ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
อาคิยามะชะงักมือที่ยกขวดน้ำขึ้นมาดื่ม เขามองมาที่ฉันด้วยสายตาเหมือนต้องการค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง
“เธอว่าฉันหน้าแก่?”
“ป่าวววว…นายคิดมากน่า ฮิๆๆ”
อาคิยามะเพียงแค่ยิ้มมุมปากแต่ยิ้มนั้นไปไม่ถึงตา มองแล้วน่ากลัวนิดๆ พอฉันทำท่าจะอธิบายแก้ตัว เขาก็ดันชิงพูดขึ้นมาก่อน
“นี่เธอแต่งตัวอะไรเนี่ย?”
อึก…รู้สึกเหมือนความมั่นใจอันน้อยนิดของฉันกำลังพังทลายลงมา ทำไมตาบ้านี่ต้องมาเล่นงานตรงจุดอ่อนนี้ของฉันด้วย
“ฉันจะแต่งอะ…อ๊ะ ทำอะไรของนายเนี่ย?”
ฉันโวยวายใส่อาคิยามะที่จู่ๆ ก็ดึงหมวกที่ฉันสวมอยู่ไป มือนึงจับหัวตัวเอง อีกมือนึงก็พยายามจะเอาหมวกคืน
“อยู่ในร่ม เธอจะใส่หมวกทำไม ทำตัวเป็นคนน่าสงสัยไปได้”
“ใครน่าสงสัยยะ เอาหมวกฉันมานี่นะ”
“คืนให้อยู่แล้วน่า ฉันไม่เอาไปหรอก แต่ใส่เฉพาะตอนออกไปข้างนอกก็พอ”
“ฉันจะใส่ตอนไหนมันก็เรื่องของฉัน เอามาาา…”
“เฮ้ยย..อย่าดิ เธอนี่ไม่กลัวเลอะเหงื่อฉันหรือไง?”
“เดี๋ยวฉันกลับไปอาบน้ำได้”
สุดท้ายก็ได้หมวกคืนมา อาคิยามะยืนมองฉันแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว แกล้งกันแล้วยังมีหน้ามายืนขำ ฮึยย..มันน่าเจ็บใจนัก
หันไปหาเซริที่แอบหลบไปอยู่กับรุ่นพี่คาวากุจิและคุณนาคาจิมะตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เห็นเธอมองมาด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ ฮึมม…นี่ก็พึ่งไม่ได้เลย
ฉันเอาหมวกที่ได้คืนมาสวมไว้บนหัวเหมือนเดิม
“นี่…”
อาคิยามะเรียกฉันและยื่นมือมาให้ ในมือเขามีลูกอมแบบที่คล้ายๆ กับที่ฉันกินประจำอยู่เม็ดนึง
อารมณ์ที่กำลังกรุ่นๆ อยู่เมื่อกี้เหมือนโดนกระตุ้นซ้ำขึ้นมาอีก แกล้งกันเสร็จแล้วก็ขำ ขำแล้วก็มาง้อด้วยลูกอม เห็นฉันเป็นเด็กน้อยมากซินะ
ฉันเงยหน้ามองอาคิมายะ ปั้นหน้าที่คิดว่าโหดที่สุด เขาจะได้รู้ว่าฉันโกรธ แล้วก็ได้ผล อาคิยามะมีสีหน้าเจื่อนลง
“โกรธหรอ?”
“เปล่า!!”
ฉันตอบเขาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เห็นเขายิ้มเจื่อนๆ แล้วก็รู้สึกซะใจ รู้ไว้ด้วยว่าโอโตเมะ อามายะ คนนี้ฆ่าได้หยามไม่ได้
“นี่ ไม่เอาหรอ?”
“อาคิยามะ นายเห็นฉันเป็นเด็กหรือไงถึงได้คิดว่าเอาลูกอมมาให้แล้วฉันจะอารมณ์ดีน่ะ”
“เปล่า…งั้นก็ช่างเถอะ ไปนั่งกันเถอะ พวกรุ่นพี่ไปนั่งกันหมดแล้ว”
อาคิยามะเก็บลูกอมใส่กระเป๋าไป แล้วเดินนำไปที่พวกรุ่นพี่กับเซรินั่งกันอยู่ เขานั่งลงตรงข้างคุณนาคาจิมะถัดไปเป็นรุ่นพี่คาวากุจิแล้วก็เซริที่นั่งบนเก้าอี้ตัวสุดท้ายของแถว ถ้าฉันจะนั่งก็ต้องไปนั่งข้างเขา หรือไม่ก็แยกตัวไปนั่งคนเดียว
ขณะที่ยืนคิดอยู่ว่าจะเอาไงดี รุ่นพี่คาวากุจิก็เรียกมาจากที่นั่ง
“อามายะ มานั่งซิ มัวยืนทำอะไรอยู่”
ฉันถอนหายใจแล้วเดินไปนั่งข้างๆ อาคิยามะ ไม่ใช่ว่าอยากจะนั่งข้างเขานักหรอกแต่จะให้ไปขอเปลี่ยนที่นั่งกับรุ่นพี่ก็ไม่ได้ ยัยเซรินั่นก็พร้อมจะแกล้งฉันทุกเมื่อ เหลือแค่คุณนาคาจิมะที่ถึงขอสลับที่ไปก็มีค่าเท่าเดิม
พอฉันนั่งอาคิยามะก็หันมายิ้มให้ ฉันเลยดึงหมวกลงมาปิดหน้ามากกว่าเก่าแล้วก้มหน้าไม่คุยด้วย
“ฉันขอโทษ”
คำขอโทษดังมาจากที่นั่งข้างๆ แต่ฟังแล้วดูไม่จริงใจเท่าไรนัก
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเธอ”
[‘เห็นอยู่ว่าตั้งใจชัดๆ’]
“แค่รู้สึกว่าเธอไม่ค่อยเหมาะกับหมวกอันนี้เท่าไร”
[‘เหมาะไม่เหมาะแล้วมันหนักตรงไหนของนายมิทราบ’]
“ฉันคิดว่าเธอดูดีกว่าถ้าไม่สวมมัน แต่ถ้าออกไปเจอแดดข้างนอกก็อีกเรื่อง”
[‘แล้วยังไง ฉันดูดีแล้ว…เอ๊ะ???” ’]
ฉันหันไปมองคนข้างๆ อาคิยามะกำลังมองฉันอยู่ เขาคงไม่รู้ซินะว่าเมื่อกี้ฉันเถียงเขาในใจและก็เผลอตกใจในใจไปแล้ว
“ปกติเธอแต่งตัวแบบนี้หรอ?”
ฉันมองเขา แต่ไม่ได้พูดอะไร คิดในใจว่าถ้าแต่งแล้วมันจะทำไม
“ฉันเพิ่งเคยเห็นเธอแต่งแบบนี้”
“…”
“ดูเข้ากับเธอดีนะ”
“อะไร แกล้งฉัน ว่าฉันแล้ว ตอนนี้จะกลับตัวมาพูดชมหรือไง”
“เปล่า ฉันไม่ได้ว่าเธอนิ แค่ถามว่าแต่งตัวอะไรมา”
“นั่นไม่เรียกว่าว่าหรอ?”
“นั่นเป็นคำถามซิ”
“อย่ามาแถ!!”
“ฉันเปล่า ก็หมวกของเธอมันไม่เข้ากับชุดของเธอจริงๆ ไม่เชื่อถามเพื่อนเธอดูก็ได้”
“เพื่อนฉันบอกว่าฉันแต่งตัวโอเคแล้ว”
“ตอนนั้นเธอยังไม่ได้สวมหมวกนี่น่ะ”
เสียงเซริดังแทรกขึ้นมา ฉันชะโงกหน้าไปมองเธอ เซริเลยรีบปิดปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วมันทำไม หมวกฉันไม่ดีตรงไหน”
อาคิยามะมองฉันอึ้งๆ เหมือนมองของแปลกเหนือธรรมชาติ
“เธอไม่รู้จริงๆ ดิ?”
“ไม่รู้อะไรห๊ะ!! พูดมาให้ดีๆ นะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมนายแน่”
อาคิยามะทำตาโตราวกับคำพูดของฉันมันน่าประหลาดใจมากมาย เขาหัวเราะเล็กน้อยแล้วเริ่มวิจารณ์หมวกของฉัน
“อย่างแรกเลย การแต่งตัวของเธอไม่ได้มีปัญหานะ ในความคิดฉัน ฉันว่ามันออกมาดีเลย แต่หมวกเนี่ยมันขัดกับลุคการแต่งตัวของเธอไปหน่อย”
“ขัดยังไง?”
“ก็เธอน่ะอยู่ ม.ปลายแล้ว วันนี้ก็แต่งตัวมาในลุควัยรุ่นสดใสสมวัย แล้วไหงหมวกเธอถึงได้มีปีกสีขาวกับลายคล้ายของหนูน้อยกับดอกเตอร์สลัมคนนั้นนักล่ะ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ แค่มันคล้ายหมวกที่เด็กอนุบาลชอบใส่กันเฉยๆ”
พอได้ยินคำอธิบายฉันก็เถียงอะไรไม่ออก จริงๆ ก็พอรู้อยู่ว่าหมวกใบนี้มันไม่เข้ากับวัยฉันแล้ว แต่จะให้ทำไงก็ฉันมีของฉันอยู่ใบเดียวแค่ใส่มากันร้อนเฉยๆ ไม่ได้หรือไง
พอเถียงอาคิยามะกลับไปแบบนั้นเขาก็หัวเราะ หนนี้อดไม่ไหว ฉันเลยฟาดแขนเขาไปเพี๊ยะนึง
เสียงดังก็จริงแต่ไม่น่าจะเจ็บอะไร อาคิยามะเอามือมาถูๆ ลูบๆ ตรงที่โดนตีแต่ยังไม่หยุดหัวเราะ
“หัวเราะอะไรนักหนาเล่า?”
“ฮ่าๆๆ โอยยย..โอเคๆ ไม่หัวเราะแล้ว ฮ่าๆ”
“ยังไม่หยุดนะ”
“หยุดซิ หยุดแล้ว”
ฉันเงื้อมือขึ้นเตรียมฟาดเขาอีกที คราวนี้อาคิยามะหยุดหัวเราะแล้ว แต่ก็ยังยิ้มแก้มปริอยู่
“งั้นเดี๋ยวเธอด่วนกลับไหม ฉันรู้จักร้านดีๆ อยู่ร้านนึง เป็นทางผ่านกลับบ้านแต่มันต้องอ้อมสักหน่อย ถ้ายังไงฉันพาไปซื้อได้”
หาที่มันเข้ากับเธอซักใบก็ดี พูดย้ำมาแบบนี้แล้วก็หัวเราะอีก ฉันเลยฟาดไปอีกทีแบบไม่มีกั๊กแรง หนนี้ได้ยินเสียงสูดปากจากคนโดนฟาดชัดพอๆ กับเสียงฟาดเลย
—
“นี่อามายะ เธอไปสนิทกับอาคิยามะคุงขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร?”
เซริถามขึ้นมาตอนที่เรากำลังนั่งรถกลับบ้านกัน เพราะตั้งใจว่าจะกลับบ้านก่อนค่ำ ฉันกับเซริเลยขอตัวกลับออกมาก่อน
“เธอบอกฉันว่าเธอเจอเขาแค่ไม่กี่ครั้งเองนิ แต่ท่าทางเธอเหมือนรู้จักกันมานานเลย เธอแอบปิดบังอะไรฉันไว้หรือเปล่า~”
น้ำเสียงล้อเลียนของเซริทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอะไร แต่เหมือนกำลังหาข้อมูลใหม่ๆ ไปจินตนาการต่อ
“ฉันจะไปปิดบังอะไรเธอล่ะ เรื่องที่เกี่ยวกับเขาฉันก็เล่าให้เธอฟังตอนเราคุยโทรศัพท์กันหมดแล้ว ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมนิ”
“งั้นหรอ…”
เซริพูดแล้วก็ทำท่าทางเหมือนคิดอะไรไปตามจินตนาการของเธอไปเรื่อยเปื่อย แล้วจู่ๆ เธอก็ทำสีหน้าจริงจังและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นทางการขึ้นมา
“แต่พวกเธอดูสนิทกันจริงๆ นะ มองจากมุมมองคนนอกอย่างฉันยังคิดว่าพวกเธอคบกันแล้วเลย”
“ห๊ะ? ใครคบใคร?”
จู่ๆ เนื้อหาการสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นโหมดโรแมนติกกะทันหัน อารามปรับอารมณ์ตามไม่ทันฉันเลยเผลอทำเสียงดังอีกแล้ว
“เบาหน่อยซิ อืมม…ที่จริงไม่ได้มีแค่ฉันหรอกนะที่สงสัย พวกรุ่นพี่คาวากุจิกับแฟนเขาก็สงสัย คุณนาคาจิมะถึงกับถามฉันเลยว่าเธอคบกับอาคิยามะอยู่หรอ”
ได้ยินแบบนั้นแล้วความร้อนก็เริ่มฉาบขึ้นมาที่ใบหน้า ฉันเนี่ยนะคบกับอาคิยามะ? จะเป็นไปได้ไงเล่า เขายังไม่เคยขอคบฉันสักหน่อย อย่าว่าแต่แฟนเลย ตอนนี้สถานะเราเป็นอะไรกันฉันก็ยังไม่แน่ใจนัก
“ฉันจะไปคบกับหมอนั่นได้ยังไง แค่เพื่อนกันยังไม่ใช่เลยมั้ง ถ้าจะให้ระบุสถานะความสัมพันธ์แล้วก็น่าจะเป็นแค่คนรู้จักของรุ่นพี่เท่านั้นแหละ”
พูดจบก็พยักหน้าให้เซริ แต่เธอทำหน้าเหวอใส่ฉันซะงั้น ทำหน้าอะไรของเธอเนี่ย
“แค่คนรู้จักเขาสนิทกันถึงขั้นสกินชิพกันแบบนั้นเลยหรอ?”
“ฉันไปสกินชิพกันตอนไหนไม่ทราบยะ”
“เธอตีเขาไปตั้งหลายที นั่นไม่นับเป็นการสกินชิพหรอ?”
เซริถามด้วยใบหน้าที่เหมือนมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนหัว ดูท่าเธอคงไม่เข้าใจจริงๆ
“นั่นจะเป็นการสกินชิพได้ไง ต้องเรียกการลงโทษซิ ฉันตีเขานะ”
“อามายะ เธอกล้าทำแบบนั้นกับคนอื่นๆ ไหม เอาแค่กับเพื่อนในห้องก็ได้อ่ะ”
“เอ๊ะ?”
แล้วความรับรู้ความจริงอย่างหนึ่งก็เข้ามาในหัวฉัน ฉันไม่น่าจะกล้าตีใครเหมือนกับที่ตีอาคิยามะ แม้แต่เซริเองที่น่าจะตีได้แต่ก็ไม่เคยคิดจะตี แต่กับอาคิยามะฉันกลับไม่คิดอะไรเลย ทุกอย่างที่ทำเป็นไปเองราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมฉันถึงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องปกตินิ นั่นเป็นการทำร้ายร่างกายได้เลยนะ
ฉันจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ เซริเองก็นั่งมองฉันเงียบๆ อยู่ข้างๆ
คิดวนไปวนมาอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบอะไรชัดเจน พอบอกเซริไปแบบนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เธอคุยกับอาคิยามะคุงทุกวันหรือเปล่า?”
“เปล่านะ ฉันจะคุยกับเขาทุกวันได้ยังไงล่ะ?”
“โทรศัพท์หรือแชทล่ะ?”
“ไม่เคยแลกกัน”
“งั้นเวลาเจอกันเธอคุยอะไรกัน?”
“ก็ไม่ได้คุยอะไรมาก ฉันก็เคยเล่าให้เธอฟังแล้ว ถ้าจะนับจริงๆ ก็มีเมื่อวันศุกร์นั่นแหละที่เราคุยกันค่อนข้างเยอะ แต่ก็แค่เรื่องทั่วๆ ไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”
ตอบเซริแล้วก็กลับมาคิดกับตัวเอง หรือฉันจะสนิทกับอาคิยามะโดยไม่รู้ตัว คนอื่นถึงมองเห็นเป็นแบบนั้น แต่กับคนที่แม้แต่จะเป็นเพื่อนก็ยังไม่ใช่เนี่ย จะเรียกว่าสนิทได้จริงๆ หรอ
พอฉันเงียบ เซริก็เงียบ ต่างคนต่างใช้ความคิดของตัวเอง แล้วคนที่ทำลายความเงียบก่อนก็คือเซริ
“ทำไมเธอถึงกล้าตีเขาล่ะ เธอไม่กลัวเขาหรอ?”
กลัวหรอ… ถ้าถามว่ากลัวไหม อาคิยามะก็ดูเป็นคนน่ากลัวอยู่นะ แต่ก็รู้สึกว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรฉันถึงได้กล้าทำกับเขาแบบนั้น
“ก็มีกลัวบ้างเป็นบางที เวลาเขาทำหน้านิ่งๆ พูดเสียงเรียบๆ ฉันจะรู้สึกว่าเขาน่ากลัว แต่ลึกๆ แล้วฉันรู้สึกว่าเขาจะไม่ทำอะไรฉันน่ะ”
“เธอเชื่อใจเขาขนาดนั้นเลย?”
‘เชื่อใจ’ คำพูดนี้ของเซริทำให้ฉันต้องพิจารณาตัวเองใหม่อีกครั้ง นี่ฉันเชื่อใจอาคิยามะงั้นหรอ
ฉันยังกลัวเขาอยู่บ้าง แบบนี้จะเรียกว่าเชื่อใจได้หรอ หรือการที่คิดว่าเขาน่าจะไม่กล้าทำอะไรฉันแบบนี้เรียกว่าเชื่อใจหรือเปล่า ความคิดหมุนวนอยู่ในหัวแต่ก็ไม่มีคำตอบอะไรออกมา
“ไม่รู้ซิ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันไม่เหมือนเธอที่ฉันเชื่อว่าเธอจะไม่มีวันทำร้ายฉัน ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นกับอาคิยามะ แค่รู้สึกว่าเขาน่าจะไม่ทำอะไรฉันแค่นั้น”
“งั้นเองหรอ”
“อืมมม…ไม่รู้ซิ ฉันแค่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองเวลาที่อยู่กับเขา ไม่ได้ถึงขั้นที่รู้สึกดีใจเวลาเจอกันหรืออยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไร ออกจะสบายใจด้วยซ้ำ”
“นั่นซินะ”
“เอ๊ะ??”
“แค่มองก็รู้แล้วว่าเธอน่ะสบายใจเวลาคุยกับเขา เอาให้เห็นภภาพชัดๆ เปรียบเทียบเวลาเธอคุยกับนิโนะมิยะคุงก็ได้”
“หรอ…”
“ใช่ ชัดเจนเลยแหละ”
เซริยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะแสดงความยินดีกับฉัน
“แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว หมอนั่นเองถึงท่าทางจะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ดูตามใจเธอดี เขาน่าจะเป็นคนดีแหละ สนิทกันไว้ก็ไม่เสียหายหรอก”
“อืมมม”
“แต่อย่าไปสกินชิพเขาบ่อยนักหล่ะ ผู้ชายน่ะยังไงก็หมาป่าทั้งนั้น ไปถึงเนื้อถึงตัวบ่อยๆ เธอนั่นแหละจะเสียเปรียบเอา”
“บะ..บ้า ใครจะไปสกินชิพกับเขามิทราบ”
เซริมองฉันด้วยสายตาที่บอกว่า เธอนั่นแหละ จากนั้นเราก็นั่งรถต่อไปจนถึงป้ายที่เราขึ้นมาในตอนแรกแล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน