ตอนที่ 21 คนต้องถือคุณธรรม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

พอเอาเข้าจริงๆ ฉินจิ่วเกอที่ได้ทรัพย์ลงไปกอดในหลุมอย่างที่ต้องการจู่ๆ ก็ไม่อยากตายขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ในเมื่อไม่อยากตาย อยากมีชีวิตรอด มีแต่ต้องบุกเข้าไปในดงศัตรูเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอด

แต่กองทัพกระดูกขาวนั้นไม่มีสติปัญญา ต่อให้ตีเนียนเอาชุดเกราะมาสวม พวกมันก็ยังดาหน้าทำลายอยู่ดี

สิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยความยึดเหนี่ยวสุดท้าย นอกจากอาภรณ์เก่าๆ ที่ใส่ตอนสิ้นใจ วัตถุอย่างอื่นล้วนถูกเหยียบย่ำทำลายอย่างไม่ไยดี

จะทรยศก็ทำไม่ได้ ฉินจิ่วเกอจึงถอดชุดเกราะอันเกะกะออกให้พ้นตัว

ด้านหน้าคือโครงกระดูกสามตัวที่กำลังย่างสามขุมเข้าหา ในมือถือมีดทำครัวเปรอะคราบโลหิตสภาพไม่ค่อยจะสู้ดีเอาไว้อย่างละเล่ม

“ตายเป็นตาย!” แม้ความตายจะเป็นเรื่องน่ากลัว แต่สำหรับมันที่ผ่านการข้ามภพมาแล้วถึงสองครั้ง จึงมีภูมิคุ้มกันอยู่พอตัว

“สวรรค์ลำเอียง ส่งข้ามาเกิดยังโลกใหม่แต่กลับไม่ให้ข้าเป็นพระเอก มารดามันเถอะ!” เผชิญกับความตายที่คืบใกล้เข้ามา ฉินจิ่วเกอระบายความอัดอั้นตันใจที่สั่งสมมานาน

แม่โคชราไม่อาจเกิดลูก ในเมื่อกล้าให้ตนเองเป็นตัวประกอบ สวรรค์ยังมีหลักการอันใดหลงเหลืออยู่อีกหรือ?

  

ฉินจิ่วเกอแหงนหน้ากู่ร้องขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเดือดดาล เสียงของมันดังทะลุไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งนภา

ยามลดศีรษะลง ใบหน้าหล่อเหลาของมันก็กลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ใช้มือลุ่นๆ หวดลงไปบนกะโหลกศีรษะของโครงกระดูกทั้งสามจนแหลกคามือ

ตึง

กระบี่หนักร่วงตกพื้น ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย

กองทัพกระดูกขาวจำนวนมหาศาลอยู่ไกลออกไปเพียงคืบ ราวกับว่าภาพสมรภูมิรบอันวินาศสันตะโรในอดีตพลันหวนปรากฎขึ้นมาอีกครั้งในเวลานี้

การฆ่าฟันเป็นเรื่องไร้น้ำใจ สรรพชีวิตร่วงหล่นตกตาย การสรรค์สร้างล้วนเปล่าประโยชน์ ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่อยู่รอด!

“ไหนๆ ก็ต้องตายทั้งที ถ้างั้นก็เอาให้สุดเหวี่ยงไปเลย ตายเอาดาบหน้านี่แหละ! ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใครมีลูกบ้ามากกว่าก็เป็นฝ่ายกำชัย!”

แล้วอยู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็เกิดรู้สึกขึ้นมาว่าถ้ามันปั้นหน้าระรื่นยามเผชิญหน้ากับภูเขากระดูกทะเลโลหิต ภาพที่ออกมาคงจะเฟี้ยวเงาะสุดจะกล่าว แม้แต่ไอ้หนุ่มหน้าขาวอย่างซ่งเล่อยังต้องชิดซ้าย

กระบี่ยาวในมือชี้จรดขึ้นฟ้า ดุจดั่งกระบี่อาญาสิทธิ์ที่ชี้ขาดความเป็นตาย

เพียงแต่กระบี่ในมือมีน้ำหนักถึงหนึ่งร้อยแปดสิบจิน หากต้องการชูขึ้นฟ้าด้วยมือเดียวโดยรักษาตำแหน่งไว้ที่สี่สิบห้าองศาโดยที่มือไม่สั่นเป็นเจ้าเข้าหรือหอบหนักเป็นวัว ระดับความยากคงจะมากเกินไปสักหน่อย

ลองอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที จนกระทั่งในคลองจักษุปรากฎภาพกองทัพเดนตายนับหมื่นนับแสนขึ้นมานั่นแหละ

“ฆ่า!” กระบี่หนักในมือวาดออกในระดับเอว เส้นเอ็นบนมือทั้งสองที่กุมด้ามกระบี่แทบจะปริแตกออกมา

ไม่จำเป็นต้องใช้วิทยายุทธ ใช้แต่พละกำลังลุ่นๆ ส่งเรี่ยวแรงทั้งหมดไปที่ด้ามจับ เสร็จแล้วก็เหวี่ยงออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี น้ำหนักนับพันจินทับซ้อนอยู่บนกระบี่หนัก เกิดเสียงครางกระหึ่ม แม้แต่อากาศยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ตูม

กระบี่หนักหวดกระแทกลงดั่งค้อนทุบเนื้อ โครงกระดูกแตกสะบั้นไม่มีชิ้นดี บางตัวกระทั่งศีรษะปลิวไปตกอยู่ในแถว ก่อนจะถูกเพื่อนร่วมทัพเหยียบซ้ำจนไม่เหลือซาก

แหวนมิติของซ่งเล่อไม่ว่าจะเป็นศิลาวิญญาณ โอสถทิพย์หรือวัตถุวิเศษล้วนมีหมด

ฉินจิ่วเกอหยิบเอาออกมาใช้โดยไม่เกรงใจ ไม่แม้แต่จะตรวจดูว่าอะไรเป็นอะไร ของทั้งหมดก็หายเข้าปากไปในทันที

ท่าร่างงดงามตระการตา กลิ่นอายวีรบุรุษแผ่ท่วมทั้งแผ่นฟ้า ประดุจนกกาเหว่าที่กลืนยาพิษลงท้องจากนั้นก็กระโดดลงหลุมฝังตัวเองเสร็จสรรพ สีหน้าอาดูรหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด

ภายในปากเริ่มมีรสเผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานสารพัดสารพันระเบิดตู้มต้ามอยู่ข้างใน ฉินจิ่วเกอน้ำตาไหลด้วยความขมขื่น

เงินทั้งนั้น

ฉินจิ่วเกอร่ำร้องอยู่ในใจ นี่ข้าทำอะไรลงไป อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยัดเงินเข้าปากไปหมด ทำตัวอย่างกับลูกคุณหนูมือเติบจากครอบครัวใหญ่

กองทัพกระดูกขาวที่แยกแยะไม่ออกว่าหน้าตาต่างกันอย่างไร ประมาณว่าหลอมออกมาจากแม่พิมพ์ชนิดเดียวกัน จะอะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าพวกมันเข้ามาใกล้จนแทบจะหายใจรดต้นคออยู่แล้ว

พล่อก

ร่างถูกหวดกระแทกอย่างจัง กระดูกสันหลังแทบหักครึ่ง

ฉินจิ่วเกอร่างปลิวละลิ่วอย่างสิ้นท่า โลหิตฉีดพุ่งเป็นฟูมฝอย สุดท้ายก็ร่วงตกลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ในจมูกและลำคอมีแต่กลิ่นสนิม

ภาพตรงหน้าเริ่มสลัว รู้สึกราวกับกระดูกทั่วทั้งร่างล้วนปริแตก เส้นชีพจรฉีกขาดจนยากที่จะรักษาได้อีก ชีวิตน้อยๆ ของมันใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุด ความสิ้นหวังครอบงำจิตใจ ความหวังคล้ายอยู่ไกลออกไปทุกที

กองทัพกระดูกยังเดินหน้าต่อ ทุกที่ที่มุ่งผ่านแม้แต่หญ้าสักต้นยังไม่เหลือ ระยะห่างระหว่างพวกมันเริ่มหดแคบลงอีกครั้ง

ความหมายที่แท้จริงของสวรรค์ไร้เมตตาก็คือวิถีฟ้าไร้แยแส ไม่ว่าท่านจะถูกไฟครอกตายหรืออดตาย วิถีฟ้าก็ล้วนไม่แยแสทั้งสิ้น

พูดก็พูดเถอะ วิถีฟ้าถือเป็นทำเลทองสำหรับให้บรรดาผู้ปลดเกษียณไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างแท้จริง

แค่เข้าไปปะทะด้วยไม่ถึงครึ่งกระบวนท่า ฉินจิ่วเกอก็ร่อแร่แทบปางตายแล้ว ถึงตอนนี้มันก็ยังต้องพยายามประคองสติไม่ให้ดับไปอีก

ในเมื่อไม่มีปาฏิหาริย์ ฉินจิ่วเกอจึงตัดใจละทิ้งกระบี่หนักที่สภาพบุบบี้ไปแล้วไว้ที่นี่ ก่อนจะสำแดงเคล็ดระบำหงส์เหินเร่งหลบหนีไป

กองทัพกระดูกขาวยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ แผ่นดินสะเทือนภูผาสั่นไหว ราวกับจะตะโกนว่าแม่สาวน้อย รอพวกเราด้วย!

ไม่ประพฤติดี คือคนชั่ว ไร้จิตเมตตา คือมาร

กองทัพกระดูกขาวส่วนใหญ่ยังคงไล่ล่าตามติดฉินจิ่วเกอต่อไป อย่างไรเสียเสียงร่ำไห้ของชายหนุ่มคนนี้ฟังแล้วปริ่มจะขาดใจเกินไปจริงๆ ใครได้ฟังย่อมบังเกิดความคิดที่จะเข้าไปปลอบโยนสักตั้ง

ซ่งเล่อและเสื้อคลุมดำพ้นภัยมาได้อย่างไม่ยากลำบากอะไร ดินทรายข้างหลังพวกมันนี้ จะไม่ถูกกองทัพโครงกระดูกเหยียบผ่านเข้ามาได้ชั่วขณะหนึ่ง

ด้านหน้าคนทั้งสองปรากฎแม่น้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาสายหนึ่ง น้ำมีกลิ่นเหม็นและเป็นสีเหลือง ยังสามารถพบเห็นแสงสะท้อนที่เป็นสีโลหิตได้รางๆ

แม่น้ำไหลเชี่ยวมีซากศพดวงวิญญาณกลบฝังอยู่ไม่รู้เท่าไร เสียงคร่ำวิญญาณหวนถูกเสียงคลื่นซัดสาดกลบบัง กลิ่นอายชั่วร้ายพยาบาทยังวนเวียนอยู่ไม่ห่าง

แม่น้ำที่ทอดยาวจนเหมือนเชื่อมสวรรค์นี้มองไม่เห็นต้นสายปลายน้ำ ตรงหน้าคือแม่น้ำสุดไพศาล ลำน้ำกว้างนับร้อยๆเมตรปราศจากตลิ่งหินดินทรายใด ไม่แน่ว่าคือแม่น้ำแห่งยมโลกจริงๆ

“พี่ฉินไม่น่าเลย เฮ้อ” ความรู้สึกผิดเกาะกุมใจซ่งเล่อ ยังคงทำใจรับไม่ได้

“เรื่องหลุมศพ ข้าจะจัดการเอง แทนที่จะมาร่ำไห้เสียใจให้คนที่ตายไปแล้ว ไม่สู้ช่วยกันคิดหาทางออกจากที่นี่จะดีกว่า” เสื้อคลุมดำเอ่ยเสียงเย็นชา

พูดไปแล้วก็จริง กองทัพกระดูกขาวพวกนี้เดินยาตราอยู่ในสมรภูมิโบราณมาแต่ไหนแต่ไร ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในโลกที่ไม่มีไอวิญญาณฟ้าดินหรือแม้แต่พลังหยินหยาง ทั้งยังไม่รู้จักเหนื่อย ไม่รู้จักตาย

เปรียบเหมือนมีดประหารที่ถูกเงื้อขึ้นสูงอยู่ตลอดเวลา และจะกวาดล้างทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ไม่ว่าที่ไหนไม่ว่าเมื่อไหร่

“แม่น้ำสายนี้กว้างหลายร้อยเมตร ทั้งยังเชี่ยวน่าดู อาศัยเพียงระดับปราณสุริยันคงจะทะยานข้ามไปไม่ได้” ซ่งเล่อมองดูแม่น้ำตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะเดินกลับไปกลับมาด้วยความหวาดวิตก

เสื้อคลุมดำนิ่งมองแม่น้ำที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาตรงหน้าแล้วเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่จำเป็นต้องข้าม มิติแห่งนี้ถูกมรสุมโลหิตของสมรภูมิโบราณครอบคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ต่อให้พวกเราโชคดีข้ามไปได้ ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีกองทัพโครงกระดูกที่มีจำนวนมากกว่ารอต้อนรับเราอยู่อีกฝั่ง”

“ความหมายของเจ้าคือให้พวกเราลอยตัวไปตามแม่น้ำ?” ซ่งเล่อมองดูแม่น้ำตรงหน้า

เห็นกันอยู่ว่าแม่น้ำนี้ ที่จริงก็คือเลือดที่ไหลมารวมตัวกัน พลังชีวิตภายในถูกตัดขาด ไม่อาจดำรงชีวิตใดๆ ได้

“มาถึงตอนนี้ เหลือเพียงสายใยชีวิตอันบางเบา หากลอยไปตามน้ำ โชคดีพวกเราก็สามารถหลุดพ้นออกจากมิติโดดเดี่ยวนี้ สมรภูมิดึกดำบรรพ์พลังไพศาลเกินไป มิติแห่งนี้ก็บีบแน่นอย่างถึงที่สุด แม้แต่ยอดยุทธ์ขอบเขตหมื่นวิถียังไม่อาจมั่นใจว่าจะทลายมิติออกไปได้”

ซ่งเล่อฟังความจบ ต้องบังเกิดความกังขาถึงที่มาของอีกฝ่ายทันที

คนผู้นี้ไม่เรียบง่ายธรรมดา มิเพียงมีพลังฝีมือคู่คี่สูสีกับตนเอง กระทั่งภูมิความรู้ก็กว้างขวาง มิเพียงรู้จักสมรภูมิดึกดำบรรพ์แห่งมหาสงครามล้างโลกนั้น ยังรู้อีกว่ายอดฝีมือชั้นหมื่นวิถีสามารถทลายมิติ

ความรู้เช่นนี้ มิใช่คนธรรมดาหรือผีน้อยโชคดีทั่วไปจะสามารถรู้ได้ หรือว่ามันจะเป็นศิษย์ตระกูลใหญ่สำนักเร้นโลกอันใด?

เมื่อลองคิดๆ ดู ซ่งเล่อคิดว่าเป็นไปได้อย่างมาก

คนทั้งสองตัดสินใจลงสู่แม่น้ำ ใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มตลอดทั้งร่างเอาไว้

ที่น่าประหลาดก็คือ ภายในน้ำกลับปราศจากแรงพยุงร่าง คนทั้งคู่เมื่อใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มกาย ร่างก็ดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำทันที

จากนั้น ทั้งสองเดินทางไปตามท้องน้ำ น้ำโลหิตสีแดงในแม่น้ำเองก็ไม่อาจกัดกร่อนเกราะพลังวิญญาณที่ห่อหุ้มไว้ได้

ไม่นานหลังจากลงสู่เบื้องล่างแม่น้ำ ฉินจิ่วเกอเองก็เตลิดหนีมาจนถึงริมฝั่ง ที่มันมองเห็นก่อนเป็นอันดับแรกในสายตา มิใช่สายน้ำโลหิตทอดยาวราวแม่น้ำเหลือง หากแต่เป็นริมฝั่งน้ำ ที่กลับงอกเงยไว้ด้วยบุปผาชนิดหนึ่ง

บุปผาเพียงมีดอกแต่ไร้ใบ กลีบดอกเบ่งบานซ้อนกันราวเบญจมาศพันชั้น ทั่วทั้งดอกล้วนเป็นสีแดงจนโลหิตแทบหยาดหยดออกมา

ดวงบุปผางดงามอาดูร ภายนอกเรืองรองด้วยประกายโลหิตอาบทอ โบกไสวภายใต้แรงลม

รอบนอก ท้องสภาสีโลหิต พื้นดินก็สีโลหิต น้ำในแม่น้ำก็เป็นสีโลหิต ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะบุปผาดอกนั้น

บุปผาเบ่งบานอยู่อีกฟากฝั่งนที ดึงดูดสายตาของฉินจิ่วเกอในบัดดล ดอกไม้ที่โบกโบยพลิ้วไหวงดงามท่ามกลางสายลม ช่างเป็นสหายผู้รู้ใจของมันโดยแท้

ต่อให้สีสันอันแดงฉานบนดอกจะมีที่มาจากโลหิตและเนื้อหนังของสรรพชีวิตที่กองพะเนินสรรค์สร้างขึ้น หากย่อมไม่มีผู้ใดชิงชังรังเกียจ นั่นคือสีแดงอาบโลหิตที่ส่งผลให้ผู้คนยินดีพลีชีพประเภทหนึ่ง

โครงกระดูกร่างหนึ่งถาโถมเข้าใส่ ฉินจิ่วเกอคว้าจับสองมือเหี่ยวแห้งไร้เนื้อหนัง ก่อนใช้หน้าผากกระแทกโครงกระดูกนั้นจนแตกกระจาย

ฉินจิ่วเกอฝ่าสมรภูมิการฆ่าฟันนับไม่ถ้วนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ คนนับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว

บรรดาโอสถวิเศษหินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ถูกมันย่อยสลายไปเหล่านั้นระเบิดออกภายในกาย ชายหนุ่มราวกับลูกหนังที่ถูกลมสูบอัดเข้าไปเต็มที่ ผิวหนังทั่วร่างปริแตกออกจากกัน โลหิตสดๆ หลั่งไหลออกจากกายไม่หยุดยั้ง

กล้ามเนื้อเส้นเอ็นสั่นกระตุกโดยไร้ความรู้สึก กระทั่งการหายใจเข้าออกยังเจ็บร้าวทรมาณดุจถูกฉีกปอดกระชากใจ

และเป็นเพราะความบ้าคลั่งแลกชีวิตนี่เอง ฉินจิ่วเกออาศัยพลังเพียงขั้นหลอมวิญญาณ ยกระดับระบำหงส์เหินวิชายุทธ์ชั้นสามขึ้นช่วงใหญ่

มิเช่นนั้นหากอาศัยเพียงพลังวิญญาณอันน้อยนิดน่าสมเพชในกายอย่างเดียว ฉินจิ่วเกอคงได้ไปเกิดใหม่นานแล้ว

เหลียวมองบุปผาสีแดงเลือดที่คล้ายกำลังผงกศีรษะให้กับตน หันมองดูแม่น้ำสายนั้น ฉินจิ่วเกอร่ำร้องตะโกนก้อง “ทอดตามองบุปผาข้ามฝั่งน้ำ ในเมื่อล้วนอยู่พร้อมหน้าแล้ว ตายเป็นตาย ยิ่งตายเร็วยิ่งดี”

ดอกพลับพลึงโลหิตที่อยู่ในระยะเอื้อมมือถึงถูกฉินจิ่วเกอดึงขึ้นมาทั้งราก จากนั้นยัดเข้าปากกลืนลงไป พลังวิญญาณร้อนแรงหากทว่าบริสุทธิ์แกร่งกล้าแผ่กระจายออกสู่แปดชีพจรอวัยวะทั้งเจ็ด กระทั่งช่วยทะลวงจุดตันเถียนของฉินจิ่วเกอ

ดอกพลับพลึงโลหิตที่สองฟากฝั่งแม่น้ำนี้ ฤทธิ์โอสถยังเข้มข้นรุนแรงกว่าสมุนไพรขั้นสี่ของซ่งเล่อ พลังวิญญาณอันพิสุทธิ์เข้มข้นราวกับเขื่อนแตกทะลักทลาย ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจทะลวงทะลุผ่านได้

ฉินจิ่วเกอคาดว่าตนเองเก็บเกี่ยวได้สมบัติล้ำค่ามาแล้ว ซ่งเล่อและคนชุดดำกลับตาบอด ล้วนไม่รู้ว่าห้วงมิตินี้มีสมบัติล้ำค่านี้อยู่

เมื่อรับประทานลงไป ตนเองได้รับพละกำลังยาวนานไม่สิ้นสุด คล้ายยังสามารถคว้าเดือนตะวันบนฟ้าลงมาได้

เฮอะ

ไม่เพียงเส้นโลหิตถูกเติมเต็ม เมื่อพลังไหลเวียนโลหิตฟื้นฟูฉินจิ่วเกอทะลวงสู่ด่านปราณสุริยันแล้ว

ฉินจิ่วเกอสอดส่องหาพลับพลึงโลหิตอีกครา ก่อนถอนรากออกมาสวาปามลงไปทั้งต้นอีกครั้ง เพียงพริบตาก็เข้าสู่ขั้นวิสุทธิ์ไพศาล

เมื่อติดจมอยู่ในโลกแห่งนี้ ทั้งงมงายทั้งบ้าคลั่ง ไม่ว่าอันใดล้วนไม่รู้สึกว่าผิดปกติ

ยามนี้เอง หมื่นล้านโครงกระดูกนักรบไล่ล่าเข่นฆ่ามาถึง เรียงหน้าดารดาษทั่วทั้งเนินเขา เริ่มโจมตีเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ

ส่วนชายหนุ่มยามนี้สูงส่งทระนงดั่งราชัน คนลอยขึ้นกลางหาว เท้าไม่แตะพื้น ไม่แปดเปื้อนธุลีใด

ฉินจิ่วเกอเหลือบมองบรรดาโครงกระดูกเบื้องล่างราวทอดตามองมดปลวก ดีดนิ้วออกหนึ่งครา ก็สังหารพวกมันไปกว่าครึ่ง

บรรพตทะเลล้วนไร้อานุภาพ ฟ้าดินไพศาลลดต่ำลง

หมื่นล้านโครงกระดูกนักรบถูกทำลายกลายเป็นผุยผง ฉินจิ่วเกอยามนี้กอปรไปด้วยพลังพลิกฟ้าคว่ำสมุทร สามารถแหวกมิติสมรภูมิดึกดำบรรพ์กลับออกสู่โลกภายนอกอย่างง่ายดาย

ศิษย์น้องเคารพ อาวุโสยกย่อง ประมุขพรรคต้องยอม ฉินจิ่วเกอทอดตามองทั่วหล้า รู้สึกว่าตนเองไร้คู่เปรียบ

ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุกลายเป็นน้อง หมื่นวิถียังต้องก้มศีรษะสูงส่งนั้นให้แก่มัน มีศิลาวิญญาณนับไม่ถ้วนกองเท่าภูเขาเลากา

ฉินจิ่วเกอทุ่มร่างใส่กองเงินทะเลทอง ประกาศก้องต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย : สวรรค์ สวรรค์ของข้า

ยอดคนหมื่นวิถีต่างก้มกราบคารวะอย่างเชื่องเชื่อ เอ่ยตอบว่า : ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นของท่าน

ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางกองทรัพย์สมบัติไร้สิ้นสุด บรรดาสาวงามระดับประเทศมากหน้าหลายตาก็ปรากฎขึ้น ต่างจับจูงมือมันไม่วางมือ

คนครอบครองทั่วใต้หล้า เมามายในอ้อมอกโฉมสะคราญ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นของมัน

โฉมสะคราญห่านป่าร่วงมัจฉาจมเหล่านั้นต่างริษยาแก่งแย่งในตัวฉินจิ่วเกอ สามี เราภรรยาต้องการตัดชุดใหม่ ท่านช่วยวัดตัวให้ข้าได้หรือไม่?

สามี ให้ผู้อื่นขัดตัวท่านดีหรือไม่?

มาเล่นหมากกระดานที่น่าตื่นเต้นกันสักยกดีกว่า ผู้ใดแพ้ต้องเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น

ร่ำรวยเงินทอง ทั้งยังมีสาวงามเต็มอ้อมแขน ชีวิตนี้คล้ายไม่มีสิ่งใดต้องสำนึกเสียใจแล้ว

อย่างไรเสีย บนโลกนี้แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดแคลนผู้แปลงเป็นดาวอัคคี ฉินจิ่วเกอเมื่อกลายเป็นวีรุบุรุษตัวเอกแห่งทวีปฉงหลิง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจขาดตัวร้ายอันดับหนึ่งไปได้