บทที่ 24 สวมกางเกงหน่อยมิได้หรือ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 24 สวมกางเกงหน่อยมิได้หรือ

หลานเยาเยารู้ว่า ไม่ว่านางจะตอบเช่นไร เขาก็จะดันสายคล้องบนไหล่นางออกตามอำเภอใจอยู่ดี

เมื่อชาติก่อน นางเป็นคนโดดเด่นในสายตาของผู้คน เป็นต้นแบบในการเรียนของเหล่าเด็กน้อย ใคร ๆ ก็ล้วนให้เกียรตินาง อิจฉานางกันทั้งนั้น

ไม่เคยมีใครทำให้นางอับอายเช่นนี้มาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย!

นางรู้สึกว่านางถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเข้าอย่างจัง

ดังนั้น!

นางจึงตะโกนเสียงดังว่า

“ข้าผิดก็ผิดที่ข้าไม่ควรถูกบีบบังคับให้กระโดดลงเหวมา ข้าไม่ควรมาเจอท่าน ข้าไม่ควรฉีกเสื้อของท่าน ไม่ควรมัดท่านไว้ และยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่ควรช่วยชีวิตท่านเพื่อให้ท่านกลับมาปฏิบัติกับข้าเช่นนี้”

ขณะที่พูด น้ำตาของนางก็หยดลงเม็ดใหญ่…..

“ตั้งแต่เล็ก คนอื่นก็แกล้งข้ารังแกข้า ข้าก็ทน เพราะว่าข้ายังเล็กนัก สู้ไม่ชนะพวกเขา ข้านึกว่าขอเพียงข้าเติบใหญ่แล้ว พวกเขาก็จะรังแกข้าไม่ได้อีก ทว่าในความเป็นจริงน่ะหรือ

พวกเขากลับหนักข้อยิ่งกว่าเดิมเสียอีก คู่หมั้นถูกพวกเขาแย่งชิงไปยังมิพอ มิหนำซ้ำยังพยายามกำจัดข้าครั้งแล้วครั้งเล่า!

ส่วนท่านน่ะหรือ

ท่านอ๋องเทพสงครามผู้อยู่สูงเหนือผู้คนทั้งมวล ทั้งอยู่เหนือกฎหมายจะกระทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ข้าช่วยท่านไว้แล้ว ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ทว่า ท่านถือสิทธิ์อันใดมากระทำกับข้าเช่นนี้ ท่านถือสิทธิ์อันใดกัน ฮือฮือ……”

เสียงนั้นเจ็บปวดและไร้ที่พึ่ง น้ำตาร่วงเผาะ ๆ หยดน้ำตาอุ่นหยดลงบนเย่แจ๋หยิ่ง

ทำให้หัวใจของเขาอดหวั่นไหวไม่ได้!

เขาตะลึงงัน

หลานเยาเยาร่ำไห้แล้ว ซ้ำยังสะอื้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็รู้สึกจนปัญญา และไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวเช่นไร…..

เป็นเวลายาวนาน!

หลานเยาเยายังคงน้ำตาร่วงเผาะ ๆ ด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง สตรีน่ารำคาญผู้นี้ เขาทนมาเป็นเวลานานมากแล้ว นางยังคงร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อน นึกว่าเขาจะไม่รู้ว่านางจงใจทำเช่นนี้หรือ

ทำได้เพียงกล่าวเสียงเยือกเย็นขึ้นว่า

“อย่า อย่าร้องนะ!”

หลานเยาเยาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา สะอื้นไปพลางกล่าวไปพลางว่า “เช่นนั้นท่านช่วยนำมือออกไปได้หรือไม่”

มือที่คุกคามของเขายังคงวางอยู่บนสายคล้องผ้าปิดหน้าอกของ ข้า อยู่เลย

ถ้าหากไม่ทันระวัง แล้วสายคล้องขาดขึ้นมา มิใช่ว่านางจะเปลือยหมดหรอกหรือ นางมิยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก!

พอได้ยินเช่นนั้น!

เย่แจ๋หยิ่งเคลื่อนสายตาไปยังไหล่ขาวเนียนนุ่มของนาง อดกระแอมขึ้นมาทีหนึ่งไม่ได้ จากนั้นจึงรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

ทว่า หลังจากเขาดึงมือกลับไป หลานเยาเยายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย ทันใดนั้นสีหน้าของเขากลับเย็นชาขึ้นมา

“ทำไมยังร้องอยู่อีกเล่า”

“ท่าน ท่านอ๋อง ท่านช่วยสวมกางเกงได้หรือไม่ “ ท่านเป็นเช่นนี้ ข้าหวั่นใจเหลือเกิน รู้สึกไม่ปลอดภัยนัก

“······”

หลานเยาเยาก็จนปัญญาเช่นกัน!

เจ้าหนุ่มน้อยนั่นกดนางแนบเสา ทั้งร่างเปลือยเปล่า มือหนึ่งบีบคอนาง มือหนึ่งฉีกเสื้อของนาง หากมีคนผ่านมาพบเข้า คงนึกว่าเขากำลังจะขืนใจนางเสียอีก!

เย่แจ๋หยิ่งที่เพิ่งตระหนักได้ว่าร่างของตนไร้ซึ่งสิ่งปิดบัง รู้สึกร้อนขึ้นมาที่หลังหูโดยพลัน สีหน้าแลดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จากนั้นหรี่ตาลง ขยับเข้ามาที่ข้างหูนางในทันใด แล้วพูดข่มขู่ว่า

“หากกล้าป่าวประกาศออกไปล่ะก็ ข้าไม่มีทางอภัยให้เจ้าง่าย ๆ เป็น…..”

ยังกล่าวไม่ทันจบ

“เจ้านาย คุณชายเหลียงเฉินมาแล้วขอรับ!”

จื่อซีเหินเข้ามาข้างในอย่างองอาจ ยังพูดไม่ทันจบร่างกายหยุดก็ชะงักโดยพลัน ตื่นตระหนกกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าจนอ้าปากค้าง

เขามาไม่ได้จังหวะหรอกหรือ มาขัดขวางเรื่องดี ๆ ของเจ้านายไปหรือเปล่า

เห็นท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าเจ้านายกำลังจะสมปรารถนาโดยเร็วนี้แล้ว จื่อซีแสดงอาการเสียใจเล็กน้อย จากนั้นก็น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาในทันที

เจ้านาย ในที่สุดท่านก็คิดได้แล้ว!

เช่นนั้น จึงวางมาดขรึมโดยพลันแล้วกล่าวว่า “เจ้านาย เชิญท่านเสพสุขต่อเถิด!”

พอพูดจบก็พลันถอยออกไปอย่างสุขุม เมื่อก้าวพ้นประตูก็กระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงวิ่งหายลับไป

เย่แจ๋หยิ่ง “……”

หลานเยาเยา “……”

โถงทางเดินเงียบสงัดขึ้นมาในทันใด น่ากระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด!

หลังผ่านไปเป็นเวลานาน!

เย่แจ๋หยิ่งก็ปล่อยนางไป แสร้งเดินอย่างองอาจไปยังฉากกั้นที่มีเสื้อคลุมวางไว้อยู่ แท้จริงแล้วทั้งร่างนั้นแข็งทื่อ ไม่เป็นธรรมชาตินัก

หลังสวมเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว เย่แจ๋หยิ่งไม่แม้แต่จะหันมามองนางสักนิดก็เดินจากไปแล้ว!

เอ…..

จากไปเช่นนี้เลยหรือ

แล้วนางจะทำเช่นไรดีล่ะ

ยามนี้นางจะไปหาเสื้อผ้ามาได้จากที่ไหนกัน

ยังดีที่หลังจากผ่านไปไม่นาน ก็มีสาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมถือเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งด้วย

“แม่นาง ท่านอ๋องกล่าวแล้วว่า เรื่องราวในวันนี้ทางที่ดีควรลืมไปเสียให้หมด”

“ข้ารู้แล้ว!”

เชอะ!

ราวกับว่านางไปละลาบละล้วงเขาเสียมากมายอย่างไรอย่างนั้น หากจะว่าไปแล้ว แพทย์เสนารักษ์อย่างนาง ร่างเปลือยเปล่าแบบไหนก็เห็นมาหมดแล้ว ดูจนชินชาไปแล้วล่ะ!

เฮอะ!

มิใช่ว่าเพียงรูปร่างดีกว่าสักหน่อย ผิวขาวกระจ่างกว่าสักหน่อย ส่วนตรงนั้น…..ก็ใหญ่กว่าคนอื่นสักเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง จะดูดีสักแค่ไหนกันเชียว

นางยังไม่อยากจะมองเสียด้วยซ้ำ!

ยามนี้ สาวใช้กล่าวเสียงตระหนกว่า “แม่นาง เหตุใดจมูกของท่านจึงมีเลือดไหลเล่า”

“……”

——

หลานเยาเยารีบสาวเท้าเข้าไปยังลานของพระราชธิดาจาวหยาง จื่อซีที่มารออยู่ตรงทางเข้าเป็นเวลานานแล้ว พอเห็นนางมา ตาเขาก็เปล่งประกายในทันใด กล่าวด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่งว่า

“แม่นาง เชิญเข้ามาข้างในก่อนเถิดขอรับ!”

“อืม!”

มองดูจื่อซีปราดหนึ่ง นางรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปข้างใน

ภายในห้องมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างใด ๆ แม้ไม่ถึงขนาดที่จะมองนิ้วมือทั้งห้าไม่เห็นเมื่อยื่นมือออกไปก็ตาม แต่ทว่า เช่นนี้แลดูไม่ต่างไปจากยามราตรีเลยสักนิด

“นั่นใครน่ะ”

เสียงบอบบางของหญิงสาวนางหนึ่งลอยมาจากภายในห้อง

จื่อซีตอบโดยพลันว่า “พระราชธิดามิต้องเป็นกังวลไปขอรับ เป็นแม่นางผู้ที่เคยช่วยชีวิตท่านไว้ก่อนหน้านี้”

“อ้อ!” นางตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นจึงกล่าวถามอย่างมีความหวังว่า “สามารถรักษาให้หายได้จริง ๆ หรือ”

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจากการเป็นลมเมื่อคราวก่อน จื่อซีก็บอกกับนางว่า มีผู้ที่สามารถรักษาโรคของนางได้

นางก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก เพราะว่าทุกครั้งเขาก็พูดเช่นนี้ เพียงเพราะต้องการให้นางวางใจ ไม่อยากให้นางทำร้ายตัวเองก็เพียงเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว!

นางเองก็อยากจะใช้ชีวิตดี ๆ

เพียงแค่ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไป

อยู่ท่ามกลางความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด ทุกวันคืนแบกรับความทรมานแสนสาหัส และยิ่งไม่อยากออกไปเป็นตัวประหลาดในสายตาผู้คนก็เท่านั้น

“วางใจเถิด สำหรับข้าแล้ว อาการป่วยของท่านนั้นรักษาง่ายนิดเดียว อย่าได้มองโลกในแง่ร้ายเช่นนั้นเลย” หลานเยาเยากล่าวอย่างสบาย ๆ

โรคที่ประหลาดยิ่งกว่าโรคของพระราชธิดาจาวหยาง นางล้วนเคยรักษามาหมดแล้ว หากจะยุ่งยากก็ยุ่งยากตรงที่ต้องยกระดับกลไก จึงจะสามารถทำวัตถุดิบและภาชนะสำหรับทำพิษกู่ที่จะใช้รักษานางได้

“เช่นนั้น ข้าก็จะยอมเชื่ออีกสักหนก็แล้วกัน!”

หากครั้งนี้ยังไม่สำเร็จอีก ต่อให้นางไม่ปลิดชีพตนเอง นางก็รู้ดีว่าร่างกายของนางคงแบกรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

หลานเยาเยาเดินมาอยู่ที่เบื้องหน้านาง พูดอย่างคลุมเครือว่า “เดี๋ยวจะเจ็บสักหน่อยนะ ท่านทนเอาหน่อยก็แล้วกัน!”

“เจ็บอย่างนั้นรึ”

พระราชธิดาจาวหยางรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง วิธีการรักษามิใช่ว่าเป็นการฝังเข็มทานยาหรอกหรือ จะเจ็บปวดได้อย่างไรกัน

ทว่า สิ่งที่นางนึกไม่ถึงคือ

นางยังไม่ทันพูดจบ เสียงดัง “โอ๊ย” เจ็บแปลบที่ลำคอในทันใด ก่อนจะหมดสติไปโดยพลัน

“เจ็บแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อตีพระราชธิดาจาวหยางจนสลบ หลานเยาเยาก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นโดยพลัน คว้าจับมือของพระราชธิดาจาวหยาง ก่อนลากออกไปข้างนอก

“แม่นาง พระราชธิดาเป็นอย่างไรหรือขอรับ”

เป็นเพราะว่ามืดเกินไป จื่อซีจึงมิทราบเลยว่านางกระทำอันใดบ้าง

“ไม่มีอันใด ในที่นี้ไม่มีแสงสว่างแม้สักนิด ประตูหน้าต่างก็ปิดสนิทหมด อย่าเพิ่งพูดถึงการรักษาเลย เพียงแค่หาจุดฝังเข็มก็หามิเจอแล้ว พาพระราชธิดาไปในที่สว่างสักหน่อยเสียดีกว่า”

“แต่ทว่า….”

พระราชธิดาจาวหยางไม่สามารถมองแสงสว่างได้ มิเช่นนั้นจะล้มป่วยโดยพลัน

“วางใจเถิด! ข้าทำให้นางสลบแล้ว”

“เช่นนั้น ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”

หลานเยาเยาร่างกายผอมบาง อุ้มพระราชธิดาออกไปข้างนอกผู้เดียว คาดว่าคงเปลืองแรงน่าดู เขาคิดว่าเขาน่าจะช่วยเหลือนางได้

“ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น เจ้าไปรอก่อนเถอะ เปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดออกด้วย”

คราวนี้ จื่อซีมิมีคำจะกล่าวแล้ว จึงทำได้เพียงจัดการตามความเห็นของนาง

เพียงแต่ว่า เมื่อเห็นหลานเยาเยาลากพระราชธิดาจาวหยางออกมาอย่างหยาบกระด้าง เขาอ้าปากกว้างจนสามารถยัดไข่เป็ดฟองใหญ่เข้าไปได้ถึงสองฟอง!

จากนั้นจึงยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาให้นางด้วยความอัศจรรย์ใจ……