ตอนที่ 43 การให้อภัย

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

สถานการณ์เปลี่ยนไปในทันทีที่ซัปเปิ้ลย้ายฝั่ง

ราชาและเลย์ล่าถูกสกัดการเคลื่อนไหวไว้ ในขณะที่พวกทหารที่เหลือถูกน็อกจนสลบหมด

แน่นอนว่ามีทหารและอัศวินคนอื่นๆอีก แต่กว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

เพราะว่าสำหรับพวกเขาแล้ว “เรื่องมันจบไปแล้ว” และ “ผู้บุกรุกถูกจับกุมเรียบร้อยแล้ว”

ช่วงเวลาแห่งชัยชนะนั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนประมาทมากที่สุด

ซัปเปิ้ลใช้ช่องว่างนั้นให้เป็นประโยชน์

ในส่วนของเลย์ล่านั้น…การที่เธอจะหลุดออกมาจากพันธการและจัดการทุกคนที่นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้ แต่ก็ไม่มีสัญญาณใดๆว่าเธอคิดจะทำเช่นนั้นเลย

ถ้าจะให้พูด เธออกจะดีใจที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เสียด้วยซ้ำ

“ยอมแพ้ซะดีๆเถอะครับ…ฝ่าบาท”

เวอร์เนลพูดเช่นนี้ออกมาตรงๆ ส่งผลให้สีหน้าของไอส์มืดหม่นลง

สำหรับเขาแล้ว พวกเวอร์เนลก็เป็นเพียงกลุ่มเด็กๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

เป็นพวกงี่เง่าที่ไม่เข้าใจถึงการเสียสละที่จำเป็นหรือเป้าหมายที่สูงส่งกว่า…แต่ในเวลานี้ ตัวเขาไม่มีวิธีที่สามารถต่อต้านคนโง่เง่าพวกนี้ได้

เขาสูดลมหายใจลึก พยายามที่จะตะโกนเรียกทหารให้มาช่วยเหลือ

แต่ดูเหมือนว่าการกระทำเช่นนี้จะถูกคาดการณ์ไว้แล้ว โกเลมรีบใช้มือของมันเพื่อปิดปากของเขาไว้ในทันที

ตราบเท่าที่เราชายังอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ก็จะยังมีแต้มต่ออยู่

พวกเขาสามารถใช้ราชาเป็นตัวประกันในการร้องเรียนให้ปล่อยตัวเอลริสได้

…แน่นอนว่าถ้าทำแบบนั้นก็จะโดนข้อหากบฏอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องอย่างนั้นเอาไว้ก่อน

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทหารนายหนึ่งวิ่งลงมายังชั้นใต้ดิน

นี่ถูกจับได้แล้วหรือ…? เมื่อคิดแบบนั้น ไอน่าและแมรี่ก็เริ่มร่ายเวทมนตร์เตรียมไว้

แต่นายทหารที่วิ่งลงมานั้นดูมีท่าทีแปลกพิกล

เขาดูกระวนกระวายอย่างมาก ไม่สนใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ด้วยซ้ำ เขาเพียงตะโกนรายงาน

“ฝ่าบาท! มีสารส่งมาจากเมืองหลวงขอรับ! ปีศาจขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นมหามารได้ยกทัพปีศาจจำนวนมากใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกทีแล้ว!”

“เจ้าว่าอะไรนะ!?”

คำพูดของทหารส่งผลให้ไอส์ดึงมือของโกเลมออกและตะโกนตอบ

ที่เขาสามารถทำแบบนั้นได้ก็เพราะว่าซัปเปิ้ลเองก็ตกใจกับข่าวนี้ไม่แพ้กัน ทำให้การควบคุมโกเลมของเขาอ่อนลงไปชั่วขณะหนึ่ง

มหามารบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงในเวลานี้…เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะคิดออก

เพราะว่าองครักษ์ทุกคนที่มีความสามารถพอในการต่อกรกับมันถูกรวบรวมมาอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ทั้งหมด

…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พวกองครักษ์รู้สึกผิดที่ทรยศเอลริส จึงเลือกที่จะอยู่ที่นี่โดยบอกว่า “อย่างน้อยที่สุดก็ขอยอู่ข้างๆเพื่อปกป้องเธอ”

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีสถานการณ์ฉุกเฉินให้องครักษ์ต้องลงมือเกิดขึ้นแบบปุบปับเช่นนี้ ไอส์จึงอณุญาตให้พวกเขาทำตามที่ต้องการ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด

“พวกอัศวินที่เมืองหลวงเป็นยังไงกันบ้าง!!?”

“พวกเขาเตรียมพร้อมรบเรียบร้อยแล้ว แต่…อีกฝ่ายมีจำนวนมากเกินไป พวกเขาต้องการกำลังเสริมเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”

“ทำไมถึงไม่มีใครสังเกตถึงเรื่องนี้เลยล่ะ!!?”

“ไม่ ไม่มีใครทราบขอรับ…ราวกับว่าจู่ๆมหามารก็โผล่ขึ้นมากะทันหัน…”

ท่าทีของไอส์นั้นเป็นเรื่องปกติ

เขายืนยันแล้วหลายรอบว่าไม่มีปีศษจที่แข็งแกร่งหรือมหามารตนใดที่อยู่ในละแวกของเมืองหลวงก่อนที่เขาจะพาพวกอัศวินมาที่นี่

การจับกุมเอลริสนั้นเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีภัยอันตรายใดๆที่จำเป็นต้องให้เธอเท่านั้นเป็นผู้จัดการ

มหามารปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน…เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ด้วยหรือ?

ไม่ใช่ว่ามหามารเป็นสิ่งที่กำเนิดขึ้นจากแม่มดโดยตรงหรือ?

เท่าที่เอลริสบอกมา มีโอกาสสูงมากที่แม่มดจะซ่อนตัวอยู่ภายในสถาบันเวทมนตร์

แล้วทำไมมหามารถึงเกิดขึ้นในที่ที่ห่างจากสถาบันแบบนี้ล่ะ? การคาดการณ์ของเอลริสผิดพลาดงั้นหรือ…? หรือว่าพวกเขาเข้าใจมหามารผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

“ฮ่าา…ฝะ ฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่?”

“จู่โจม”

“อ๊ะ—!”

หลังจากที่สงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ทหารคนนั้นก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติในห้อง แต่ก็ถูกซัปเปิ้ลที่อ้อมมาข้างหลังสับสันคอจนสลบไป

“ทำยังไงดีล่ะเวอร์เนล…? ประทศนี้จะจบสิ้นแล้วงั้นเหรอ…ที่เมืองหลวง…ป๊ะป๋ากับหม่าม้าก็อยู่ที่นั่น…”

ประเทศนี้กำลังจะถูกทำลาย

ความกลัวของแมรี่ทำให้เธอทำได้เพียงมองไปหาเวอร์ฌนลเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เวอร์เนลก็ไม่รู้เหมือนว่าตัวเขาจะสามารถทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้ได้

“แม่ชั้นเองก็อยู่ที่นั่น”

“ทะ ท่านพี่ก็อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน…ทำยังไงดี…?”

จอห์นและไอน่าเองก็มีคนสำคัญอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศเช่นกัน

พวกเขาตื่นกลัวกับความคิดที่ว่าประเทศนี้จะถูกปีศาจรุกรานและทำลายจนสิ้นซาก แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง

นกสตีลใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่ ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าพวกเขาจะสามารถเดินทางไปสมทบได้?

ต่อให้ใช้รถม้าก็ยังกินเวลาหลายชั่วโมง แถมต่อให้ไปทัน พวกเขาจะสามารถทำอะไรได้ล่ะ?

หากอัศวินทั้งหมดในปราสาทนี้สามารถไปถึงสนามรบได้ในชั่วพริบตา ถ้าแบบนั้นก็อาจจะยังพอพลิกสถานการณ์ได้บ้าง แต่เรื่องอัศจรรย์พรรค์นั้นไม่มีใครทำได้หรอก

ต่อให้ยกเซนต์รุ่นก่อนๆมาก็ทำไม่ได้

“นี่ไม่ใช่เวลามาสู้กันเองแล้ว! ฝ่าบาท รีบปล่อยตัวท่านเอลริสโดยด่วนเลยครับ! ถ้าเป็นเธอล่ะก็ อาจจะ…!”

ถ้าจะมีใครที่สามารถพอที่จะทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์เช่นนี้ ก็คงมีแต่เซนต์เอลริสผู้ถูกคุมขังอยู่ในปราสาทแห่งนี้เท่านั้น

ไอส์ทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง

“ถึงข้าจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ…แต่เจ้าคิดว่าเธอจะฟังคำขอร้องของข้าอย่างนั้นหรือ?”

ถ้าเป็นเอลริสล่ะก็ อาจจะพอทำอะไรได้บ้างก็ได้

เธอมีพลังที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อยู่

แต่…หลังจากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมานี้ เขาจะยังขอร้องอะไรเธอได้ยังไง

ทรยศเธอ จับกุมเธอ แต่พอวิกฤติเลวร้ายมาถึง ก็มาปล่อยเธฮเป็นอิสระและหวังให้เธอช่วยเหลือ…จะเอาแต่ได้เกินไปแล้ว

จะมีใครที่ไหนยอมรับเรื่องแบบนั้นได้กัน?

ไม่มีใครที่จะพยักหน้าให้ ไม่มีใครที่จะยอมตกลงในสถานการณ์เช่นนี้หรอก

สำหรับเอลริสแล้ว ราชอาณาจักรบิลเบอรี่คือ “ศัตรู” ส่วนพวกอัศวินทุกคนก็คือ “คนทรยศ”

ทำไมเธอถึงต้องช่วยคนแบบนั้นด้วย?

ไม่มีบุญคุณติดค้าง หรือหน้าที่ให้ต้องช่วย ปล่อยให้ประเทศแบบนั้นล่มสลายไปจะเป็นประโยชน์ต่อเธอมากกว่าด้วยซ้ำ

“ถ้าเป็นข้าล่ะก็ จะไม่มีทางช่วยเด็ดขาดเลย…เพราะว่าผู้คนที่เธอช่วยไว้อาจจะหันดาบมาหาและจับเธอคุมขังอีกเมื่อไรก็ได้ ตามปกติอย่างไรก็ต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้ว…หากทรยศไปครั้งหนึ่งก็ไม่มีทางที่จะกลับมาเชื่อใจกันได้อีก….ข้าสั่งให้อัศวินของเธอหันดาบใส่เธอ ทรยศเธอ ใครจะยอมฟังขอร้องจากคนอย่างข้าล่ะ?”

ไอส์เข่าทรุดลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง

ปาฏิหาริย์ที่สามารถพลิกสถานการณ์นี้ได้นั้นมีอยู่ และเธอผู้ทำมาซึ่งปาฏิหาริย์นั้นก็อยู่ในปราสาทแห่งนี้

แต่เป็นเขาเองที่ทรยศเซนต์ เป็นเขาเองที่ทำให้สูญเสียความเชื่อใจของผู้กอบกู้คนนั้นไป

ในท้ายที่สุดแล้ว จะเหตุผลหรือข้ออ้างแบบไหนที่เขาใจเพื่อจับกุมเซนต์ จะบอกว่าเพื่อความสงบสุขของโลกหรืออะไรก็ช่าง เหตุผลพวกนั้นน่ะพังมาตั้งแต่รากฐานแล้ว

เซนต์เองก็บอกอยู่ ว่าตราบเท่าที่แม่มดยังคงอยู่ วิกฤติที่เกิดขึ้นกับราชอาณาจักรรูตินก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

ไอส์ตอบกลับคำพูดเหล่านั้นไปว่า “ตราบเท่าที่ท่านเอลริสยังอยู่ ท่านก็จะสามารถปกป้องพวกเขาได้”

ไม่ใช่เรื่องที่แปลก

ทำลายความเชื่อใจของผู้ที่สามารถปกป้องพวกเขาได้ แต่ก็ยังใช้พลังของคนคนนั้นเป็นฉากหน้าเพื่อแสดงออกว่าพวกเขายังถูกปกป้องอยู่

เหมือนกันบอกว่า “พวกเราตกอยู่ในอันตราย ช่วยด้วย” กับคนที่ถูกทรยศมาโดยเขาเอง จะเอาแต่ใจถึงไหนกัน

สุดท้ายแล้ว ไอส์ อันด์ อาย บิลเบอรี่ที่ 13 ก็เป็นเพียงตาแก่เลินเล่อ

เขาถูกแสงสว่างที่ชื่อว่า”เอลริส”ทำให้ตามืดบอด และเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่ไม่ได้ถูกคิดให้รอบคอบก่อน

ใช้ข้ออ้างอย่าง “เพื่อปกป้องโลก” หาเหตุผลหลากหลายมาแก้ตัวการกระทำของตนเอง

ใช้คำอย่าง “นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุด”มาเป็นเกราะป้องกัน ปลุกปั้นข้ออ้างให้ตัวเองดูดี เขาหลงมัวเมากับ”เหตุผล”ของตัวเอง ไม่เข้าใจดีด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกมา

ต่อให้ต้องกลายเป็นผู้ร้าย แต่ก็ต้องทำเพื่อความสงบสุขของโลก ข้านี่เป็นคนดีจริงๆ—ในท้ายที่สุดวิธีคิดของเขาก็เป็นเพียงการสร้างความพึงพอใจให้แก่ตนเอง

เขาสามารถเข้าใจถึงเรื่องนั้นได้แล้วในเวลานี้

เซนต์รุ่นก่อนและแม่มดคนปัจจุบัน กันอัศวินของเธฮเองก็เป็นเพียงเหยื่อจากความคิดงี่เง่าของตาแก่คนนี้

พวกเธอพยายามต่อสู้ถึงขนาดนั้นเพื่อช่วยโลก

เอาชีวิตเข้าเสี่ยงนับครั้งไม่ถ้วน สูญเสียสหายมากมายไปในสนามรบ จนในที่สุดก็สามารถปราบแม่มดได้

ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นการเดินทางที่ยากลำบากถึงขนาดไหน

แต่สุดท้ายพวกเธอที่อุตส่าห์ผ่านการเดินทางเช่นนั้นมาได้กลับถูกทรยศในท้ายที่สุดด้วยซ้ำมือของเขาเอง

แต่ไอส์ก็ยังจะทำแบบเดิมอีก

เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ไม่ได้ย้อนมองตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว

เขานั้นเน่าเหม็นไปจนถึงเนื้อใน

ไม่ว่าจะพยายามพูดตบแต่งให้ดูดีแค่ไหน สุดท้ายเนื้อในที่เน่าเหม็นก็ไม่มีทางเปลี่ยน

ไม่มีทางที่ใครจะยอมรับฟังคำขอร้องคนตาเฒ่าแบบนี้หรอก

พวกเอเทอร์น่าเองก็เข้าใจดีและไม่พูดอะไร

ถึงอย่างนั้น เวอร์เนลก็คิดในใจ

ถึงอย่างนั้น ถ้าเป็นเธฮล่ะก็—

“อย่างน้อยที่สุด ชั้นก็จะรับฟังค่ะ…องค์ราชาไอส์”

น้ำเสียงอ่อนโยนผ่านเข้ามายังตัวของไอส์ที่สิ้นหวัง

ทุกคนหันหน้าไปยังเสียงนั้น ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือเอลริสผู้ยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ท่านเอลริส…? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่…?”

“…ถึงจะถามแบบนั้น ชั้นก็เพียงแค่ได้ยินเสียงของพวกคุณน่ะค่ะ”

เธอตอบคำถามของเวอร์เนลหลังจากที่ยืนคิดอยู่ชั่วครู่

สำหรับเอลริสแล้ว การพยายามที่จะช่วยเหลือผู้อื่นแม้จะไม่ถูกขอก็คงเป็นเรื่องธรรมชาติ

เธอย่อตัวลงหาราชาไอส์ที่คุกเข่าอยู่

นั่นอาจจะทำให้ชุดเดรสของเธอเปรอะเปื้อน แต่เธอก็หาได้ใส่ใจในเรื่องนั้นไม่

เอลริสจ้องมองเข้าไปในตาของไอส์ที่หมาดกลัว และพูดกับเขาราวกับต้องการจะปลอบประโลม

“ชั้นได้ยินแล้วค่ะ…ราชาไอส์ เสียงที่คุณเอ่ยออกมาไม่ได้ เสียงในหัวใจของคุณที่ต้องการความช่วยเหลือ ในส่วนที่เหลือนั้น…ปล่อยให้ชั้นจัดการต่อเองค่ะ”

“จะ เจ้า…ทำไมถึงไม่เกลียดข้าล่ะ!? ข้าทรยศเจ้านะ! ข้าเหยียบย่ำความเชื่อใจของเจ้าอย่างไม่มีชิ้นดีและจับเจ้าขังไว้! เจ้าจะให้อภัยข้าง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไรกัน!”

เสียงของไอส์นั้นฟังดูสับสน

เขาทรยศเธอ ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอมีให้

เขาเข้าใจดีว่าเรื่องเช่นนั้นไม่ใช่อะไรที่สามารถยกโทษให้ได้ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้รับการให้อภัยไปตลอดชีวิต

แต่ในดวงตาของเอลริสนั้นไม่มีความโกรธอยู่แม้แต่เศษเสี้ยว

ไอส์ไม่อาจเข้าใจได้

“ชั้นไม่เกลียดคุณหรอกค่ะ เพราะฉะนั้น หยุดโทษตัวเองได้แล้วค่ะ ถ้าคุณบอกว่าจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ …ถ้าอย่างนั้นชั้นจะให้อภัยคุณเองค่ะ”

“ขะ ข้า…ข้าอาจจะทรยศเจ้าอีกก็ได้นะ!? เจ้าจะยกโทษให้กับคนที่ทรยศเจ้าได้ยังไง!?”

ต่อให้โดนทรยศ ต่อให้อัศวินที่คอยปกป้องเธอหันหลังให้

เธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

หากเธอได้ยินเสียงใครร้องขอความช่วยเหลือ เธอก็จะตรงไปช่วยในทันที

เวอร์เนลจำเรื่องนี้ได้อีกครั้ง เขาขยี้ตาตัวเอง ราวกับว่าเขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ส่องประกายเจิดจ้า

“ถ้าคุณต้องการการให้อภัย ชั้นก็จะยกโทษให้คุณเองค่ะ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม ต่อให้คุณจะทำเรื่องที่เรียกว่าการทรยศอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง…ต่อให้เป็นอย่างนั้น ชั้นก็จะไม่ทอดทิ้งคุณไปค่ะ”

เอลริสยิ้มกว้าง พร้อมยื่นมือออกมาด้านหน้า

“เพราะแบบนั้น ก็ถึงเวลา…ที่คุณจะให้อภัยตัวเองได้แล้วค่ะ”

ไอส์ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป

ไม่ว่าเขาจะก่อบาปมามากแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะทรยศไปสักกี่คน ไม่ว่าจะทำความชั่วร้ายไปเพียงใด เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยถือคติที่ว่าเขากำลังช่วยเหลือผู้คนอยู่

แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อแก้ตัว เขาใช้เรื่องนั้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อจะมองข้ามบาปของตัวเอง

เซนต์ที่เขามองเป็นพี่สาวต้องตายไป เซนต์ที่เขารักเหมือนน้องสาวก็ตกตายตามไปอีกคน

เพื่อหยุดวังวนอุบาทว์นี้ เขากลายเป็นมารร้ายที่หักหลังเซนต์อเล็กเซีย เป็นแค่การทรยศดาษดื่น

ยิ่งกว่านั้นเขายังทรยศเซนต์รุ่นปัจจุบันอย่างเอลริส และเตรียมพร้อมที่จะถูกตราหน้าเป็นอาชญากรโดยคนรุ่นหลัง

คำพูดคำเดียวนั้นมีค่ากับคนอย่างเขามากแค่ไหน มีเพียงเจ้าตัวเองเท่านั้นที่สามารถบอกได้

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา เขามองข้างหน้าไม่เห็นอีกแล้ว แต่ก็ยังสามารถคว้ามือที่ยื่นมาหาข้างนั้นไว้ได้

ไม่ว่าชายผู้นี้จะตกต่ำไปมากแค่ไหน เขาก็ยังไม่ถูกทอดทิ้ง

ภายใต้ความรู้สึกที่อบอุ่นนั้น ชายชราร้องไห้ราวกับเด็กตัวน้อยๆ