บทที่ 22 ตรวจดีเอ็นเอ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เด็ก ?

เด็กอะไร ?

มือที่จะผลักประตูของพิชญาหยุดลงโดยไม่รู้ตัว ในหัวสมองคิดไปถึงเด็กคนหนึ่งที่หน้าตาละม้ายคล้ายนัทธี ในใจก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา

ในห้องทำงาน นัทธียังคงพลิกดูเอกสารที่อยู่ในมือ ดวงตาก็สะดุ้งเล็กน้อย “เขายังมีน้องสาวอีกคน ? ”

“ใช่ครับ พวกเขาเป็นแฝดคนละฝา พี่ชายชื่ออารัณ น้องสาวชื่อไอริณ ตอนนี้เข้าเรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลซันไชน์ ”มารุตตอบ

ฟังมาถึงตรงนี้ พิชญาก็หน้าถอดสี

พี่ชายกับน้องสาว แล้วยังนามสกุลศรีสุขคํา เห็นได้ชัดว่านั่นหมายถึงเด็กสองคนที่อยู่กับวารุณี

ไม่คิดว่านัทธีจะเคยเห็นเด็กหนึ่งในสองคนแล้ว อีกทั้งยังเกิดความสงสัย ด้วยนิสัยของเขา หากสงสัยอะไรแล้วก็จะสืบค้นจนได้เรื่อง หากพบว่าเด็กทั้งสองคนเป็นลูกของเขาจริงๆ งั้นเรื่องที่เธอโกหกเมื่อครั้งก่อนก็คงจะปิดไม่มิดแล้ว

ถึงตอนนั้น เขาคงไม่ปล่อยเธอไว้แน่

ทำยังไงดี ?

สีหน้าของพิชญาซีดเผือด ในใจหวาดกลัวอย่างที่สุด

ในตอนนี้เอง นัทธีที่อยู่ในห้องทำงานก็จ้องมองไปยังเอกสารของเด็กทั้งสองคน ดวงตากะพริบวูบไหวไปมาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ผ่านไปสักพัก เขาวางเอกสารลงแล้วพูดเสียงเข้มว่า“ ให้โรงเรียนอนุบาลซันไชน์จัดการตรวจร่างกาย ก่อนเลิกงาน เก็บตัวอย่างเลือดของเด็กสองคนนั้นมา”

“ท่านประธานคุณต้องการตรวจดีเอ็นเอของเด็กสองคนนั้น ? ” มารุตถาม

นัทธีไม่ปริปากพูดอะไร

มารุตพยักหน้า “ผมทราบแล้วครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าตึกๆๆดังใกล้เข้ามา พิชญาที่อยู่นอกห้องก็หันซ้ายมองขวา และเห็นห้องทำงานที่อยู่ข้างๆของเลขา จึงได้เปิดประตูเข้าไปแล้วหลบซ่อนตัวเอาไว้

เลขาที่อยู่ด้านในเห็นเธอบุกเข้ามา ต่างก็พากันตกใจ

“ผู้จัดการพิชญา คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?” เลขาธิการถามเธอด้วยรอยยิ้ม

พิชญาไม่ได้สนใจ เธอแนบตัวไปกับประตูแล้วมองส่องผ่านตาแมวดูภาพภายนอก เมื่อเห็นว่าร่างของมารุตได้หายเข้าไปในลิฟต์แล้ว จึงได้เปิดประตูออกมา

ยังดี ที่ไม่ถูกจับได้

พิชญาตบไปที่หน้าอกตัวเอง แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของเธอก็มืดมน

นัทธีต้องการตรวจดีเอ็นเอลูกของวารุณี เพื่อยืนยันว่าใช่ลูกของเขาหรือเปล่า แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง !

ไม่ว่าจะเพราะอยากที่จะกดวารุณีอยู่ภายใต้อำนาจ หรือเพราะตำแหน่งคุณภรรยาของนัทธีในอนาคตเธอต้องหยุดยั้งมันเอาไว้

“โรงเรียนอนุบาลซันไชน์……”

เมื่อคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อครู่ พิชญาก็ยิ้มร้าย ในใจมีแผนขึ้นมา

ตอนบ่าย วารุณีทำงานเสร็จก็มองดูเวลา เห็นว่าใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว ก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาล

ในตอนนี้โรงเรียนอนุบาลนั้นเลิกเรียนไปนานแล้ว และนักเรียนต่างก็ทยอยกันกลับจนเกือบหมดแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ยังอยู่ในโรงเรียน รอพ่อแม่เลิกงานแล้วมารับกลับบ้าน

เมื่อวารุณีมาถึง ก็เห็นอารัณกับไอริณสองพี่น้องกำลังเล่นตัวต่อไม้อยู่ในห้องเรียน

ไอริณผู้เป็นน้องเมื่อเห็นเธอ ก็โยนตัวต่อไม้ในมือทิ้งแล้วกระโจนเข้าอ้อมแขนเธอ ร้องไห้แต่ทว่าไร้เสียงสะอื้น

เมื่อวารุณีได้ยินก็ปวดใจยิ่งนัก ลูบหลังลูกสาวเบาๆแล้วพูดปลอบ จากนั้นหันมองไปยังลูกชาย “ลูกรัก น้องเป็นอะไร ?”

อารัณผู้เป็นพี่ถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ พูดอย่างจนใจไปว่า“ โดนฉีดยา”

“ ฉีดยา ?”

“ครับ ทางโรงเรียนได้ตรวจสุขภาพเมื่อตอนบ่าย ทุกคนโดนฉีดยาแล้วก็เจาะเลือด”อารัณถกแขนเสื้อขึ้น ให้วารุณีดูแขนที่มีรอยจุดแดงๆ

วารุณีถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เธอคิดว่าถูกเด็กคนอื่นรังแกเสียอีก

เธอตกใจกลัวไปหมด !

“พอแล้วนะลูก ไม่ร้องไห้แล้วนะ หม่ามี๊เป่าให้ เป่าแล้วก็ไม่เจ็บแล้วนะ ”วารุณีปลอบลูกสาว

“ได้ หม่ามี๊เป่า”ไอริณร้องไห้กระซิกแล้วยกแขนป้อมๆให้เธอเป่า

วารุณีก้มศีรษะลงแล้วเป่าไปสองสามที แต่ก็ไม่ลืมลูกชายคนโต หันไปกวักมือเรียกลูกชาย “อารัณก็มาด้วย หม่ามี๊เป่าให้ ”

“ผมไม่เจ็บสักหน่อย”แม้อารัณจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ยื่นแขนมาตรงหน้าของวารุณี

วารุณีมองไปที่เขาแวบหนึ่ง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ไม่รู้ว่าความปากกับใจไม่ตรงกันและหยิ่งทะนงตนแบบนี้ไปเรียนรู้มาจากใครกัน

หลังจากที่เป่ารอยเข็มฉีดยาบนแขนของเด็กทั้งสองคนแล้ว วารุณีก็พาเด็กทั้งสองคนออกจากโรงเรียนอนุบาล

ด้านนอกของโรงเรียนอนุบาลมีรถคันหนึ่งที่ไม่โดดเด่นเท่าไร ชายคนหนึ่งมองดูทิศทางที่สามแม่ลูกเดินไป หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออก “ท่านประธานครับ เด็กสองคนนั้นถูกคนเป็นแม่มารับกลับไปแล้วครับ ”

“อืม”นัทธีตอบกลับด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง จากนั้นก็วางสายไป

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ถามว่าแม่ของเด็กสองคนนั้นเป็นใคร

ที่เขาสนใจ มีเพียงเด็กสองคนนั้นเท่านั้น ส่วนแม่ของเด็กนั้น เขาแทบไม่สนใจเลย

“ท่านประธานครับ ผลตรวจออกมาแล้วครับ”ในตอนนี้เอง มารุตได้ถือซองใส่เอกสารเดินเข้ามาในห้องทำงาน

นัทธีหรี่ตาลง “เป็นยังไง?”

มารุตส่ายหน้า แล้วยื่นซองเอกสารนั้นให้กับเขา “พวกเขาไม่ใช่ลูกของคุณครับ”