ดรูอิดนางไม้ ดาฟเน่

 

 นางอายุ 17 ในปี 513 ฉะนั้นนางยังคง 16 ในตอนนี้

 

 สามารถหาตัวนางได้ตามสวนพฤกษชาติหรือชายป่ารอบเขตวังจอมมาร

 

 งานอดิเรกของนางคือการอาบแดด นางถือเป็นสาวงามอันดับต้นเลยทีเดียว

 

 อัศวินบลัดแวมไพร์ ซิลาส

 

 17 ปีเช่นกัน มีพื้นที่ประจำอยู่ตามลานประลองและพิพิธภัณฑ์ศิลปะ

 

 แม้จะขัดกับรูปร่างและภาพลักษณ์ งานอดิเรกของเขาคือการทำความสะอาดและวาดรูป

 

 มือแม่นธนูเอลฟ์ เซลีน  

 

 เด็กที่สุดใน 3 ตนนี้ นางอายุ 14 ปี สามารถพบได้ที่เล้าม้า ลานฝึก และหอสมุด

 

 ภาพนางนั่งพิงม้าอ่านนิยายโรแมนติกหัวเราะคิกคัก เป็นภาพอันอบอุ่นให้แก่ทุกสายตาที่มองผ่าน

 

 เมื่ออินกองนึกถึงเด็กเหล่านี้ ชื่อ รูปร่างหน้าตา ของโปรด สิ่งเกลียด ของทั้งหมดก็ผุดเข้ามาในหัว

 

‘เราต้องเกณฑ์พวกนี้มาให้ได้ซักคน’

 

 เมื่อบทกวีแห่งผู้กล้าเริ่มขึ้นในปี 513 ทั้งหมดได้สังกัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย แต่ในตอนนี้ทั้งสามยังคงไปไหนตามลำพัง

 

‘เราเจอนาตาช่าที่โรงทาส แวนเดลก็ขึ้นอยู่ว่าจะเอาชนะได้เมื่อไร ส่วนเซคตัมก็ป้วนเปี้ยนไปทั่วไม่แน่นอน’

 

 ซัคคุบัสนาตาช่า หนึ่งในองครักษ์ประจำตัวของแซเฟียร์

 

 แวนเดล โอเกอร์ทรงพลังที่เป็นทัพหน้าของทีม

 

 ส่วนเซคตัมก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้คุมวิญญาณที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติกาล

 

 เนื่องจากเขาพบนาตาช่าที่โรงทาส เขาจึงต้องรวบรวมทุนทรัพย์ให้มากพอก่อนไปพบนาง

 

‘ตอนนั้นดวงดีที่เจอเซคตัม… แต่คิดไว้แค่นี้ก่อนก็พอ’

 

 หลังจากที่เพ้อฝันถึงเหล่าลูกรักเมื่อตอนเล่นแซเฟียร์ อินกองก็นึกถึงตัวช่วยที่สำคัญขึ้นมาได้

 

 กาลาฮัด พ่อที่แท้จริงของเคทลินและผู้ที่เก่งกาจที่สุดของห้าแม่ทัพองครักษ์

 

‘ถ้าอยู่ฝ่ายเดียวกับเคทลิน ก็น่าจะดึงมาเป็นพวกได้’

 

 แต่เขายังมองไม่เห็นหนทางพบปะกับแม่ทัพที่เหลืออีกสี่ แม้แต่แซเฟียร์ก็ต้องมีเกียรติยศขั้นสูงถึงจะมีโอกาสเข้าพบ

 

‘เพราะงั้นดาฟเน่ ซิลาส เซลีน คือเป้าหมายในตอนนี้ ส่วนที่เหลือก็ค่อยคิดเอา’

 

 อินกองพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม

 

‘จะว่าไป เราอยู่ไหนแล้วเนี่ย?’

 

“พวกเรามาถึงแล้วเพคะ”

 

 เสียงของฟลอร่าดังขึ้นราวกับนางอ่านความคิดของอินกองได้ คารัคที่เดินตามมาร้องอย่างตื่นเต้น

 

“โอ้”

 

 กำแพงหินตั้งล้อมรอบตัวบ้าน ภายในมีสวนอันกว้างขวางพร้อมคฤหาสน์เรือนคู่ตั้งอยู่ ราวกับหลุดมาจากภาพวาดเลยทีเดียว

 

 เรือนด้านทิศตะวันออกถูกตกแต่งด้วยสีเขียวเถาวัลย์คู่กับหลังคาสีแดง ให้ความรู้สึกอันอบอุ่นเรียบง่ายมากกว่าหรูหรา

 

 อินกองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ที่นี่จะเป็นบ้านพักของเขาไปอีกนาน

 

 เมื่อเขาก้าวผ่านประตูรั้วเข้ามา สิ่งที่ถูกกำแพงหินบดบังไว้ก็ปรากฏขึ้น

 

 มีสิ่งของจากกระทรวงเกียรติยศพร้อมกลุ่มผู้รับใช้ของเขา ณ มุมหนึ่งของสวน

 

“ขอต้อนรับกลับบ้านครับองค์ชายฉัตร”

 

 จากกลุ่มที่นับได้ราว 10 ตน คุณลุงสูงอายุในชุดสูทน้ำเงินเดินออกมากล่าวต้อนรับเขา อินกองรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดกับภาพตรงหน้า

 

“กระผมได้ยินว่าองค์ชายย้ายบ้าน จึงรีบขนย้ายข้าวของมาเรียบร้อยแล้วครับ”

 

 แม้อินกองจะมั่นใจว่าไม่เคยพบ แต่ความรู้สึกอันคุ้นเคยก็บอกถึงตัวตนของบุคคลเหล่านี้ได้

 

‘น่าจะเป็นเหล่าผู้รับใช้ของฉัตร’

 

 เมื่อมองแล้ว ทั้งเก้าตนที่เหลือแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หกตนเหมือนจะเป็นบริวารประจำคฤหาสน์ ส่วนที่เหลือคือบ่าวรับใช้เดิมของฉัตร

 

‘หรือว่ามีคนแจ้งข่าวว่าเรากลับมาแล้ว?’

 

 พอมาคิดดู อินกองก็ไม่พบบ่าวรับใช้ออกมากล่าวต้อนรับเฟลิซี เคทลิน หรือคริสต์ที่ค่ายกลแต่อย่างใด ทั้งหมดที่มาเป็นผู้ติดตามกับสาวกที่คลั่งไคล้มากกว่า

 

 อินกองมองสำรวจคุณลุงและอีกสามตน ก่อนจะยิ้มอย่างประหลาดใจ

 

‘ไม่มีคนธรรพ์เลย’

 

 คนธรรพ์เลือดแท้จะมีกลิ่นกายที่คล้ายคลึงกับผลไม้ ซึ่งไม่มีกลิ่นที่ว่าจากบริวารของเขาสักตน ชัดเจนว่าทั้งหมดไม่ใช่คนธรรพ์ อันที่จริงมีสองตนที่ผิวเป็นสีโทนน้ำเงินเสียด้วยซ้ำ

 

 นี่ทำให้อินกองรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ ถึงประชากรคนธรรพ์จะลดน้อยไปมากขนาดไหน การที่ไม่มีคนธรรพ์เป็นบริวารรับใช้เจ้าชายของเผ่าเลย มันไม่ดูแปลกเกินไปหน่อยหรือ?

 

 บทบาทของฉัตรในบทกวีแห่งผู้กล้ามีน้อยมาก และเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกที่อินกองไม่รับรู้แน่นอน

 

‘เราต้องรู้ให้ได้’

 

 เนื่องจากตัวเขาในตอนนี้คือฉัตร สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องหาสาเหตุ

 

“ยินดีต้อนรับ พวกเราขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ/ค่ะ”

 

“เราเข้าใจแล้ว”

 

 อินกองกล่าวแนะนำคารัคกับฟลอร่า และเป็นอย่างที่เขาคาดทั้งหกตนเป็นบริวารประจำคฤหาสน์นี้

 

 หลังจากแนะนำตัวเป็นที่เรียบร้อย บริวารหญิงที่ดูอาวุโสสุดก็ก้มคำนับรายงาน

 

“ใต้ฝ่าพระบาทมีอาคันตุกะรอเข้าเฝ้าอยู่ด้านในเพคะ”

 

“แขก?”

 

 เขาเพิ่งจะย้ายบ้าน จะมีสักกี่คนเชียวที่จะรู้ว่าพบเขาได้ที่ไหน?

 สับสนไหม ทำไมตาลุงกับบริวารใหม่พูดแนะนำตัวธรรมดาจัง แต่บริวารเก่ารายงานราชาศัพท์? คนแปลก็งงเหมือนกัน แต่ใน raw เขียนแบบนี้ ก็เลยแปลแบบนี้ทั้งที่ยังงงๆ ლ(¯ロ¯”ლ)

 

‘ไม่สิ ต้องถามว่ามีใครรอพบเราด้วยหรอจะดีกว่า?’

 

 อินกองรีบเดินเข้าไปด้านใน

 

 ที่ห้องรับแขกมีสตรีสองนางนั่งพูดคุยกันอยู่ แน่นอนว่าอินกองคุ้นเคยกับใบหน้าทั้งสอง

 

“เฟลิซีนูนะ? เคทลินนูนะ?”

 

 เฟลิซีที่หายไปกับเหล่าสาวกนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ ส่วนเคทลิน ไม่ใช่ว่าเขานัดกับนางในตอนเย็น?

 

“เธอหายไปไหนมา? อย่าบอกนะว่าเดินมา?”

 

 อย่างที่เฟลิซีทัก การเดินทางส่วนใหญ่จะอาศัยพาหนะ มีน้อยนักที่จะเดินเท้า

 

 อินกองนั่งลงตรงข้ามทั้งคู่ก่อนจะถาม

 

“นูนะมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”

 

 เขาค่อนข้างแปลกใจในขณะที่เฟลิซีถอนหายใจออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก

 

“ฉัตร พรุ่งนี้เธอต้องเข้าร่วมประชุมสภาเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าเป็นการประชุมใหญ่ เธอเตรียมตัวพร้อมแค่ไหน?”

 

“เตรียมตัว?”

 

“เธอคงไม่คิดเข้าร่วมด้วยชุดแบบนั้นใช่ไหม?”

 

 เฟลิซีหรี่ตาลงจ้องมองเครื่องแต่งกายของเขา หากไม่นับเกราะที่เขาถอดออกแล้ว ก็เรียกได้ว่าเขายังใส่ชุดเดิมอยู่

 

“เอ่อ ครับ?”

 

 เครื่องแต่งกายเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน เฟลิซีกุมหน้าของนางด้วยมือทั้งสอง นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้น

 

“พรุ่งนี้จะมีการแถลงความดีความชอบของเธอในที่ประชุม รวมถึงเรื่องที่เธอช่วยฉันด้วย! ฉันไม่ยอมให้เธอใส่ชุดงี่เง่าแบบนี้หรอกนะ!”

 

 เจ้าหญิงลำดับที่หก เฟลิซี ดูมเบลด ได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าชายที่แต่งตัวไม่มีกาละเทศะและไร้รสนิยม

 

 แค่คิดนางก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นางรีบโบกปัดแล้วออกคำสั่งแก่น้องชายในทันที

 

“ไม่มีเวลาพอจะตัดชุดให้ใหม่ แต่ก็พอตกแต่งชุดที่เธอมีอยู่ได้ ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว”

 

“ฮะ? ตอนนี้?”

 

 แล้วแผนการที่เขาคิดจะตามหาดาฟเน่กับซิลาสละ?

 

 ทว่าเฟลิซีไม่รับฟังการคัดค้านแต่อย่างใด นางคว้าแขนของเขาไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว

 

“ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว”

 

 อินกองไม่รู้จะทำอย่างไร เขามองขอความช่วยเหลือไปยังคารัค หากแต่เจ้าออร์คก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เพราะเคทลินรีบลุกขึ้นจับมือของมันเอาไว้

 

“ฉันจะช่วยหาชุดให้คารัคเอง”

 

“ฮะ? ข้าก็ต้องเตรียมตัวด้วยรึ?”

 

 คารัคร้องออกมาอย่างตกใจ เคทลินหัวเราะออกมาก่อนผงกหัว

 

“องครักษ์ส่วนตัวต้องตามพวกเราเข้าไปด้วยอยู่แล้ว คารัคเป็นองครักษ์ของฉัตร เพราะงั้นก็ต้องแต่งตัวดีๆ ไม่ให้เจ้านายถูกนินทาได้”

 

“ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการให้เป็นอย่างดีเพคะ”

 

 เซร่าที่โผล่มาคุมตัวคารัคไว้กล่าวขานรับเคทลิน

 

&

 

 การประชุมสภาที่เขตวังจอมมารมีสองรูปแบบ

 

 อย่างแรกเป็นแบบทั่วไปในขณะที่อีกอย่างเป็นแบบพิธีการ

 

 ในแบบทั่วไปจะมีเพียงเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่งจะต่างออกไปในแบบพิธีการ

 

 เจ้าหญิงเจ้าชายทั้งหมดที่อยู่ในเขตวัง แม่ทัพองครักษ์หลวงทั้งห้า เจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึงเหล่าขุนนางที่ต้องการยศฐาบรรดาศักดิ์ และที่สำคัญที่สุด ตัวจอมมารเองก็เข้าร่วมด้วย

 

 แม้การประชุมอย่างเป็นพิธีการจะไม่ได้จัดในทุกครั้งที่ปฏิบัติการเสร็จสิ้น แต่การปราบกบฏในครั้งนี้สำเร็จรวดเร็วกว่าที่คาดและมีทายาทเกี่ยวข้องถึงสี่พระองค์ จึงถือเป็นโอกาสพิเศษ

 

‘ความเป็นจริงกับเกมช่างต่างกันอย่างลิบลับ’

 

 ถึงเขาจะเคยเข้าร่วมมาแล้วหลายครั้งในเกม แต่พออยู่ในสถานการณ์จริง เขาก็อดยืนตื่นเต้นและประหม่าในห้องรับรองไม่ได้

 

‘ราชาแห่งเหล่าสุร…  จอมมารมิตร’

 

 จอมมารผู้ปกครองทั่วผืนแผนดินโลกมาร สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในเขตโลกมาร

 

 นอกจากอินกองจะต้องพบกับจอมมารที่ว่าแล้ว สายตาในที่ประชุมส่วนใหญ่จะต้องจดจ้องมาที่เขาแน่นอน

 

“องค์ชาย ข้าเกร็งไปทั้งตัวแล้ว”

 

 เจ้าออร์คถามอินกองด้วยเสียงอันสั่นเทา ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาแอบสงสัยว่าจะมีชุดพิธีการใหญ่พอจะให้คารัคสวมด้วยหรือ แต่แน่นอนว่าที่นี่คือวังหลวง มีอมนุษย์หลากสายพันธุ์มารวมตัวกันที่นี่ จึงหาชุดให้คารัคได้ไม่ยาก

 

 ภาพคารัคใส่ชุดพิธีการในผ้าคลุมสีแดงเป็นที่ประหลาดใจให้แก่เขาไม่น้อย แต่เขาไม่สามารถหัวเราะออกมาในสถานการณ์นี้ได้

 

“งั้นหรือ? ผมก็ประหม่าเหมือนกัน”

 

 อินกองใส่ชุดสีขาวที่เฟลิซีเลือกให้ ผมของฉัตรเป็นสีเงินจนออกขาวทำให้ดูแปลกที่จะใส่ชุดขาว แต่เขาไม่สามารถขัดคำสั่งนางได้

 

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเธอดูดีมาก”

 

“เวลา แค่ฉันมีเวลามากกว่านี้… ”

 

 เคทลินกับเซร่ายืนอยู่ไม่ห่างจากอินกองและคารัค ส่วนเฟลิซีก็ยืนอยู่คู่กับเดเลีย แม้เมื่อวานเฟลิซีจะได้เล่นแต่งตัวตุ๊กตากับอินกองเกือบทั้งวัน แต่เหมือนนางยังไม่ค่อยพอใจนัก

 

 เคทลินและเซร่าสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน ส่วนเฟลิซีกับเดเลียอยู่ในชุดประจำของเหล่าเอลฟ์รัตติกาล มีพู่สีดำประดับปกปิดส่วนที่เปิดเผยในเครื่องแบบปกติ

 

 ชุดของเคทลินออกแนวมิดชิดส่วนเฟลิซีให้ความรู้สึกเปิดเผย แน่นอนว่าทั้งคู่ต่างดูดีในแบบของตน

 

 คริสต์สวมชุดคลุมสีน้ำเงินออกดำให้ความรู้สึกราวกับนายพล ต่างไปจากมาดโจรปล้นฆ่าตามปกติ เขายืนพิงผนังห้องรับรองมองดูทั้งหมดก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาพูดคุยกับอินกอง

 

“ฉัตร นี่เป็นการเข้าร่วมประชุมสภาครั้งแรกของเอ็งก็จริง แต่มั่นใจได้เลย… ดาวเด่นวันนี้คือเอ็งแน่นอน”

 

 คริสต์และเคทลินสร้างผลงานในปฏิบัติการมากมาย ส่วนเฟลิซีก็สำรวจซากโบราณหลากหลาย

 

 แต่กรณีของอินกองต่างออกไป

 

 นี่เป็นภารกิจแรกของเขา และเขาสร้างความดีความชอบเยอะจนน่าตกใจ

 

 อาจเป็นปกติสำหรับพี่น้องตนอื่น แต่ไม่ใช่สำหรับฉัตร

 

 บ้างอาจจะคิดแค่ว่าเขาโชคดี

 

 แต่เป็นที่แน่นอนว่าจะมีสายตาเฝ้ามองเขามากขึ้น แววตาและการปรนนิบัติจากรอบข้างย่อมต่างออกไปจากเดิม

 

“เอ็งจะได้โชว์ให้ทุกสายตาในวังหลวงได้จดจำเอาไว้”

 

 คริสต์พูดพลางจ้องมองไปในดวงตาของอินกอง แล้วในที่สุดก็ถึงแก่เวลาอันสมควร ประตูห้องรับรองเปิดขึ้น

 

 การประชุมสภาครั้งแรกของอินกองเริ่มขึ้นแล้ว