บทที่ 14 งานเลี้ยงการหย่าร้างกลายเป็นงานเปิดตัวคู่รัก

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

เมื่อเขาพูดจบภายในห้องก็เงียบไปในทันที

ผ่านไปสักพักประตูห้องวีไอพีก็ถูกเปิดอีกครั้ง สือมูเฉินก้าวเดินเข้ามา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “มีลูกไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะพูดไม่ค่อยดีนะ?”

หลานเสี่ยวถางหันหน้าไปมองขา เธอไม่รู้ว่าคำพูดของเขาดีหรือไม่ดี

ในวินาทีถัดมา สือมูเฉินนั่งลงจิบชาแล้วพูดเบาๆ ว่า“ไม่เป็นไร ไม่ว่าสภาพดินจะยากต่อการเพาะปลูกแค่ไหน แต่มันก็สามารถเพาะปลูกให้ต้นกล้าแข็งแรงเติบโตขึ้นได้ มันขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดพันธุ์นั้นมีความเหมาะสมมากแค่ไหน”

คำพูดของเขาเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ทำเอาบรรยากาศในห้องวีไอพีเริ่มอึดอัดขึ้นเล็กน้อย

โดยเฉพาะสือเพ่ยหลิน เขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่หน้าของเขา สือมูเฉินหมายความว่าน้ำเชื้อของเขาไม่ดีงั้นหรือ? !

“เอ่อ ในเมื่อเสี่ยวถางไม่สามารถมีลูกได้ มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลยจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วคนในรุ่นนี้ของตระกูลสือก็มีเพียงเพ่ยหลินคนเดียว……” เริ่นเหม่ยเฟิ่งแม่ของสือเพ่ยหลินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ถึงแม้จะหย่าร้างกันแล้ว เสี่ยวถางก็ยังคงถือว่าเป็นลูกสาวของเราเหมือนเดิม แวะมาเยี่ยมได้เสมอนะจ๊ะ!”

แม้ว่าตระกูลหลานจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลสือในอดีต แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่คุณชายใหญ่แห่งตระกูลสือยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ธุรกิจของตระกูลหลานแย่ลงเรื่อยๆ แต่ตระกูลสือกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นแล้ว ทำได้เพียงประคับประคองให้รอด

ดังนั้นแม้ว่าหลานไห่ฮว๋าจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่เขาก็ทำได้เพียงดื่มเหล้าแก้กลุ้มไปวันๆ

“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขอแนะนำให้รู้จักกับคนนี้” ในตอนนี้สือเพ่ยหลินดึงเฉินจื่อโร่วให้ลุกขึ้นยืน“นี่คือรุ่นน้องสมัยเรียนของผม เธอชื่อเฉินจื่อโร่ว ตอนนี้เธอเป็นเลขาที่บริษัทของผม วันนั้นที่คุณพ่อคุณแม่ไปที่บริษัทเป็นเธอที่ออกต้อนรับครับ……”

“สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า!” เฉินจื่อโร่วโค้งคำนับในฐานะเด็กสาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ที่เพิ่งจบการศึกษา

“เสี่ยวเฉินใช่ไหม” เริ่นเหม่ยเฟิ่งพยักหน้า “ฉันจำได้เมื่อครั้งที่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก”

เฉินจื่อโร่วรีบหยิบถุงสองใบออกมาอย่างรวดเร็ว“คุณลุงคุณป้าคะ นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อย ๆ ที่หนูเตรียมมาให้ค่ะ!”

“รู้สึกไม่ดีเลย ในฐานะผู้ใหญ่เราสองคนไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาเลย!” เริ่นเหม่ยเฟิ่งบ่ายเบี่ยงแต่ก็ยอมรับของขวัญ

เมื่อเธอเปิดถุงดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้น เธอชอบงานปักมาโดยตลอด และข้างในเป็นผ้าพันคอสี่เหลี่ยมปักด้วยมือ และจะเห็นได้ชัดว่าเป็นงานปักซูโจวที่ยอดเยี่ยมมาก

เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นผ้าพันคอสี่เหลี่ยมก็เกิดความรู้สึกประชดประชันในหัวใจของเธอ

ทำไมเฉินจื่อโร่วสามารถทำในสิ่งที่เขาชอบได้? ไม่ใช่เพราะของขวัญนี้เป็นสือเพ่ยหลินเตรียมไว้หรอกหรือ!

จริงๆ แล้วเขาใส่ใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ งานเย็บปักถักร้อยนี้ราคาน่าจะประมาณเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นหยวน? สือเพ่ยหลินซื้อมาเองก็ทำเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นซื้อมาให้พ่อแม่ตัวเอง ช่างน่าขำจริงๆ!

สือมูชิงพ่อของสือเพ่ยหลินได้รับเป็นปากกา หลานเสี่ยวถางไม่ได้วิเคราะห์ปากกานี้ แต่เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าที่จริงจังของสือมูชิง เธอก็สามารถเดาได้ว่าน่าจะเป็นของดีมีราคา

“เสี่ยวเฉิน ผู้หญิงคนนี้มีมารยาทงามจริงๆ บ้านอยู่หนิงเฉิงหรือเปล่าจ๊ะ” เริ่นเหม่ยเฟิ่งถาม

ไม่ใช่ค่ะ บ้านของหนูอยู่ที่หลันเฉิงค่ะ……” เฉินจื่อโร่วพูดอย่างสุภาพอ่อนน้อม

“หลันเฉิง ผมเคยได้ยิน” ในเวลานี้เสียงทุ้มของสือมูเฉินดังขึ้น “ผมได้ยินมาว่าทางนั้นมีสถานบันเทิงใต้ดินที่มีความโดดเด่นมาก เป็นอุตสาหกรรมหลักของหลันเฉิงเลย ครอบครัวของคุณเฉินคงไม่ได้หาเลี้ยงชีพจากอาชีพนี้ใช่ไหมครับ”

คำพูดเพียงไม่กี่คำทำเอาเฉินจื่อโร่วรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่หน้า มือสั่นอยู่ใต้โต๊ะ แต่เธอไม่สามารถแสดงสีหน้าใดๆ ออกมาได้“คุณอานี่ชอบล้อเล่นจริงๆ นะคะ ครอบครัวของฉันเป็นชนชั้นแรงงานธรรมดา จะไปสัมผัสกับธุรกิจประเภทนี้ได้ยังไงคะ? ”

“คุณเรียกผมว่าคุณอา?” สือมูเฉินขมวดคิ้ว “ผมไม่มีหลานสาวโตขนาดนี้อย่างคุณ! แล้วอีกอย่างผมดูแก่ขนาดนั้นเลยหรือ?”

สีหน้าของเฉินจื่อโร่วเปลี่ยนไปมา“ฉันแค่เรียกตามพี่เพ่ยหลินค่ะ……”

สือมูเฉินเพิกเฉยต่อเธอ แล้วหันไปสนใจสือมูชิงพี่ชายของเขาแทน “วันนี้ผมได้รับโทรศัพท์ให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงการหย่าร้าง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่านี่เป็นงานเลี้ยงเปิดตัวคู่รักใหม่ล่ะ?”

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางงุนงงของสือมูเฉิน

แม้ว่าไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงดูเป็นศัตรูกับเฉินจื่อโร่ว แต่เธอก็รู้สึกอบอุ่นอยู่พักหนึ่ง

“ฮ่าฮ่า เราจะไม่ยุ่งเรื่องของเด็กๆ กันนะ” เริ่นเหม่ยเฟิ่งพูดแทรกขึ้น เพื่อไม่ให้บรรยากาศน่าอึดอัดจนเกินไป “เพ่ยหลิน วันนี้คุณลุงคุณป้าไม่ได้ว่างมาง่ายๆ พูดคุยกันให้สนุกนะ……”

สักพักบรรยากาศในห้องวีไอวีดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ทุกคนก็เริ่มทานอาหารและดื่มเหล้า ทำให้บรรยากาศดูสงบสุขมากขึ้น

หลังจากดื่มไปสามแก้ว สือมูเฉินยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ผมไปก่อนนะ พวกคุณคุยกันดื่มกันให้สนุกเลย”

ขณะที่พูดเขาเอื้อมมือไปดึงเก้าอี้ แต่บังเอิญไปชนเข้ากับกระเป๋าลายปักซูโจวของเริ่นเหม่ยเฟิ่ง ด้านในลายปักนั้นหลุดออกมา เขาก้มลงหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

เขาจะพูดอย่างสบายๆ ว่า “พี่สะใภ้ เมื่อกี้ผมไม่ทันระวัง ขอโทษด้วยนะครับ มองดูแล้วมันแพงมากเลยนะครับ มูลค่าน่าจะหนึ่งแสนกว่าหยวน นั่นคือรายได้ต่อปีของพ่อแม่คุณเฉินเลยนะ แต่โชคดีที่ผมไม่ได้ทำมันพัง……”

แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูสบายๆ แต่สีหน้าของใครบางคนนั้นกลับแข็งทื่อ

เนื่องจากครอบครัวของเฉินจื่อโร่วมีรายได้ไม่สูงนัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเงินซื้องานปักเกรดดีของเมืองซูโจว แถมยังมีปากกานั้นอีก ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ……

เฉินจื่อโร่วโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แม้แต่สีหน้าของสือเพ่ยหลินก็แข็งทื่อเป็นพิเศษ

เดิมทีเริ่นเหม่ยเฟิ่งรู้สึกชอบพอในตัวเฉินจื่อโร่วมาก แต่ในขณะนี้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ตอนแรกเธอยังคิดไม่ถึง ตอนนี้สือมูเฉินได้เตือนเธอ เธอจึงคิดได้ว่าของขวัญที่เฉินจื่อโร่วมอบให้เธอเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกชายของเธอที่ซื้อมันมา!

งามไส้! ยังไม่ทันเข้าบ้านผู้หญิงคนนี้ก็ใช้เงินลูกชายของเธอแบบนี้ซะแล้ว