ตอนที่ 281 – อินทรีหัวยักษ์

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 281 – อินทรีหัวยักษ์

ทั้งสองคนเดินออกจากช่องแตกอย่างระมัดระวัง เหยียบลงบนเมฆบินอีกครั้ง ใช้วิธีป้องกันหลายชั้น ค่อย ๆ บินขึ้นไป

แต่ในเวลานี่เอง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอินทรีร้อง

ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น ล้วนตะลึงลานไป

เห็นเพียงว่าในที่ไม่ไกลออกไป ระหว่างพลังวิญญาณและปราณปีศาจอันแปรปรวนมีเงาร่างอันว่องไววูบผ่าน พอจ้องมองกลับเป็นอินทรีฮาร์ปี้หัวยักษ์หนึ่งตัว

“อสูรมารขั้นหก!” ฉินซีขมวดคิ้ว ม่านพลังกระบี่อันกลายรูปมาจากกระบี่อัคนีสามพลังหยางส่องสว่าง เมฆบินลดลงต่ำ

“ทางนั้น ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว!” โม่เทียนเกอชี้ไปกลางอากาศอีกทิศทางหนึ่ง อินทรีหัวยักษ์สามตัวบินวนอยู่เช่นกัน แล้วก็ขั้นหกเช่นกัน

อสูรมารหนึ่งตัวก็ไม่เท่าไหร่ รวมทั้งหมดสี่ตัว….. อสูรมารขั้นหกเทียบเท่ากับก่อเกิดตานขั้นกลาง อีกทั้งอยู่กลางอากาศ รอบบริเวณมีกำแพงอาคมและวายุทิพย์ลอยล่อง ยังมีอัสนีบาตของพลังวิญญาณและปราณปีศาจที่คลุ้มคลั่ง!

โม่เทียนเกอเพียงรู้สึกเหงื่อเย็นเต็มศีรษะ

ฉินซีกลับยังสงบนิ่งมาก เมฆบินลอยลงต่ำต่อไป

อินทรีหัวยักษ์เดี่ยว ๆ ตัวนั้นส่งเสียงร้องขึ้นมาอีก พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าความสนใจของอินทรีหัวยักษ์สี่ตัวทั้งหมดตกอยู่บนร่างของพวกเขา อินทรีทั้งหลายร้องเรียกระหว่างกันอยู่หลายคำ จากนั้นกระพือปีกบินมาทางพวกเขา

พวกมันมามีเจตนาไม่ดี! เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอก็หยิบอาวุธเวทออกมาหลายชิ้น รวมทั้งเครื่องรางที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอให้ก็หยิบออกมาด้วย กลางอากาศ อินทรีหัวยักษ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เหล่านี้ครอบครองความได้เปรียบอย่างถึงที่สุด ถึงแม้ระดับการฝึกตนของพวกเขาจะสูงกว่า วิธีการมากกว่า ขอเพียงไม่ระวังสักนิดก็จะร่วงลงไปจากที่ตรงนี้ พวกเขาบินมาเกือบจะหนึ่งวันแล้ว หากร่วงลงไปจากที่ตรงนี้จะต้องตายโดยไร้ที่ฝัง

แต่พริบตาเดียวอินทรีหัวยักษ์เหล่านี้ก็บินมาถึงแล้ว พวกมันเร็วดั่งสายฟ้า ความเร็วในการเหินบินกลางอากาศช่างน่าทึ่งอย่างแท้จริง

ฉินซียังคงขับเคลื่อนเมฆบินลงไปไม่หยุด พอเห็นอินทรีฮาร์ปี้หัวยักษ์เหล่านี้โถมมาถึง มือขวารวบรวมแสงปราณ ร่างแท้ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางปรากฏขึ้นมาในมือของเขา เพียงมีเวลาทันยกขึ้น ปราณกระบี่กระแทกกรงเล็บของอินทรี

พลังนี้…..โม่เทียนเกอหน้าซีด อสูรมารในภูเขามารแตกต่างออกไปตามคาด พลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ที่นอกภูเขามารไหนเลยที่อสูรมารขั้นหกจะมีในครอบครอง

ไม่มีเวลาคิดมากแล้ว อินทรีหัวยักษ์อีกตัวกระแทกเข้ามาอีกครั้ง โม่เทียนเกอหยิบตราประทับธาตุดินออกมา กำลังจะออกใช้งานกลับถูกฉินซียับยั้งเอาไว้ “ที่นี่ใช้งานอาวุธเวทไม่สะดวก เคลื่อนไหวมากเกินไปจะก่อให้เกิดการพังทลายของกำแพงอาคม”

โม่เทียนเกอตะลึง “นี่…..”

ฉินซีโจมตีอินทรีหัวยักษ์ให้ล่าถอยไปอีกครั้ง ขณะนี้เมฆบินลอยต่ำลงจนถึงสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งจะหลบซ่อนเอาไว้แล้ว เขาผลักโม่เทียนเกอ “เข้าไป!”

“ข้า…..” โม่เทียนเกอไม่ได้เชื่อฟังทันที นางมองดูข้างนอก อินทรีหัวยักษ์สี่ตัวกระแทกเข้ามาต่อเนื่องไม่หยุด ฉินซีหวั่นเกรงกำแพงอาคมเหล่านี้ ไม่ได้โจมตี ทว่าใช้เพียงม่านพลังกระบี่ที่กลายรูปมาจากปราณกระบี่ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางต่อต้าน แต่พลังของอินทรีหัวยักษ์เหล่านี้แกร่งเกินไปแล้ว อีกทั้งฉลาดเฉลียวแบ่งกำลังกันกระแทกเข้ามา เขาตกอยู่ในการต้านทานอย่างตั้งรับโดยสิ้นเชิง

“ข้าช่วยได้นะ!”

“อย่าพูดไร้สาระ!” ฉินซีไม่แม้แต่จะมองนาง สายตามองกลับไปกลับมาระหว่างอินทรีหัวยักษ์หลายตัว “เข้าไปเร็ว!”

“ท่าน…..มีหนทางหรือ”

คราวนี้เขาไม่แม้แต่จะตอบแล้ว ผลักนางไปดื้อ ๆ จากนั้นใช้ร่างกายของตนเองขวางกั้นช่องแตกนั้นเอาไว้

เขากระทำเช่นนี้ นางไม่คิดจะเข้าไปก็ไม่ได้แล้ว ไร้ทางเลือก ได้แต่ตะแคงข้างคลานเข้าไปอย่างระมัดระวัง กำลังจะดึงเขาเข้ามา เขากลับถอนมือของตนเองกลับไป

“ซือเกอ!” โม่เทียนเกอกระวนกระวายอยู่บ้าง “ท่านไม่เข้ามาหรือ”

ฉินซีไม่ตอบคำ มือทั้งคู่ขยับทำศาสตร์กระบี่ ม่านพลังกระบี่เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นทันใด ภายใต้สายตาเช่นพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อของอินทรีหัวยักษ์สี่ตัว เขาไหนเลยจะมีเวลาเข้าไป?

โม่เทียนเกอมองไม่เห็นสถานการณ์ภายนอก ได้แต่ใช้จิตหยั่งรู้สังเกตการณ์ อินทรีหัวยักษ์สี่ตัวพากันส่งเสียงร้องอีกแล้ว ยังคงกระแทกใส่เขาต่อเนื่องทีละตัว

เขาขยับก็ไม่ขยับ ทนรับการกระแทกโจมตีของพลังวิญญาณของอินทรีหัวยักษ์เหล่านี้เอาไ รอจนกระทั่งม่านพลังกระบี่ควบรวมพลังวิญญาณได้เพียงพอจึงโบกมือ ปราณกระบี่สีแดงเส้นหนึ่งไล่อินทรีหัวยักษ์หนึ่งตัวออกไป

สังหารไปทีละตัว ได้แต่ทำเช่นนี้

อาศัยวิชาท่าร่างที่แคล่วคล่อง อินทรีนี้สะบัดปีกเพื่อหลบ

แสงกระบี่ของฉินซีแท้จริงแล้วไม่ได้มีความเร็วถึงขนาดอินทรีนี้ แต่ทว่าตอนที่อินทรีหัวยักษ์นี้เชื่อว่าตนเองสามารถหลบพ้นอย่างง่ายดายกลับเห็นแสงกระบี่เลี้ยวตามมายังทิศทางของมัน ไล่ตามไปอีกครั้ง

อินทรีหัวยักษ์กรีดร้องยาว ๆ ได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิดอันแหลมคม แสงกระบี่โจมตีถูกหัวยักษ์ของมัน เลือดพุ่งกระฉูด ขนนกปลิวว่อน อินทรีหัวยักษ์หนึ่งตัวหัวร่วงลงไปจากหน้าผา

โม่เทียนเกอกำลังเป่าปากโล่งอก แต่จิตหยั่งรู้สัมผัสได้ทันทีว่าอินทรีหัวยักษ์อีกสามตัวกลับพุ่งเข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว
“ระวัง!” นางส่งเสียงเตือน แต่ฉินซีเพิ่งจะสูญเสียพลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก มีปฏิกิริยาไม่ทันกาลไปชั่วขณะ โม่เทียนเกอแทบจะลงมือตามสัญชาตญาณ ใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณฟาดออกไป

“อ๊อก….” ไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร นางเพียงรู้สึกว่าจิตหยั่งรู้แตกหักจนเจ็บปวด กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ คนทั้งคนแทบจะสลบลงไปในพริบตา!

จิตหยั่งรู้…..ถูกตัดขาดแล้ว ผ่านไปพักใหญ่นางจึงตระหนักว่าตนเองเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“นิ่งไว้ อย่าขยับ!” ฉินซีหันหน้ามาจ้องมองนางอย่างดุเดือดแวบหนึ่ง แต่ในเวลานี้อินทรีหัวยักษ์สามตัวที่ถูกนางขวางเอาไว้โจมตีมาถึงอีกแล้ว ปีกทั้งหกกระพือในเวลาเดียวกัน โถมเข้ามา

ฉินซีรีบยกมือขึ้น กระบี่อัคนีสามพลังหยางสกัดกั้นการโจมตีตรงหน้า แต่ไม่ได้กั้นด้านหลัง ภายใต้การโจมตีหลายครั้งเมื่อครู่นี้ เกราะป้องกันที่จวนเจียนจะพังทลายอยู่แล้วพอแตะก็แตกสลายไปเลย ปีกอินทรีกระพือเข้าใส่แผ่นหลังของเขาอย่างหนักแน่น กรงเล็กอินทรีทิ่มเข้าไปพาให้บุปผาโลหิตสาดกระจาย

ร่างของเขาสั่นสะท้าน เลือดหลั่งไหลออกมาจากแผ่นหลังทันที

ฉินซีกัดฟันไม่ไปใส่ใจ ดึงเครื่องรางป้องกันหนึ่งแผ่นออกมาจากเอวแปะเข้าที่ลำตัว สร้างเกราะป้องกันขึ้นมาใหม่

โม่เทียนเกอเห็นแค่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ไม่เห็นสถานการณ์ภายนอก ไม่มีเวลาให้คิด ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกางออกคลุมเขาทั้งร่าง

ครั้งนี้ ในที่สุดเขาไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลือของนางแล้ว เขาเคยได้เห็นพลังของอาวุธเวทป้องกันชิ้นนี้ด้วยตาของตัวเองมาแล้ว ถึงอาจจะสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถลดแรงกดดันของเขาลงไปได้ไม่น้อย

เพียงแต่เขายังคงสั่งออกมาว่า “ถ้าสูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไปก็เก็บมันกลับไป!”

โม่เทียนเกอตะลึง ตอบรับเสียงค่อย ในใจกลับตั้งมั่น นางอยู่ที่นี่ ทำเรื่องมากมายเกินไปไม่ได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่นางสามารถทำได้

มีผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคุ้มครองกาย ในที่สุดฉินซีก็ผ่อนคลายลงได้ล้าง แต่ว่าบาดแผลที่แผ่นหลังยังดูแลไม่ได้อีกพักหนึ่ง โลหิตหลั่งไหลอยู่ตลอดเวลา ที่นี่กำแพงอาคมล่องลอยมากนัก พลังวิญญาณและปราณปีศาจผสมปนเป เพราะกลัวว่าจะทำให้กำแพงอาคมพังทลาย เขาจึงไม่กล้าใช้อาวุธเวทอื่น ๆ เลย ได้แต่ใช้ม่านพลังกระบี่สนับสนุน อาศัยปราณกระบี่ที่ควบคุมอย่างแยบคายพัวพันกับอินทรีหัวยักษ์

ทำอย่างนี้อยู่ไม่ได้นานนัก ความคิดนี้วูบผ่านในใจเขา อย่าว่าแต่กำแพงอาคมกับวายุทิพย์ หากเป็นอย่างเมื่อครู่นี้มีปราณปีศาจลอยมาเขาก็เต็มกลืนแล้ว!

หันหน้าไปมองโม่เทียนเกอ อินทรีหัวยักษ์สามตัวนั้นเนื่องจากการตายของพวกพ้องจึงยิ่งเดือดดาล ไล่ตามมาอีก ฉินซีถอนหายใจแผ่ว ๆ อย่างแทบไม่ได้ยิน สะบัดมือ กระบี่อัคนีสามพลังหยางกลายรูปเป็นแสงสีแดงใหม่อีกครั้ง หมุนวนอยู่รอบตัวเขา เขาประกบฝ่ามือหลับตาลง ถึงกับไม่สนใจการโจมตีของอินทรีหัวยักษ์สามตัวโดยสิ้นเชิง

อินทรีหัวยักษ์สามตัวนี้เนื่องจากเห็นการตายของพวกพ้องกับตาจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเขา การโจมตียิ่งบ้าคลั่ง

พลังวิญญาณสามสายตีเข้าใส่เกราะป้องกันหนัก ๆ โม่เทียนเกอรู้สึกแค่ว่าชีพจรปราณเสียวแปลบ ถึงการป้องกันของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวจะน่าทึ่ง แต่การโจมตีอันทรงพลังเยี่ยงนี้ ใช้พลังวิญญาณมาเผาผลาญป้องกันก็น่ากลัวมาก นางกลืนยาเสริมพลังวิญญาณระดับสูงมากมายทันที

ไม่ได้หยุดยั้งนานมาก อินทรีหัวยักษ์สามตัวกระแทกเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้โม่เทียนเกอก็ควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวอีกไม่ไหวแล้ว เมฆหมอกรวมตัวกลายเป็นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวใหม่อีกครั้ง ก็คือมันรักษารูปลักษณ์ป้องกันไม่ไหวแล้ว

ครั้งที่สาม ฉินซีทนรับการโจมตีของอินทรีหัวยักษ์สามตัว

เขาเพิ่งจะได้รับบาดแผลบนร่าง พลังวิญญาณทุบตีหลายครั้งขนาดนี้ ม่านพลังกระบี่ป้องกันบนร่างปรากฏช่องโหว่แล้ว แม้แต่รัศมีคุ้มครองกายก็สั่นไหว ขณะนี้ภายใต้การกระแทกชนของอินทรีหัวยักษ์สามตัวแทบจะล้มฟุบ โม่เทียนเกอกระวนกระวายไม่รู้แล้ว ไม่สนใจสิ่งอื่น ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณลงมือออกไปอีกครั้ง

อินทรีหัวยักษ์พวกนี้คงจะเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมอันแสนพิเศษนี้ ไม่กลัววายุทิพย์ ไม่กลัวกำแพงอาคม แล้วก็ไม่กลัวปราณปีศาจ จิตหยั่งรู้ผิดแผกออกไป เมื่อครู่นางลงมือใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าก็ทำให้บาดเจ็บไปหนึ่งตัว แต่ตนเองกลับถูกสะท้อนจนบาดเจ็บสาหัส

แต่นางดูออกว่า ฉินซีกำลังร่ายวิชาเวทบางอย่างอยู่ ตนเองจำเป็นต้องสกัดกั้นแทนเขา ถ้าไม่เช่นนั้นเกรงว่าเขายังไม่ทันได้ร่ายออกมาก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว!

อินทรีหัวยักษ์สามตัวกระแทกเข้ามาอีก ม่านพลังกระบี่ด้านนอกสุดส่งเสียงหึ่งดังลั่น สะท้อนการโจมตีบางส่วนออกไป แต่ก็ทยอยแตกสลาย

จากนั้นกระแทกใส่จิตหยั่งรู้ของนางอย่างหนักแน่น

ในพริบตาเดียว โม่เทียนเกอรับรสชาติของความเจ็บปวดที่จิตหยั่งรู้ถูกฉีกกระชากอีกครั้ง ความเจ็บปวดประเภทนี้แย่ยิ่งกว่าความเจ็บปวดของกายเนื้อใด ๆ เสมือนว่าสมองถูกฉีกอย่างรุนแรง อีกประเดี๋ยวสมองก็จะระเบิดแล้ว

แต่การโจมตีครั้งนี้ถึงที่สุดก็ป้องกันเอาไว้แล้ว

แต่นางทราบว่าครั้งถัดไปตนเองไม่มีทางจัดการได้ อย่าว่าแต่ปัจจุบันนี้นางเพิ่งจะเลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตาน อาวุทเวทและวิชาล้วนยังไม่เพียงพอ ถึงแม้จะมีอาวุธเวทนางก็ไม่กล้าใช้ เพราะเขาบอกว่าที่นี่ถ้าใช้อาวุธเวทเคลื่อนไหวมากเกินไปอาจจะเป็นเหตุให้กำแพงอาคมพังทลาย

ความรู้สึกมึนเบลอในสมองค่อย ๆ จางหาย นางลืมตาขึ้นกลับเห็นแสงสว่างเจิดจ้าข้างนอก

บนร่างของฉินซีมีแสงสีขาวแสบตาพัวพัน เห็นเพียงเม็ดสีขาวหนึ่งเม็ดกะพริบวูบวาบอยู่ตรงตานเถียนเขา ถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อนแต่โม่เทียนเกอทราบว่านี่จะต้องเป็นลูกประคำวิญญาณพลังหยางเม็ดนั้น!

พลังวิญญาณธาตุหยางพลุ่งพล่าน เป็นเหตุให้พลังวิญญาณอินในกายนางเริ่มขยับ

ภายใต้แสงสว่างของลูกประคำวิญญาณพลังหยาง อินทรีหัวยักษ์สามตัวนั้นคล้ายกับไม่เข้าใจว่านี่คืออะไร บินร่อนอยู่กลางอากาศ ไม่กล้าเข้าใกล้ไปพักหนึ่ง สัญชาตญาณของอสูรมารทำให้พวกมันรู้ว่านี่จะต้องเป็นสิ่งของอันตราย ดังนั้นหนึ่งตัวในนั้นกรีดร้องคำหนึ่ง อินทรีหัวยักษ์สามตัวกระพือปีกอีกครั้งม้วนพลังวิญญาณกระแทกใส่ฉินซีด้วยกัน

การโจมตีของอสูรมารก็เรียบง่ายอย่างนี้ พวกมันมีกรงเล็บคมเขี้ยวแหลมคมตามธรรมชาติ มีร่างกายประดุจดั่งอาวุธ การโจมตีอันเรียบง่ายเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้ฝึกตนร้องปวดศีรษะแล้ว

พลังวิญญาณรวมตัว แสงสีขาวขวางกั้นการโจมตีของอินทรีหัวยักษ์อย่างอ่อนโยนคล้ายกับว่าไม่ได้เปลืองแรงเลย

ถัดจากนั้น แสงสีขาวพวกนี้กระจายตัวออกอย่างอิสระ รัดพันอินทรีหัวยักษ์เข้าไปทั้งหมด อินทรีเหล่านี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระพือปีกอยู่ในพลังวิญญาณหยางอันเข้มข้นคิดที่จะบินออกไป แต่พลังวิญญาณหยางเหล่านี้กลับรัดพวกมันเอาไว้อย่างหนาแน่น พวกมันขยับไม่ได้ อย่างช้า ๆ แม้แต่ปีกก็ไม่ขยับแล้ว

แสงกระบี่สีแดงส่องสว่างอีกครั้ง ม่านพลังกระบี่ก่อตัวขึ้นมาใหม่ ทิ่มแทงอินทรีหัวยักษ์อย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงร้องอย่างแตกตื่นของพวกมัน

“ฉัวะ ๆ” หลายเสียง พวกมันถูกปราณกระบี่แทงทะลุ ตกลงไปจากหน้าผา

“ซือเกอ!” โม่เทียนเกอสายตาแจ่มชัดมือรวดเร็ว คว้าตัวฉินซีที่แทบจะร่วงตามลงไปแล้วดึงเข้ามาแรง ๆ

………………………………….

อินทรีฮาร์ปี้เป็นนกอินทรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ ตัวสูงได้เป็นเมตรเลยค่ะ กางปีกออกกว้าง 2 เมตร เป็นนกอเมริกาใต้ ชื่อจีนคือ 角鹰 (เจี่ยวอิง) คำว่าเจี่ยวแปลว่า เขาสัตว์ ดังนั้นคนแปลอังกฤษเขาเลยแปลว่า horned-eagle ซะงั้นเลย คงลืมกูเกิ้ลดูว่ามันเป็นสัตว์ที่มีอยู่จริงบนโลกรึเปล่านั่นแหละ 555 แต่เรากูเกิ้ลดูแล้วอ่านเจอในไป่ตู้ว่ามันเป็นนกอินทรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยไปกูเกิ้ลอีกรอบว่านกอินทรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกมันคืออะไร พอรู้ว่า มันคือ ‘harpy eagle’ ก็เลยไปหาชื่อจีนของนกตัวนี้แล้วก็โป๊ะเลย มันคือเจ้าเจี่ยวอิงตัวนี้นี่เอง (ปล. นี่ไม่ใช่แปลอิ๊งเรื่องเดียวที่แปล harpy eagle เป็น Horned Eagle)

ตอนที่ 282 – รักษาบาดเจ็บ