ตอนที่ 40 เพราะว่าปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 40 เพราะว่าปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์

ชายชราเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยกำลังยืนเล่นโทรศัพท์อยู่

“หนุ่มน้อย เรียนแพทย์แผนจีนเหรอ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

ไป๋เยี่ยตอบ “ปีนี้ยี่สิบสี่ครับ อยู่ปีห้า”

ชายชราคนอื่นๆ ได้ฟังก็หันมามองหน้ากัน อายุยี่สิบสี่งั้นเหรอ ทั้งห้องไม่มีคนอายุน้อยกว่าสามสิบเลยไม่ใช่เหรอ

ชายชราคนนั้นถามต่อ “โอ้ เก่งจังล่ะพ่อหนุ่ม อายุแค่ยี่สิบสี่แต่เข้ารอบระดับประเทศได้ เยี่ยมยอด! แล้วข้อสอบวันนี้ยากไหม”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า “อืม เป็นข้อสอบที่ดีมากครับ ตรงไปตรงมามาก โจทย์แต่ละข้อมุ่งเน้นไปที่การทดสอบความคิดของผู้เข้าสอบ แต่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเข้าใจในตำราต่างๆ ด้วย ข้อที่หนึ่งเน้นแนวคิดเรื่องความกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ข้อที่สองเน้นเรื่องร่างกายของมนุษย์ ส่วนข้อที่สามต้องการทดสอบ…”

ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูด

พวกจางเสวียเวิ่นถึงกับผงะและหันหน้ามองกันไปมา พวกเราเคยคิดไปถึงขั้นนั้นบ้างไหม คงเคยบ้างแหละน่า…

ที่จริงพวกเราก็เก่งใช่ย่อยนะเนี่ย ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นแค่โจทย์สั้นๆ ง่ายๆ ข้อหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกลับแฝงไปด้วยความรู้ ทำไมตอนคิดโจทย์พวกเราถึงไม่ได้คิดถึงจุดนี้กันนะ!

จางเสวียเวิ่นตบต้นขาดังฉาด ชายชราทั้งห้าคนมองหน้ากันอย่างรู้ใจ

พวกเขากลุ้มใจเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีว่าทำไมข้อสอบถึงยากขนาดนั้น พูดได้ไม่เต็มปากว่าการคัดเลือกเสาหลักของประเทศไม่ใช่การคัดเลือกอัจฉริยะทั่วๆ ไปคนหนึ่ง ต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้!

บางคำพูดก็ได้แต่คิด พูดออกไปไม่ได้

จางเสวียเวิ่นมองชายชราที่นั่งตรงข้ามเขา รอตอนสอบเสร็จแล้วทางการออกประกาศมาก่อน ก็ค่อยถือคำพูดนี้เป็นคำแก้ตัวแล้วกัน ใช้ได้และทันเวลาพอดี!

ชายชราตรงข้ามขมวดคิ้วและขยิบตา ดี! พูดได้ดีมาก ทฤษฎีการแพทย์และแก่นสำคัญถือเป็นการผสมผสานแนวคิด ขณะที่ทดสอบรากฐานก็ทดสอบแนวคิดไปด้วยเลย! ยอดเยี่ยม!

จางเสวียเวิ่นขยิบตาตอบ ใช่แล้ว! พวกคุณจำไว้เลยนะ ว่าต้องทำแบบนี้ ไว้องค์กรมาถามก็อธิบายไปแบบนี้แหละ

ไป๋เยี่ยตะลึง

คนสูงอายุกลุ่มนั้นน่าทึ่งมาก! พวกเขาไม่ใช่คนทั่วไปแน่ๆ ทั้งการเดินหมาก การส่งสายตา และลีลาต่างๆ นั้นไม่ธรรมดาเลย!

ถ้าอยู่ในสงครามล่ะก็ คนพวกนี้น่าจะเป็นหน่วยแจ้งข่าวที่เก่งที่สุด

พวกเขาแค่ขยิบตาก็สื่อสารกันได้จริงเหรอ

ไป๋เยี่ยถอนหายใจ ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์อยู่วันยังค่ำ คนธรรมดาๆ อย่างพวกเราไม่ควรเอาตนเองไปเทียบกับพวกเขาเลย! พวกเรายังห่างไกลจากพวกเขามาก

จู่ๆ จางเสวียเวิ่นก็เอ่ยถามขึ้น “พ่อหนุ่ม ก็ดูพูดจามีเหตุมีผลดีนี่ ทำไมถึงทำไม่ได้ล่ะ”

ไป๋เยี่ยเก็บโทรศัพท์ก่อนจะตอบไป “ก่อนสอบ พ่อส่งข้อความมาหาผมว่าแม่ไม่อยู่บ้าน ไม่มีคนทำกับข้าวให้ เลยให้ผมสั่งเดลิเวอรี่ให้น่ะครับ”

ชายชราทั้งห้าคนเบ้ปาก พวกเขาแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

จู่ๆ ชายชราคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์เดือดพล่าน “รู้ไหมว่านี่คือการสอบระดับประเทศ มีคนจากทั้งประเทศคอยติดตามอยู่ตั้งเท่าไหร่ แล้วมีตั้งกี่คนที่อยากมาแต่มาไม่ถึงฝั่งฝัน! แก…แกนี่มันทำเสียโอกาสจริงๆ! เฮ้อ!”

จางเสวียเวิ่นส่ายหัวพลางถอนหายใจ เขาผิดหวังนิดหน่อย เพราะตอนแรกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้วเขาจะเป็นคนไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ

ทว่าขณะนี้ ประตูห้องสอบก็เปิดออก อาจารย์ที่เพิ่งเก็บข้อสอบของไป๋เยี่ยไปถือข้อสอบฉบับหนึ่งไว้ในมือและกำลังวิ่งมาหาชายชรากลุ่มนี้ด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน

“อาจารย์จาง คุณดูข้อสอบฉบับนี้สิ!” มือของอาจารย์คุมสอบสั่นระริก แววตาของเขาแฝงด้วยความเหลือเชื่อ

จางเสวียเวิ่นผงะ “ทำไมเหรอ มีคนทำเสร็จแล้วเหรอ เก่งจังเลย นี่ก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วนี่เนอะ”

พูดจบเขาก็รับข้อสอบฉบับนั้นมาอ่านดู ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปในทันใด!

นี่มัน…

เขาขมวดคิ้วและหยิบกล่องแว่นตาออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ สวมแว่นตาอ่านหนังสือแล้ววางข้อสอบฉบับนั้นลงบนโต๊ะ

ชายชราคนอื่นๆ ก็รีบมานั่งข้างๆ และลองอ่านดูด้วยความสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้จางเสวียเวิ่นตื่นตระหนกถึงขนาดนี้!

ทันทีที่ได้อ่าน สีหน้าของแต่ละคนก็จริงจังขึ้นมา

นี่มัน…เหมือนกับเฉลยเลยนี่นา

เหมือน! แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว!

อย่างเช่นข้อที่หนึ่ง เขาตอบโดยเริ่มจากการแนะนำธาตุทั้งห้าและอากาศทั้งหกของปีก่อนๆ และ วิเคราะห์สภาพของแต่ละพื้นที่ เช่น ที่มณฑลชวนสู่มีสภาพอากาศชื้น เกิดโรคได้ง่าย ต้องกินอาหารรสชาติเผ็ด…เขาพูดถึงทั้งสภาพอากาศ สภาพภูมิศาสตร์ และอาหารการกินอย่างมีหลักการ แล้วเชื่อมทั้งฟ้าดินและมนุษย์เข้าหากัน

จางเสวียเวิ่นตบต้นขาดังฉาดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะตะโกนขึ้น “ดีมาก!”

ชายชราคนอื่นๆ พากันตกใจ แต่เมื่อพวกเขาได้อ่านจนจบ ก็พลอยทึ่งตามๆ กันไป

ไม่ใช่แค่ข้อหนึ่ง แต่ทุกๆ ข้อนั้นมีการวิเคราะห์ที่ละเอียดมาก ถือว่ามีมาตรฐานกว่าเฉลยเสียอีก

จางเสวียเวิ่นนึกอะไรขึ้นได้ เขาพลิกดูหน้าแรกของข้อสอบและได้เห็นข้อมูลของผู้เข้าสอบ

‘ไป๋เยี่ย มณฑลจิ้นซี เลขประจำตัว: xxxx0055’

จางเสวียเวิ่นพึมพำกับตนเอง ไป๋เยี่ยงั้นเหรอ ไป๋เยี่ย!

เขาหันไปจ้องอาจารย์คุมสอบและถามขึ้น “เขาไปไหนแล้ว พาเขามาสิ”

สีหน้าของอาจารย์คุมสอบคนนั้นเปลี่ยนไปทันที เขาเอ่ยเสียงสั่น “ส…สอบเสร็จเขาก็ออกไปเลยครับ!”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสิ้นหวัง ใครจะไม่อยากรับยอดอัจฉริยะแบบนี้เป็นลูกศิษย์กัน!

ทันใดนั้น อาจารย์คุมสอบก็เหือบไปเห็นไป๋เยี่ยที่กำลังยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “นั่นเขานี่ เขานั่นแหละไป๋เยี่ย”

ชายชราทั้งห้าพากันตกตะลึง!

พ่อหนุ่มเดลิเวอรี่เหรอ

เขาเนี่ยนะไป๋เยี่ย!

เขาออกมาก่อนเพราะทำเสร็จแล้วจริงเหรอ

แล้วเขาก็ไม่ได้ส่งกระดาษเปล่าด้วย!

แถมยังได้คะแนนเต็มอีก!

จางเสวียเวิ่นถอนหายใจและหันไปทางไป๋เยี่ย “คุณคือไป๋เยี่ยเหรอ”

ไป๋เยี่ยชะงักก่อนจะพยักหน้ารับ

จางเสวียเวิ่นขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่!

ผ่านไปชั่วครู่…ขณะที่ทุกคนกำลังลุ้นว่าเขาจะพูดอะไร จางเสวียเวิ่นก็ค่อยๆ เอ่ยปากช้าๆ “สั่งอะไรมากินเหรอ”

พรืดดด!

ทุกคนแทบจะล้มลงไปกับพื้น

ไป๋เยี่ยเองก็พูดไม่ถูก “ข้าวหน้าหมูผัดซอสกับซุปไข่ใส่สาหร่ายครับ”

จางเสวียเวิ่นร้องโอ้ก่อนจะยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “สั่งข้าวให้พวกเราห้าคนด้วยสิ! เอาหมูผัดซอสเหมือนกัน อืม…เอาซุปไข่ใส่สาหร่ายด้วย…”

ทุกคนรวมถึงไป๋เยี่ยต่างพากันเงียบ

ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังสั่งเดลิเวอรี่อยู่นั้น ชายชราคนหนึ่งก็ส่งสายตาไปที่จางเสวียเวิ่น “ทำอะไรเนี่ยเหล่าจาง”

จางเสวียเวิ่นเลิกคิ้วตอบ “ฉันอยากรู้ว่าตอนอัจฉริยะสั่งข้าวจะเหมือนกันคนอื่นๆ ไหม ว่าแต่…ฉันจะเคี้ยวหมูผัดซอสไหวไหมนะ เหล่าหูคิดว่าไง”

เหล่าหูมองด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นัก “ให้ตายสิ ฉันจะไปรู้ไหม ฉันไม่กินเผ็ดนายยังไม่ถามสักคำเลย”

จางเสวียเวิ่นถอนหายใจ พร้อมกับขยิบตาให้เหลาสวี่ที่อยู่ข้างๆ “เหลาสวี่พกเงินมาไหม เอาเงินค่าข้าวให้ไอ้หนุ่มนั่นทีสิ”

เหลาสวี่หลับตาลง “ไม่เห็นโว้ย! ไม่มีเงินด้วย!”

จางเสวียเวิ่นเห็นว่าทุกคนเอาแต่หลับตาลง จึงหยุดพูดเรื่องเงินแล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติก่อนที่ตนจะหลับตาลงบ้าง เพราะอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้พกเงินมาเหมือนกัน…อืม ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่นี่ ถึงเขาจะดูไม่ค่อยพอใจแต่ก็ต้องทำอยู่ดี อืม ไม่เลว!

ไป๋เยี่ยเห็นว่าปรมาจารย์ด้านการแพทย์ระดับประเทศทั้งห้าคนต่างพร้อมใจกันหลับตาลง ความรู้สึกมากมายก็ผุดขึ้นในใจของเขา ที่แท้ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์อยู่วันยังค่ำ