปวดในสมองอย่างรุนแรง ปั่นป่วนเหมือนดาบ ทำให้นางไม่เคยได้นอนหลับอย่างสบายใจเลย

เปิดหน้าต่างไผ่ออก สายลมสดชื่นพัดมา

ในสมองไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลือแม้แต่น้อย เมื่อก่อนหลังอาการกำเริบ ต่อให้กิน ‘ยา’ ก็แค่ระงับการลุกลามของความเจ็บปวด ทุกวินาทีของชีวิตเหมือนจะเป็นความทรมาน

มีคนเคาะประตูเบาๆ

เด็กสาวห่อผ้าฝ้ายสีขาว กระโดดลงเตียงอย่างอ่อนช้อย นางวิ่งเหยาะๆ ไป กระทั่งก้นบึ้งหัวใจยังมีการเฝ้ารอคอยเสี้ยวหนึ่ง…พอนึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้นที่เคาะประตูเมื่อวาน ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด

เป็นเพราะขลุ่ยกระดูกหรือเจ้าของหนิงอี้กัน สวีชิงเยี่ยนเองก็บอกไม่ถูก แต่ตอนที่นางเดินมาใกล้ประตูไผ่บานนั้น ก็เกิดความหวังที่พบเห็นได้ยากขึ้นจริงๆ ชีวิตมืดมนมาจนถึงตอนนี้ หากมีแสงสว่างส่องเข้ามา…เช่นนั้นนางอาจจะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ทันทีที่เปิดประตู เด็กสาวผิดหวังเล็กน้อย

คนตาบอดปิดผ้าดำบดบังแสงสว่างทั้งหมด ส่งถุงผ้าสีม่วงใส่มือเด็กสาว ก่อนยื่นมือมาลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “นี่เป็นยาครั้งสุดท้าย เจ้าอายุสิบหกแล้ว เดือนนี้พวกเขาจะพาเจ้าไปรักษาที่เมืองหลวง”

สวีชิงเยี่ยนรู้ว่า ‘พวกเขา’ ที่อาตาบอดพูดถึงหมายถึงใคร

มีคนจุดแสงไฟในเงามืดจะพานางเดินทาง ผู้บำเพ็ญเขาสู่ซานพวกนั้น…สวีชิงเยี่ยนคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี ทุกเดือนจะลงมาส่งยาให้ตน ต่อให้ยาพวกนี้จะรักษาโรคหายขาดไม่ได้ แต่ก็รักษาตนได้

แต่บางคนไม่เหมือนกัน

พวกเขาอยู่ในเงามืด สำหรับพวกเขา นางเป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องให้แสงสว่าง

สวีชิงเยี่ยนรับยาจากคนตาบอดมา นางขานรับเบาๆ อย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นมองส่งผู้อาวุโสเขาสู่ซานที่ส่งยาให้ตนสามปีคนนั้นลับไปจากสายตาตนเช่นนี้

ไปเมืองหลวง จะรักษาโรคของตนได้หรือ…เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น

พวกเขาเฝ้ารอวันนั้นที่ตนจะอายุสิบหกปี รอมานานเท่าไรแล้วล่ะ

สวีชิงเยี่ยนกลับไปนั่งบนเตียง นางเหม่อมองข้าวของเป็นระเบียบในห้อง ความจริงตอนที่นางอยู่คนเดียว จะไม่วางของในห้องเป็นระเบียบเช่นนี้ นอนก็นอน ตั้งก็ตั้ง ที่วางเรียบร้อยสะอาดเช่นนี้…หรืออยากให้คนอื่นคิดว่าตนเป็นคนรักชีวิตมากกัน

ยังจะมีใครมาอีก

เด็กสาวยิ้มเย้ยหยันตนเอง อารามแห่งนี้ทั้งห่างไกลและเปลี่ยวร้าง ศิษย์เขาสู่ซานตั้งป้ายเตือนไว้ แทบจะไม่มีใครเข้ามา หลายปีมานี้…นอกจากคนตาบอดก็มีเพียงเด็กหนุ่มคนนั้น

นางมองใบหน้าเหม่อลอยในกระจก งดงามและมีเสน่ห์ ความงามและความผึ่งผายอยู่คู่กัน น่าเสียดายที่ปมต่างๆ ตรงระหว่างคิ้วมีความอ่อนแอของโรคและเจ็บปวด พันรอบกายตนมาจะสิบหกปีแล้ว

นางรู้ว่ามีโรคนี้มีมาแต่เกิด จะไล่ตามตนไปทั้งชีวิตจนกว่าจะตายจาก

สวีชิงเยี่ยนถือถุงสีม่วงเขย่าไปมา ก่อนจะนอนแผ่บนเตียง

นางลืมตาขึ้น รู้สึกว่าโลกช่างน่าเบื่อ หลับตาลง ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ

ทำอย่างไรถึงจะนอนหลับฝัน

เปิดถุงสีม่วงออก ในนั้นมียาลูกกลอนที่ดูงดงามอยู่หลายเม็ด นางยิ้มก่อนจะหยิบเม็ดหนึ่งขึ้นมาดมตรงจมูก กลับรู้สึกว่ายาที่เมื่อก่อนหวานเหมือนน้ำตาล ตอนนี้ดมแล้วรู้สึกไร้รสชาติ

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ เคยลองของอร่อยก็ไม่อยากลองของไม่ดีอีก

ยาบางชนิดขม ทั้งยังรักษาโรคไม่ได้ หากตอนที่ป่วยจนสุดจะรักษา ลองยารสหวาน ยาที่รักษาตนหาย ก็จะเปลี่ยนความคิด ใจนึกยอมตายก็จะไม่กินยาขมอีก

ดังนั้นเด็กสาวจึงนั่งลงอีกครั้ง นางจุดแสงเทียนทั้งสองด้าน สายลมเบาพัดมา เปลวเพลิงที่ขุ่นใสยากจะแยกแยะขยับไหว

สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าหลุบตาลง ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วจัดท่านั่ง แสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างไผ่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมาจนส่องบนใบหน้าเด็กสาวในเงามืด ยังไม่พอจะส่องใบหน้าทั้งหมด แต่แค่ดวงตาก็เบนแสงสว่างทั้งหมดแล้ว

อาภรณ์สีขาว

แขนเสื้อสะบัดเบาๆ

“คืนงามห่างไกล…คืนงามห่างไกล…

กายเบาไม่หวั่นเกรง…เส้นทางยาวไกล”

เด็กสาวร้องเพลงละครขาดๆ หายๆ ตอนเด็กที่บ้านยากจนมาก พี่ชายจะพาตนไปดูละคร มองผ่านซอกและรูไปยังแสงและเงาบนกำแพง กลุ่มคนอยู่ทางกำแพง เสียงเจี๊ยวจ๊าวและคึกคักของโลกนั้นไม่เกี่ยวกับตนมาตลอด

นางพ่นคำเบาๆ มองใบหน้าอ่อนแรงและขาวซีดนั้นในกระจก ในความคิดมีใบหน้าเด็กหนุ่มลอยไปมา

“หนิง…อี้…”

ไกลออกไปเหมือนมีการสั่นไหวเบาๆ มีเสียงเท้าม้าดังแว่วมา

สวีชิงเยี่ยนเงียบลง นางหน้าซีดขาวขึ้น มองผ่านซอกหน้าต่าง มืดมิดไม่ชัดเจน

เป็นพี่มาหรือ…จะมารับตนไปเมืองหลวงแล้วหรือ

สวีชิงเยี่ยนกดนิ้วลงฝ่ามือ จากนั้นเหม่อมองไปทางนั้น มีสามคนลงมาจากตู้รถม้า

มองเห็นใบหน้าสามคนนั้นที่ลงจากรถไม่ชัดเจน

แต่เสียงนั้นกลับคุ้นหูมาก

“แม่นางสวี”

เสียงเด็กหนุ่มทำให้แสงไฟที่จะมอดดับในเงามืดสั่นไหวเล็กน้อย

ทั้งห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง

………………….