ทั้งค่ายวุ่นวายไปหมดเลย เราเดินผ่านแถวของทหารนาวิก ในขณะที่มุ่งหน้าไปที่ตรงส่วนรอบนอก ตรงที่มีรถจอดอยู่เพียบเลย มีรถที่หน้าตาดูเหมือนรถจี๊ปคันใหญ่ รถบรรทุกคันใหญ่อีกหลายคัน แล้วก็มีรถหุ้มเกราะที่มีปืนกลกระบอกนึงยื่นออกมาจากหลังคา แล้วก็มียานพาหนะที่ถูกแยกชิ้นส่วน ถูกถอดล้อออกมาแล้วด้วยเหมือนกัน
ตรงกลางทั้งหมดนั้น พวกเราเห็นรถที่รูปร่างประหลาดที่สุด 2 คันเด่นออกมาจากรถคันอื่นๆ รอบๆ เลย มันมีส่วนที่ดูกระปุ่มกระป่ำ เป็นเหลี่ยมมุม ตั้งอยู่บนเสาหนาทรง 8 เหลี่ยม ดูเหมือนมีร่องส่องอยู่เยอะเลย เห็นเหมือนกับว่ามีส่วนดาดฟ้ายกสูงที่ติดเกราะอยู่ข้างบนด้วย มีทหารหลายนายกำลังทำงานเชื่อมเหล็กส่วนนี้อยู่บนหลังคารถ ส่งทั้งเสียงดังทั้งประกายไฟออกมาเลย
อะไรล่ะเนี่ยเจ้านี้น่ะ? ฉันหันไปมองโทริโกะ แต่เธอก็ส่ายหัวตอบว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่ามกลางเสียงเชื่อมเหล็กที่ดังหนวกหูนี่ ร้อยโทก็พูดขึ้นมา
“กองกำลังอิสราเอลมีรถลำเลียงพลหุ้มเกราะชื่อว่าแนกมาชอนอยู่ เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการต่อสู้ในรัฐปาเลสไตน์และปราบปรามกองทหาร จุดเด่นอยู่ที่การถอดป้อมปืนใหญ่ออกแล้วทำการติดตั้งห้องรบสั่งการด้วยรีโมทเรียกว่า [ด็อกเฮาส์] เข้าไปแทน ทำให้สามารถสังเกตการณ์ทางช่องหน้าต่างได้ และสามารถหันปืนยิงไปได้ทั่วทุกทิศทาง เป็นยานพาหนะหุ้มเกราะรูปร่างเหมือนกับเม่นที่ออกแบบมาเพื่อการสังหารมนุษย์โดยเฉพาะเลยล่ะครับ”
มีอาวุธรูปร่างน่าเกลียดแบบนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย…? ร้อยโทก็ยังอธิบายต่อโดยที่ไม่ทันสังเกตว่าฉันแอบรู้สึกไม่สนใจไปนิดนึงแล้ว
“พวกเรานำ MRAP (รถหุ้มเกราะต้านทานทุ่นระเบิดและซุ่มโจมตี) มาที่ออเธอร์ไซด์ด้วยก็จริง แต่ภัยอันตรายที่เราต้องเผชิญอยู่ที่นี่นั้นไม่ใช่วัตถุระเบิดหรือผู้ก่อการร้ายที่มีอาวุธต่อต้านรถถัง พวกแบร์แทรปนั้นเป็นเหมือนกับระเบิดแสวงเครื่อง เพราะเป็นอันตรายที่อยู่ตามเส้นทางเลย แต่ว่า… ถ้าจะให้เทียบล่ะก็ สถานการณ์ของพวกเราก็คงเป็นเหมือนกับทหารของกองกำลังป้องกันอิสราเอลที่กำลังลาดตระเวน อยู่ในภารกิจ หรือรักษาความมั่นคงอยู่ในพื้นที่รัฐปาเลสไตน์เลยครับ เพราะแบบนั้น พวกเราจึงได้สร้างมันขึ้นมาครับ แนกมาชอน ด็อกเฮาส์ของพวกเราเอง”
เขาพูดเหมือนกำลังอวดของเล่นของตัวเองอยู่ยังงั้นแหละ
“เจ้านี่ที่ติดอาวุธชิ้นใหญ่ไว้ส่วนหน้าคือ [กอร์กอน (Gorgon)] ออกแบบยึดต้นแบบจากรถหุ้มเกราะเก็บกู้ระเบิดบัฟฟาโล่ครับ ส่วนเจ้ารถบัสส่งนักเรียนหุ้มเกราะข้างหลังนี่ก็คือ [โอว์แบร์ (Owlbear)] เจ้านี่มีรถหุ้มเกราะ RG-33L เป็นต้นแบบ พวกมันทั้งคู่มีด็อกเฮาส์ ที่มีต้นแบบมาจากป้อมปืน OGPK ดัดแปลง ทำให้สามารถทำการโจมตีได้รอบทิศทาง พวกเรารู้ดีอยู่แล้วครับว่าทันทีที่เหยียบเข้ากับแบร์แทรป ทุกอย่างมันก็จบ แต่เจ้าพวกนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเราแล้ว การมีพวกเธออยู่ที่นี่ด้วย ช่วยให้พวกมันได้ทำหน้าที่จนสำเร็จได้แน่ ผมดีใจมากเลยล่ะครับ”
“ส- สุดยอดเลยนะคะ”
TN: Nagmachon เป็นรถ IFV (Infantry Fighting Vehicle : รถรบทหารราบ หน้าตาประมาณนี้ครับ (รูปจากมังงะ)
Buffalo ก็คือ MRAP (Mine-Resistant Ambush Protected : รถหุ้มเกราะต้านทานทุ่นระเบิดและซุ่มโจมตี) ที่ออกแบบโดยอิงจากรถป้องกันทุ่นระเบิดอย่างแคสเปอร์ แต่เพิ่มล้อเข้าไปเป็น 6 ล้อ และมีแขนเป็นข้อขนาดใหญ่ ที่ใช้สำหรับการถอดและทำลายระเบิดติดตั้งเอาไว้ด้วย
ส่วน Objective Gunner Protection Kit (OGPK) เป็นเกราะดัดแปลงที่ติดตั้งบนป้อมปืนของรถหุ้มเกราะ ซึ่งจะเห็นได้ในรูปนะครับ มันก็คือส่วนคล้ายสี่เหลี่ยมบนหลังคารถนั่นเอง
ฉันพยายามจะตามให้ทันเท่าที่จะพอกล้อมแกล้มไปได้ ไม่ค่อยเห็นเลยว่าเจ้าต่อบทสนทนาการอวดของของชายคนนี้ต่อไปจะมีประโยชน์อะไร ฉันก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ ฉันควรจะตอบว่ายังไงดี
“ว้าว”
นั่นคือทั้งหมดที่โทริโกะพูด แต่แค่นั้นก็ทำให้ร้อยโทยิ้มแล้ว ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองเจ้าสัตว์ประหลาดเกราะและป้อมปืนนั่นอย่างภาคภูมิใจ
“รอที่นี่อีกครู่นึงนะครับ อีกเดี๋ยว ทุกคนก็จะมารวมพลกันแล้ว”
หลังจากที่การเชื่อมเหล็กเสร็จสิ้นเรียบร้อย พวกทหารก็ปีนลงมาจากหลังคารถกัน ร้อยโทออกคำสั่งอะไรซักอย่างเร็วๆ แล้วก็มีทหารเหลือยืนเฝ้ายามอยู่ 2 คน ส่วนที่เหลือก็รีบวิ่งออกไปกันหมดเลย
“…คิดว่าเราควรจะชมให้มากกว่านี้ซักหน่อยหรือเปล่า?”
“ถ้าเขาพอใจ ฉันว่ามันก็ดีแล้วนะ ช่วยส่งเจ้าพวกนั้นมาให้ฉันหน่อยได้สิ โซราโอะ?”
“อันไหนเหรอ?”
“หมดนั่นนั่นแหละ”
พอฉันยื่นปืนกับส่วนเสริมปืนทั้งหมดให้เธอ โทริโกะก็นั่งลงกับพื้นตรงที่เธออยู่นั่น แล้วก็เริ่มแยกส่วนประกอบปืนออก ฉันนั่งบนล้อที่ใหญ่สุดๆ ไปเลยของกอร์กอน เหม่อมองพวกทหารเตรียมการถอนกำลังกันอย่างรีบเร่ง พวกเขาจะทำยังไงกับเต้นท์นะ? ฉันคิดอยู่แบบนั้น แล้วพวกเขาก็ไม่มีทีท่าจะพับเก็บกันเลย ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ร้อยโทบอกเลยนะ เขาหมายความว่า พวกเขาจะทิ้งของส่วนใหญ่เอาไว้ที่นี่นี่แหละ
อืม… แสดงว่า เราค่อยมาเก็บเจ้าพวกนี้ทีหลังก็ได้งั้นสินะ?
ฉันมองทหาร 2 นาย เดินเอาสายสีแดงกับดำวางไปรอบๆ ค่าย พลางคิดอยู่ว่าจะมาปล้นค่ายเอาอะไรไปบ้างดีหลังจากนี้ โทริโกะก็พูดขึ้นมา
“ร้อยโทเขาให้มาแต่ชิ้นส่วนเบาๆ จริงๆ นะเนี่ย แบบนี้เผลอๆ จะเบากว่าเดิมซะอีก”
เธอพูดขึ้นมาอย่างประทับใจ โทริโกะถอดถุงมือยุทธวิธีของเธอออก ก่อนจะจัดการกับการแยกชิ้นส่วนปืนต่อ และการสับเปลี่ยนชิ้นส่วนอย่างคล่องมือเลย นิ้วโปรงแสงเหมือนวิญญาณของเธอเลื่อนไหลผ่านไปตามตัวปืนยังกับว่ากำลังเล่นเครื่องดนตรีอยู่งั้นแหละ ฉันก็เผลอมองจนเหมือนกับจ้องเธอไปแล้ว
“…โทริโกะเนี่ย เก่งจังเลยนะ”
“แยกชิ้นส่วนปืนน่ะ ถ้าได้ลองจริงๆ ก็ง่ายจนน่าตกใจเลยนะ”
“เรื่องนี้ เธอก็เรียนมาจากที่บ้านด้วยเหมือนกันเหรอ? พวกเขาเป็นคนแคนาดาสินะ?”
“อืม ใช่แล้ว ฉันเคยเล่าให้ฟังด้วยเหรอ?”
“ขอโทษนะ ได้ฟังมาจากคุณโคซากุระน่ะ”
“อ้อ หม่าม้าน่ะใช่ อยู่สังกัดในกองทัพแคนาดาน่ะ”
“งี้นี่เอง”
นึกว่าพ่อของเธอเป็นทหารซะอีก เรื่องนี้ทำเอาตกใจเหมือนกันนะเนี่ย จะว่าไป ตอนนั้นที่เธอยิงปืนเป็นรหัสมอร์ส เธอก็พูดถึงแม่ด้วยนี่นะ
“เอาล่ะ เรียบร้อย ลองถือดูสิ”
ปืนที่เธอยื่นให้มันเบาจนน่าตกใจเลยจริงๆ ด้วย เทียบกับหน้าตาของมันแล้วเนี่ย สีของชิ้นส่วนเสริมสีน้ำตาลเหมือนดินดูโดดออกมาจากส่วนลำกล้องปืนสีดำพอควรเลยเหมือนกัน แบบนี้ก็ดูมีสไตล์ไปอีกแบบอยู่… ล่ะมั้ง?
“โห รู้สึกเบาจริงๆ ด้วยแฮะ”
“ใช่มั้ยหล้า? ลองใช้ดูซักพักแล้วกัน ไว้ถ้าเกิดรู้สึกว่ามันใช้งานไม่ค่อยเข้ากับโซราโอะก็บอกนะ ฉันจะได้ช่วยปรับแต่งให้อีกที”
“ไม่รู้สิว่าจะได้ใช้บ่อยขนาดนั้นหรือเปล่า”
“ช่วยยืนอยู่ตรงนั้นแป๊บนึงได้มั้ย? ถือปืนด้วยมือ 2 ข้างเลยนะ”
ฉันยืนอยู่หน้ากอร์กอนเหมือนเดิม ส่วนโทริโกะก็ถอยออกไปประมาณ 10 ก้าว แล้วใช้นิ้วทำเป็นกรอบสี่เหลี่ยม เหมือนกับว่ากำลังถ่ายรูปฉันอยู่ยังงั้นแหละ
“อื้อ เหมาะดีเลยล่ะ”
“นั่น ฉันควรดีใจมั้ยล่ะเนี่ย?”
“ชมแล้วก็รับไปเถอะน่า”
“อืม ก็ได้ แล้วฉันควรจะถือไว้ยังไงเหรอ?”
“เดี๋ยวฉันสอนให้เอง มาทางนี้สิ”
โทริโกะดึงมือฉันอ้อมไปข้างหลังกอร์กอนกับโอว์แบร์; ทหารยาม 2 คนก็มองพวกเราอย่างสงสัย
“พื้นฐานก็ เอาพานท้ายวางไว้หน้าไหล่แบบนี้ แล้วก็มองผ่านกล้องเล็ง เธอจะใช้มือซ้ายจับที่กระโจมมือก็ได้ หรือจะจับที่กริปมือหน้าก็ได้เหมือนกัน บางคนจับที่ตัวแมกกาซีนเลยก็มีนะ”
“แบบนี้เหรอ? ใช่หรือเปล่า?”
ตอนที่ฉันกำลังต่อสู้กับปืนไรเฟิลจู่โจมที่ไม่คุ้นเคยนี่ โทริโกะก็เอื้อมมืออ้อมมาจากข้างหลัง ช่วยจัดท่าทางให้
“อย่ากางศอกกว้างแบบนั้น พยายามจับให้กระชับ”
เธอโอบแขนรอบตัวฉันจากข้างหลัง กดศอกฉันเข้ามา แล้วเอามือทั้ง 2 ข้างมาจับที่ปืนเอาไว้ ฉันเห็นหน้าของโทริโกะอยู่ข้างๆ ฉันเลย ใกล้จนแก้มแทบจะชนกันอยู่แล้ว ตาของเธอไม่ได้มองที่ฉันหรอกนะ มองออกไปไกลๆ ต่างหาก แต่เพราะอะไรไม่รู้ ฉันถึงรู้สึกวุ่นวายอยู่ข้างในยิ่งกว่าตอนที่เธอจ้องตาฉันซะอีก ฉันดึงความสนใจของตัวเองออกมาจากผมยาวสีบลอนด์ทองของเธอ แล้วพยายามตั้งสมาธิอยู่ที่ว่าปากกระบอกปืนกำลังชี้ไปที่ไหน
“ให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังหลบอยู่หลังปืน ถ้าขยับโดยที่ใช้แขน 2 ข้างพยุงปืนให้นิ่ง ปืนก็จะขยับไปตามที่ร่างกายต้องการเอง”
การสอนของเธอเข้มงวด ดูต่างจากเธอตอนปกติไปนิดหน่อย แม่ของเธอที่เป็นคนสอนวิธีการใช้ปืนคงจะเป็นประมาณนี้เหมือนกันล่ะมั้ง
“ปืนนี้ยาวกว่าปืนพก เพราะงั้นต้องสังเกตอยู่เสมอว่าปากกระบอกปืนกำลังชี้ไปทางไหน ห้ามเอานิ้วสอดเข้าไปในโกร่งไกปืนเด็ดขาดถ้าไม่ได้คิดจะยิง เข้าใจนะ?”
“ข- เข้าใจแล้ว”
“เยี่ยม!”
หลังจากที่เธอสอนวิธีการถอดแมกกาซีน แล้วก็อธิบายเรื่องของเซฟตี้กับการเลือกโหมดยิงเรียบร้อยแล้ว ฉันกับโทริโกะหันกลับไปยืนตรงที่ที่เราอยู่ก่อนหน้านี้กัน
ตอนที่เราเดินมาที่หน้ากอร์กอน เราก็เจอกับแถวของทหารนาวิกโยธินหลายสิบคนพร้อมอาวุธครบมือมองมาที่พวกเรา พันตรีกับร้อยโทยืนอยู่หน้าพวกเขา และพันตรีก็กำลังอยู่ระหว่างพูดกับคนของเขาเป็นภาษาอังกฤษอยู่พอดี
พันตรีมองมาทางเรา แล้วก็ผายมือออกกว่ามาทางพวกเรา พร้อมกับแนะนำพวกเราด้วย ฉันรู้สึกเหมือนว่าเขาแฝงความหมายอะไรซักอย่างในประโยคที่ว่า The Girls have come to guide us out of the Otherside. (เดอะเกิร์ลส์มานำทางพวกเราออกจากออเธอร์ไซด์แล้ว) อยู่เลย
สายตาคมกริบพวกเหล่าทหารนาวิกหันมาจ้องเขม็งที่พวกเราพร้อมกับใบหน้าแก้มตอบๆ ทำเอาฉันนิ่งตัวแข็งเลย บางทีฉันก็อาจจะควรพูดอะไรซักอย่างแบบ ‘เออ หวัดดีค่ะ’ นะ แต่ความสิ้นหวังของทุกคนที่เหมือนกับว่าเหลืออยู่แค่นิ้วเดียวแล้วที่เกี่ยวเอาไว้ไม่ให้พวกเขาตกลงสู่ก้มเหวแห่งความสิ้นหวังนั่นน่ะ ไม่ใช่อะไรที่ฉันจะทำได้แค่ยืนยิ้มโง่ๆ รับได้เลย
พันโทพยักหน้าให้ร้อยโทแล้วก็ถอยหลังไปก้าวนึง ร้อยโทก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับส่งเสียงตะโกนอย่างดัง
“Okay, guys! (เอาล่ะ! ทุกนาย!) Get in the vehicles! (ขึ้นรถ!) Move it! (ไปได้!)”
“““Hoorah! (โอ้!)”””
เหล่าทหารนาวิกก็ร้องตะโกนสร้างความฮึกเหิม ก่อนที่ทุกคนจะออกเคลื่อนไหวพร้อมกันทันทีเลย
เสียงเครื่องยนต์ดีเซลของกอร์กอนกับโอว์แบร์เริ่มส่งเสียงทำงานดังขึ้นมา นายทหารรวมตัวกันที่รถคันอื่นๆ ที่ยังวิ่งได้ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ทุกคนจะได้ขึ้นรถ คนที่เหลืออยู่ก็ยืนกระจายออกด้วยระยะห่างที่เท่าๆ กัน และเตรียมพร้อมปืนเอาไว้ในทุกทิศทาง
พันตรีเดินมาหาฉันกับโทริโกะที่กำลังยืนอยู่ด้วยกัน
“พวกเราจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดที่เหลืออยู่ พวกเธอ 2 คนเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเราแล้ว ได้โปรด พาพวกเรากลับถึงบ้านทีนะ”
พันตรีบอกกับพวกเราแบบนั้น
ฉันรู้สึกเหมือนถูกข่มขวัญจนทำได้แค่พยักหน้า พูดอะไรไม่ออกซักคำเลย
แล้วร้อยโทก็เดินกลับมา พร้อมกับโบกมือให้เรา
“พวกเธอขึ้นรถนำเลยนะ รบกวนเรื่องการนำทางให้พวกเราด้วยนะครับ”
พวกเราปีนขึ้นกอร์กอนตามที่ถูกร้อยโทลากตัวมา ตัวรถนี่สูงสุดๆ ไปเลย: พวกเราปีนขึ้นจากทางด้านข้าง แล้วก็ปีนขึ้นบันไดขึ้นไปตรงห้องรบที่ติดเพิ่มเข้าไปใหม่ พอพวกเราลอดตัวผ่านประตูเล็กบนหลังคาลงมา ฉันก็ได้เห็นพื้นที่ข้างในที่กว้างพอควรเลยอยู่รอบตัวรถ รู้สึกเหมือนกำลังมองลงมาจากหลังคาบ้าน 2 ชั้นเลย ด้านข้างของพวกเราก็มีแขนกลที่เอาไว้ใช้จัดการกับทุ่มระเบิดอยู่อันนึง ดูๆ ไปก็เหมือนเป็นส้อมยักษ์พับได้ยังไงไม่รู้สิ
โทริโกะปีนตามหลังฉันมา แล้วพวกเราก็นั่งลงข้างๆ กันบนป้อมปืน เครื่องยนต์ก็หมุนอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่รถจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ กอร์กอนเป็นรถนำ มีโทริโกะ ร้อยโท แล้วกับฉันนั่งอยู่ ส่วนโอว์แบร์ก็วิ่งอยู่ข้างหลัง โดยมีรถคันอื่นอีก 3 คันวิ่งคั่นกลาง แถวของรถค่อยๆ เดินหน้าไปอย่างช้าๆ ออกจากค่ายพักในสถานีคิซารากิ ตอนนี้เวลาบ่ายสามแล้ว ก่อนอาทิตย์จะตกดิน เหลือเวลาอีกไม่เยอะแล้วสิ