ตอนที่ 30 ช่วงเวลาแห่งความอับอาย

สามีข้า คือพรานป่า

จากคำพูดเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าเฉินเถียนเถียนไม่ต้องการแสร้งทำตัวอ่อนแออีกแล้ว นางต้องการลุกขึ้นสู้และเปลี่ยนแปลงอย่างมีเหตุผล

แม้หลินชวนฮวาจะทำสิ่งเลวร้าย แต่ในท้ายที่สุดแล้วนางก็ต้องรับผลกรรมนั้น เรื่องที่ถูกปั้นขึ้นมาจะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของชาวบ้านได้

ก่อนหน้านี้เฉินเถียนเถียนแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้ทุกคนตายใจ แต่จากนี้ไปนางจะทำให้ทุกคนได้รู้จักกับตำรวจสาวผู้แข็งแกร่ง!

เหตุผลที่เฉินเถียนเถียนต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอก็เพราะหากชาวบ้านรู้สึกว่านางเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันอาจเกิดความสงสัยและคิดว่านางโดนผีเข้าได้ เป็นเพราะคนในยุคนี้เชื่อเรื่องผีสางยิ่งกว่าสิ่งใด!

สำหรับหลินชวนฮวาในตอนนี้ภาพลักษณ์ของนางไม่ได้สวยงามเช่นเคยจึงไม่กล้าพูดกล่าวอะไรมากมายนัก เพราะพูดไปแล้วไม่มีใครคิดเชื่อถือ

ดังนั้นเฉินเถียนเถียนจึงเลือกโอกาสนี้เพื่อก้าวออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้กับตนเอง หลังจากถูกรังแกและทารุณมาเนิ่นนานนาน แน่นอนว่าการลุกขึ้นต่อต้านไม่ใช่เรื่องแปลก ฉะนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัย!

“หลานรัก อย่าได้โกรธเคืองไปเลย… ไม่ว่าอย่างไรนางก็ถือว่าเป็นแม่ของเจ้า อีกไม่นานทุกคนคงรู้ความจริงและไม่มีใครให้ค่ากับคำพูดของนาง!”

เฉินเถียนเถียนเงยหน้าขึ้นพร้อมอย่างคำออกอย่างเย็นชา “ข้าสูญเสียความบริสุทธิ์ไปจริงหรือไม่… ไม่มีใครรู้! แต่เรื่องที่หลินชวนฮวาส่งข้าไปยังบ้านของนายน้อยหลี่เพื่อเป็นสินบนให้กับลูกชายนั้นเป็นความจริงที่นางไม่อาจแก้ตัวได้! ข้าอาจจะต้องสูญเสียทุกอย่างไปแต่เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าข้าไม่อาจรักษาทรัพย์สมบัติของแม่หยุนไว้ได้… ส่วนเฉินเฉิงเยี่ยเป็นลูกชายผู้ล้ำค่าของหลินชวนฮวาใช่หรือไม่? ยังคิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้อีกหรือ? ข้าจะทำลายความฝันของนางเอง! ป้าไม่ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้ข้าใจเย็นหรอกเพราะไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่มีวันปล่อยนางไป ท่านผู้เฒ่าจะลงโทษข้าขั้นรุนแรงไม่ได้เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐาน มากที่สุดก็แค่บังคับให้ข้าแต่งงาน… แต่ก่อนที่ข้าจะแต่งงาน หลินชวนฮวาต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง ข้าจะทำให้นางรู้จักคำว่าเจ็บปวด!”

หลังจากพูดจบ นางก็เดินออกไปโดยไม่สนใจว่าทุกคนต่างกำลังจ้องมองด้วยความประหลาดใจ

ในยามนี้… เฉินเถียนเถียนเด็ดเดี่ยวราวกับนักสู้!

แต่หลังจากเดินออกมาได้ไม่นาน เด็กสาวพลันสะดุดก้อนหินและล้มลงหน้าคะมำกับพื้น

ความอัดอั้นทำให้นางร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บใจ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่างมันช่างเจ็บปวดยิ่ง แม้แต่หินก้อนเล็ก ๆ ยังทำร้ายนาง!

เฉินเถียนเถียนนอนนิ่งโดยไร้ซึ่งความปรารถนาที่จะลุกขึ้น

ทว่าในตอนนั้นรองเท้าผ้าสีดำคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น… เมื่อเห็นดังนั้นนางก็คาดเดาได้ทันทีว่าเจ้าของรองเท้าคู่นี้คือใคร!

เฉินเถียนเถียนอดที่จะชื่นชมตนเองไม่ได้ แม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้นางยังคงสามารถแสดงทักษะทางตำรวจออกมาได้อย่างน่าภูมิใจ!

นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองภาพตรงหน้า

เจ้าของรองเท้าคู่นี้คือชายร่างใหญ่หนวดเครารุงรัง… เขามักจะโผล่มาในช่วงเวลาที่อับอายของนางเสมอ!

‘อะไรกัน? เหตุใดเจ้าต้องโผล่มาในช่วงเวลาเช่นนี้ตลอด? ตอนนี้คงหัวเราะเยาะข้าในใจเป็นพันครั้งแล้วสินะ?!’

แม้ว่าหยุนเคอจะรู้สึกขบขันกับภาพตรงหน้าแต่คงไม่ดีนักหากจะหัวเราะออกมา ด้วยประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้หยุนเคอควบคุมอารมณ์ได้ดี แล้วก็ไม่มีใครสามารถเดาความรู้สึกของเขาได้เช่นกัน

“เจ้าไปที่บ้านของข้าหรือไม่?”

เฉินเถียนเถียนลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิด นางค่อย ๆ ปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตนก่อนจะกล่าวตอบ “ใช่ ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าหากให้ยืมไก่ป่า… ข้าก็จะเอามาคืน! แต่เมื่อข้าไปถึงกลับไม่เห็นเจ้าจึงวางมันไว้อย่างนั้น”

หยุนเคอยกตระกร้าขึ้นและพบว่าของที่เฉินเถียนเถียนนำมาคือไก่ป่า ซึ่งนางซื้อมาด้วยเงินที่ได้รับคืนจากหลินชวนฮวา

เมื่อได้ยินว่าเฉินเถียนเถียนถูกเรียกไปบ้านของป้าจี๋ หลินชวนฮวาก็รู้สึกกระวนกระวายจนไม่สามารถเอาก้นแนบพื้นได้ ในที่สุดนางจึงเร่งรีบออกจากบ้านด้วยความร้อนใจ

ในตอนนั้นเองนางก็บังเอิญเห็นว่าเฉินเถียนเถียนกำลังพูดคุยกับหยุนเคออยู่

‘นังเด็กเหลือขอรู้จักกับคนป่าด้วยงั้นหรือ? ช่างนางสิ… นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี!’

หลินชวนฮวาคิดอย่างนั้นจึงร้องตะโกนสุดเสียง “เถียนเถียนระวัง! นั่นมันคนป่า!”

ชาวบ้านทุกคนต่างตื่นตระหนกไปด้วย พวกเขารู้ดีว่ามีคนป่าอาศัยอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาลงมาจากภูเขาเมื่อไหร่กันอีกทั้งยังมีหลายคนรู้เพียงว่ามีคนป่าอาศัยอยู่ แต่กลับไม่เคยพบเห็นสักครั้ง!

ชาวบ้านกรูเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกคนล้วนอยากเห็นว่าคนป่านั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?

ในคราวแรกหยุนเคอตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงตะโกน แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วทว่าร่างกายกลับถูกล้อมรอบไปด้วยชาวบ้านมากมายเสียแล้ว

หลินชวนฮวารุดตัวมาหาเฉินเถียนเถียนอย่างเร่งรีบพร้อมหายใจหอบหนัก

“เถียนเถียนกลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้… เขาเป็นคนป่าอาจทำร้ายเจ้าได้!”

เฉินเถียนเถียนยกยิ้มเย็นชาก่อนจะกล่าวตอบ “ในโลกใบนี้นอกจากหญิงที่ชื่อหลินชวนฮวาแล้วยังมีใครกล้าทำร้ายข้าอีกเหรอ? โอ้… หรือจะเป็นชายที่ชื่อเฉินผิงอัน?!”

หลินชวนฮวาได้ฟังอย่างนั้นก็พลันตกตะลึง นางพูดจาขวานผ่าซากและยังเรียกชื่อของพ่อแม่อย่างไม่ให้เกียรติได้อย่างไร?

“เถียนเถียน… เจ้าเป็นอะไรไป? เรียกพ่อว่าเฉินผิงอันได้อย่างไร? อย่างไรเขาก็คือพ่อของเจ้า!”

เฉินเถียนเถียนยกยิ้มก่อนตอกกลับอย่างเย็นชา “ใช่ เขาเป็นพ่อของข้า! แต่นอกเหนือจากการให้ยืมนามสกุล โบยตี และตะโกนสาปแช่ง เขาทำอะไรเพื่อข้าอีกบ้าง? แม่หยุดเสแสร้งเสียที เลิกทำตัวน่าสงสารได้แล้ว แม่ปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของข้า เหตุใดยังกล้าบีบน้ำตาร้องไห้เสียใจอีก?”

หลินชวนฮวาแสร้งร้องไห้ราวกับเสียใจและผิดหวังยิ่ง นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน “เถียนเถียน… เจ้าพูดแบบนั้นกับแม่ได้อย่างไร? มันก็เป็นความจริงที่ข้าทั้งสองอาจไม่เคยทำสิ่งดี ๆ ให้เจ้า แต่นับตั้งเจ้าก้าวเข้าไปในบ้านของนายน้อยหลี่และหลบหนีออกมาได้… ข้าก็เพียงสงสัยว่าเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่? เอ๊ะ… แล้วเหตุใดคนป่าผู้นี้จึงยื่นตะกร้าให้แก่เจ้า?”

เฉินเถียนเถียนตอบอย่างประชดประชัน “เพียงเห็นว่าเขายื่นตะกร้าให้ข้า เหตุใดจึงต้องโวยวายเสียงดังว่าเขาจะทำร้ายข้า?”

ป้าหวางหันมองหลินชวนฮวาด้วยความรังเกียจก่อนจะพ่มลมหายใจยาวอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ป้าหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่คิดเช่นนั้นจึงกล่าวถามอย่างไร้ยางอาย “ลูกสาวครอบครัวเฉินควรอธิบายก่อนว่าเจ้าและคนป่าผู้นี้รู้จักกันได้อย่างไร? เหตุใดเขาจึงมอบตะกร้านี้ให้กับเจ้า?”

เฉินเถียนเถียนมองตะกร้าพร้อมกับนึกในใจว่า ‘หากไม่คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ข้าต้องโดนประณามอีกแน่!’

‘คนพวกนี้กำลังจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากข้าพูดอะไรไปหวังว่าหยุนเคอจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเพื่อหยุดปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นนะ!’

“พ่อของข้า… ท่านบ่นว่าสุขภาพไม่ค่อยดี จึงใช้ให้ข้าไปซื้อไก่ป่าจากพรานป่าผู้นี้มาต้มกิน มีสิ่งใดแปลกประหลาดงั้นหรือ?”