บทที่ 4 ตอนที่ 10

 

 

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

 

 

สายตาอันแสนพร่ามัวค่อยๆฟื้นคืนได้สติกลับมา และเห็นภาพตรงหน้าอย่างคลุมเครือ

 

 

เส้นทางที่ส่องแสงสว่างท่ามกลางแสงดาว ถนนเรียบๆที่ถูกปกคลุมไปด้วยกรวดและทุ่งหญ้า

 

 

เมื่อผมสังเกตเห็น ผมก็กลับมาอยู่ที่ถนนที่ทอดยาวจากป่าไปยังเขตนอกเมืองเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้อยู่ในบ่อเลือดที่มีซากศพกระจัดกระจายไปทั่ว เขากลับมาทางอาร์คาซัมโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

 

 

บอกตามตรงรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้กลับไปที่กระท่อมของชิโนะในสภาพนี้ ไม่อยากให้อาจารย์ต้องมาเห็นภาพลักษณ์อันแสนน่ารังเกียจ

 

 

ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาที่มีความคิดแบบนี้ ใบหน้าอันแสนบิดเบี้ยวนั่น ทำให้ใบหน้าของผมมีเลือดอาบไปทั่วและใบหน้าอันแสนน่ารังเกียจนี่

 

 

(ผม หนีอีกแล้ว…………)

 

 

ความจริงที่มาพร้อมกับเคนนั่น ผมไม่อยากจะยอมรับมันเลย ไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับมัน อยากจะสะบัดทุกอย่างทิ้งไป ณ ตรงนี้

 

 

โดยการเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย และยังทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า

 

 

แต่ทำแบบนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะทำไปก็ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลง

 

 

(ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง………ลิซ่าทิ้งผมไปแล้ว……ไม่เหลืออะไรแล้ว……)

 

 

ภายในหัวของผมมีความคิดอันแสนยุ่งเหยิง

 

 

ผมคิดอะไรไม่ออกได้แต่เกลียดตัวเองที่พึ่งพาพลังเหล่านั้นเพื่อหนีจากความเป็นจริง

 

 

ถึงกระนั้นร่างกายของผมก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า จิตใจและร่างกายมันแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

 

 

โดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ผมเดินด้วยท่าทางโซเซและสั่นกลั่ว

 

 

 ซึ่งไม่รู้แล้วว่าจะมุ่งไปที่ไหนต่อ……。

 

 

◇◆◇

 

 

「หาาาาววว…………」

 

หลังจากอาบน้ำ ฉันก็กำลังดูดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนบนคฤหาสน์

 

 

ลมกลางดึกพัดผ่าน และถึงแม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแต่อากาศเย็นๆก็พัดพาเอาความร้อนออกไป

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะชำระล้างร่างกายมากมายขนาดไหน แต่ความขุ่นมัวในใจไม่ได้จางหาย

 

 

ฉันกำลังคิดถึงเขา

 

 

เมื่อเร็วๆนี้ ฉันเริ่มคิดถึงเขาบ่อยมากขึ้น

 

 

ยามเช้าที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง ยามเรียนในคาบบรรยาย ยามฝึกในคฤหาสน์ หรือแม้กระทั่งตอนทานข้าว

 

 

แม้ว่าฉันจะชำระล้างร่างกายด้วยการอาบน้ำ เพื่อทำให้หัวโล่ง แต่ตอนนี้ก็กลับมาคิดถึงเขาอีกแล้ว

 

แต่ว่าวันนี้ หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกมีความสุขอยู่เสมอ

 

หลายๆคนมักจะบ่นยามที่ฉันเข้าไปหาเขา แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะโดนมองเช่นไร

 

 

◇◆◇

 

 

และก็ตอนที่ได้คุยกับลิซ่า

 

 

เธอพยายามกีดกันฉันไม่ให้เข้าใกล้เขา ถ้าปล่อยไปตามเดิมเช่นนี้ได้มีเรื่องกันแน่ๆ

 

 

ฉันถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็ไม่ตอบและเดินจากไป

 

 

ใบหน้าของเธอในตอนนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ราวกับเขาไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็กของเธอ

 

「……เฮ้ออออ…………」

 

ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย และแม้ว่าฉันพยายามจะตามหาต้นตอเกี่ยวกับตัวเขาให้มากที่สุด แต่เพื่อนสนิทกับน้องสาวของฉันก็บอกว่าให้เลิกทำแบบนั้น

 

 

หลังจากนั้น ตอนที่ได้ยินเรื่องราวจากอิน่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลิซ่า ฉันก็อดที่จะถามตัวเองไม่ได้

 

ฉันไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

และตอนนี้เขาก็ยังทุกข์ทรมานใจเพราะลิซ่า

 

 

แต่ตอนนั้นตัวฉันก็ไม่เคยรู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย

 

เมื่อฉันเห็นภาพลักษณ์ของเขาที่ต่างไปจากในข่าวลือ ฉันรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหนจากการที่เขาช่วยฉันและน้องสาวพลังนั่นไม่ใช่แค่การปลด “พันธนาการ” ธรรมดา

 

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากพูดถึงมัน

 

 

「…………เฮ้อ…………」

 

ฉันถอนหายใจบ่อยครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกำลังดิ่งลงเรื่อยๆ

 

 

วันนั้นฉันมักจะเอามือข้างที่เขาจับมือฉันกุมอกไว้เสมอ

 

 

คืนหลังจากนั้นฉันก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ร่างกายเริ่มร้อนผ่าวและทุกครั้งที่มองที่มือที่เขาจับ แก้มของฉันก็ผ่อนคลายลง

 

 

แต่ตอนนี้ เมื่อฉันมองไปที่มือนั่น มันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจ

 

 

ฉันอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรจากเขาเลยแม้แต่น้อย

 

ฉันอยากให้เขาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฉันฟังเยอะๆ แต่เขาไม่เคยคิดจะพูดถึงมันเลยแม้แต่น้อย

 

คำถามที่ไม่ได้คำตอบยังคงวนเวียน ทุกครั้งที่นึกถึงก็จะปวดใจจนฉันเริ่มหมดความอดทน

 

 

ท้ายที่สุด ความกังวลใจนี่ก็ไม่หายไปแม้ลมยามค่ำคืนจะช่วยพัดผ่านมันไปก็ตามที

 

 

◇◆◇

 

 

「อืม………มาช้าจังเลยนะ……」

 

ฉัน ซีน่า・จูเรียล กำลังค้นคว้าอยู่ในห้องสมุดหลังเลิกเรียน

 

 

สถาบันโซลมินาติก่อตั้งขึ้นจากหลายประเทศทำให้มีหนังสือจากหลากหลายประเทศถูกรวบรวมไว้ในสถานที่แห่งนี้

 

 

ฉันถือกระเป๋าไว้ในมือ พร้อมกับเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินสีเข้ม ออกจากอาคารของสถาบันโซลมินาติ ผ่านสวนสาธารณะตรงกลาง และมุ่งหน้าไปยังถนนสายหลัก

 

 

แสงไฟที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ถูกติดตั้งทั่วทั้งถนนสายหลักแห่งนี้ มันทำให้ถนนสว่างไสวแม้จะอยู่ในช่วงยามค่ำคืน

 

แสงจากเวทมนตร์เหล่านั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากหินเวทมนตร์และทำให้ใช้วิธีการจุดให้สว่างเพื่อให้แสงยามค่ำคืน

 

 

แม้ว่าจะเป็นของราคาแพง แต่ความสำคัญของมันที่คอยใช้สอดส่องเมืองยามค่ำคืนก็เหมาะแล้วที่จะลงทุนเพื่อความปลอดภัย

 

 

◇◆◇

 

 

「วันนี้ไม่เข้าใจเรื่องราวเลยสักนิด…………」

 

สิ่งที่ฉันตรวจสอบในวันนี้คือเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่มันขโมยบ้านเกิดเมืองนอนของฉันไปฟอสซิล

 

 

ป่าฟอสซิลเป็นป่าที่ได้รับการปกป้องจากจิตวิญญาณ แต่ที่นั่นก็กลายเป็นศูนย์กลางของการรุกรานครั้งใหญ่เมื่อ 10 ปี ก่อนและเหล่าสัตว์อสูรจำนวนมากได้บุกเข้าไปในดินแดนแห่งนั้น เรา เหล่าเอลฟ์สูญเสียที่อยู่และต่างต้องทิ้งสถานที่ๆเป็นบ้านเกิดไป

 

 

แต่ถึงยังงั้นพวกเราก็ยังไม่ทิ้งบ้านเกิดเมืองไปหรอก

 

 

สักวันจะเอาป่าที่เป็นบ้านเกิดของพวกเรากลับคืนมาจากพวกสัตว์อสูรเหล่านั้น

 

แน่นอน มันไม่ใช่แค่ฉันที่คิดเรื่องนี้เพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงเพื่อนร่วมเผ่าและประเทศต่างๆด้วย

 

 

ถึงอย่างนั้นฉันก็ไปที่ห้องสมุดทุกวันและกิลด์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจ

 

หนังสือจากห้องสมุดของสถาบันนั้นรวบรวมมาจากทั่วทุกประเทศทำให้มีหนังสือจำนวนมากถูกเก็บไว้ หนังสือนั่นเยอะเสียจนอายุคนธรรมดาทั่วไปทั้งชีวิตก็อ่านไม่หมด

 

 

เนื่องจากหนังสือมันเยอะถึงขนาดนั้น ฉันเลยหวังว่ามันจะมีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับสัตว์อสูรตัวนั้น แต่หลายปีที่เข้ามาในสถาบันแห่งนี้ก็ไม่เจอมันเสียที

 

「เฮ้อ………อุบ! สุดท้ายฉันก็ทำไม่ได้」

 

ฉันสังเกตได้ทันทีว่าเผลอถอนหายใจออกไป จึงรีบดึงสติกลับคืนมา

 

「……?」

 

ขณะนั้นก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณของบุคคลใกล้เคียง สถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากย่านการค้าจึงไม่มีใครจะมาเดินหรอก

 

เมื่อมองเห็นสัญญาณนั่น ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาจากถนน มันมาจากถนนใหญ่นอกเมืองไม่ใช่มาจากถนนสายหลัก

 

 

ในทางตรงกันข้ามแสงนั่นจะส่องกระจายไปทั่วความมืดมิด ดังนั้นแม้ว่าจะเดินตามรอยเท้าก็ไม่สามารถเห็นรอยเท้าของบุคคลได้หรอก

 

ฉันนั่งลง

 

 

ฉันไม่เก่งกับกับการที่จะสู้กับมนุษย์เท่าไรนัก

 

 

ไม่ว่าเมืองอาร์คาซัมจะปลอดภัยแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอาชญากรรม

 

 

ไม่มีการรับประกันว่าสาวน้อยที่เดินเตร็ดเตร่ยามดึกจะไม่โดนโจมตีช่วงกลางดึก

 

เสียงฝีเท้าค่อยๆดังขึ้น

 

 

ฉันออกแรงปานกลางไว้ที่ขาทั้งสองข้างพร้อมกับจะเคลื่อนไหวตลอดเวลาและแสงนั่นก็ส่องไปที่เจ้าของร่างที่เดินอยู่

 

 

มีชายคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ฉันขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นเขา

 

 

ร่างกายของเขาสกปรกมาก ไม่เห็นหน้าเพราะเขาก้มหน้าอยู่ แต่ไหล่ของเขากว้างกว่าผู้หญิง และดูจากภายนอกก็รู้ว่าเป็นผู้ชาย

 

 

อย่างไรก็ตามมีคราบโคลนมากมากและเลือดติดอยู่ทั่วร่างกาย

 

 

「เดะ เดี๋ยวก่อน! คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?!」

 

เมื่อเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงรีบเข้าไปหาชายคนนั้นทันที ผ้าและแขนเสื้อฉีกขาดและพอมองใกล้ๆก็เห็นเป็นชุดเครื่องแบบของนักเรียนสถาบันโซลมินาติ

 

เมื่อฉันวิ่งไปและพยายามตรวจสอบสภาพบาดแผล ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นฉันและเงยหน้าขึ้น

 

「นี่นาย…………」

 

ฉันคุ้นเคยกับใบหน้าของชายคนนี้ เพราะเป็นใบหน้าที่ฉันเคยเห็นมาก่อน

 

โนโซมุ・เบลาตี้

 

ชายหนุ่มผู้โดนเพื่อนร่วมชั้นกลั่นแกล้งเมื่อสองสามวันก่อน

 

เขามีเลือดไหลทั่วทั้งตัวและเดินโซเซ

 

ตัวฉันเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆกับเขาหรอก ไม่มีใครจะมีความรู้สึกดีๆให้กับคนที่หักอกสาวเพราะนอกใจหรอกนะ

แต่ไม่ว่าจะเกลียดกันมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถปล่อยคนเจ็บไปตามลำพังได้หรอก

 

 

「ยังไงก็ตามรีบไปหาหมอได้แล้ว……」

 

ฉันพยายามพาเขาไปหาหมอ แต่เขาไม่ยอมเดินตามมา

 

「เดี๋ยวก่อน! ถ้าไม่รีบไปแผลนั่นจะทำให้นายตายได้นะ!เพราะงั้นรีบตามมาเร็วเข้าสิ!!」

 

พูดจบก็พยายามดึงมือเขาแต่เขาก็ไม่ขยับ เหมือนว่าเขาจะไม่ยอมไปหาหมอ

 

 

เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันก็ตระหนักได้ เวลาแบบนี้ที่คนนอนหลับกันหมดแล้ว ที่ไหนจะเปิดรักษากันล่ะ

 

 

แต่ว่าชายตรงหน้าฉันต้องการๆรักษาอย่างเร่งด่วน ในเวลานี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องความชิงชังต่อเขาแล้ว

 

「อาาา โมววววววว!! ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย!!」

 

ฉันบังคับดึงมือเขาและเริ่มลากเขาไป ช่วงนี้ฉันต้องพาเขาไปหาสถานที่รักษาที่ใกล้ที่สุด

 

 

ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ฉันคิดว่าต้องบังคับเขาแล้ว อย่างน้อยฉันก็ต้องรักษาขั้นต้น

 

 

ทีแรกเขาก็ขัดขืน แต่บางทีเพราะอาจจะยอมแพ้แล้วก็ได้เลยเริ่มก้าวเดินอย่างช้าๆ

 

 

 

(ให้ตายสิ!ไปทำบ้าอะไรมาเนี่ย!!)

 

 

 

อย่างน้อยฉันก็แอบบ่นในใจและลากเขาไปด้วยกัน

 

 

◇◆◇

 

 

「เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย…………」

 

เควินบ่นพึมพำเพราะเห็นภาพที่เหลือเชื่อตรงหน้า

 

มีไซคลอปส์ที่พวกเรากำลังกังวลทั้งหลายแหล่นอนเรียงราย

 

 

ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่ที่นั่นมีไซคลอปส์จำนวนมากมายเป็น 10 ตัว หากทั้งเมืองโดนพวกนี้โจมตีในคราวเดียวเมืองเละแน่ๆ

 

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งข้าและเหล่าผู้พิทักษ์ของเมืองไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อยเพราะพวกมันทั้งหมดถูกสังหารแล้ว

 

 

ใช่แล้ว ไซคลอปส์จำนวนมากกว่า 10 ตัวถูกสังหาร ซากของมันเหมือนโดนอะไรบางอย่างตัดจนขาดสะบั้น คอขาด อวัยวะภายในกระเด็นออกมาข้างนอก มีตัวที่ไหม้เกรียมด้วย และแต่ละตัวต่างมีแผลสุดแสนอันน่าทรมาณทั้งนั้น

 

ใบหน้าของเหล่านักเรียนและผู้พิทักษ์เมืองต่างซีดเซียว บางคนทนไม่ไหวถึงกับอาเจียนออกมา ไม่แปลกใจเพราะพวกเขายังเด็กและไม่เคยเผชิญหน้ากับประสบการณ์เหล่านี้

 

「จิฮัด………เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่……」

 

「……ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ข้าคิดว่าไม่มีเวลาแล้ว ถ้ากลิ่นเลือดมันฟุ้งขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็ว สัตว์อสูรจำนวนมากจะแห่มาตามกลิ่นเลือดพวกนี้ พวกนายรีบไปกับเหล่าทหารและรีบออกจากป่าไปซะ」

 

ซากศพที่กระจัดกระจายเรียงรายนั้นได้รับความเสียอย่างหนักและมหาศาลมาก แต่ว่าสภาพศพมันยังไม่เน่าเสีย แสดงว่าคนที่ฆ่าพวกมันต้องอยู่ใกล้ๆนี่แน่

 

นอกจากนี้ เลือดจำนวนมากกระจายไปทั่วและกลิ่นของศพมันตลบอบอวลทั่วพื้นที่

 

 

ถ้าสัตว์อสูรมันมารวมตัวกันมันคงยากที่จะป้องกันทุกคน นอกจากนี้ยังมีพวกนักเรียน

 

 

 

แยกทหารออกส่วนหนึ่งคอยตรวจสอบซากศพของพวกไซคลอปส์และกลับเข้าเมืองภายในทันที ทั้งหมดที่ทำได้มีแค่นี้

 

 

 ภัยคุกคามที่มากกว่าเหล่าไซคลอปส์ ความรู้สึกกลัวมันกำลังก่อตัวขึ้นในอกของข้า……。