บทที่ 31 อารมณ์เข้มข้นขึ้น

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสบตาเขา แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาสีดำคู่นั้นเต็มไปด้วยคำเตือน 

หนานกงเลี่ยจำต้องกลืนคำพูดกลับลงคอ เขาขนลุกไปทั้งร่าง ขณะใช้สายตาใสซื่อมองอีกฝ่ายกลับไป 

องค์ชายที่ติดใจการเล่นเป็นยาจกช้อนดวงตาหงส์ของตนขึ้นอย่างเกียจคร้าน ขณะที่ใช้นิ้วลูบริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายว่า “ถ้าเงินชดเชยนั้นเป็นที่น่าพอใจ ข้าจะแถมบริการอื่นให้เจ้าด้วย” 

บริการอื่นหรือ!? 

ทันทีที่ได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามที่ชวนให้นึกถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมนั้นเข้า บรรดาเด็กสาวจากตระกูลขุนนางที่อยู่รอบๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเตาให้เปลวไฟแผดเผาร่าง แก้มทั้งสองข้างของพวกนางร้อนผ่าวจนกลายเป็นสีแดง 

ท่านอาจารย์โกรธจนพูดไม่เป็นภาษา เขาส่งเสียงฮึดฮัดออกมา พลางทุบหน้าอกตัวเอง “เจ้า พวกเจ้า!” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งสายตาบอกว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ให้กับเขา นางเพียงแค่ต้องการให้อีกฝ่ายเลิกไล่ตามนางเหมือนเป็นปีศาจร้าย คอยตามหลอกหลอนนางเพื่อเอาชีวิตเช่นนี้เสียทีต่างหาก นางไม่ได้ตั้งใจจะให้อีกฝ่ายใช้ร่างกายตอบแทนนางเลยแม้แต่นิดเดียว สถานการณ์ที่เหมือนอยู่ในหอนางโลมเช่นนี้มันคืออะไรกัน!? 

“แยกย้าย! พวกเจ้ารีบแยกออกจากกันเดี๋ยวนี้!” อาจารย์คว้าไม้บรรทัดมาตบลงบนโต๊ะไม้อย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นอะไร ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับศึกษาหาความรู้ หาใช่ย่านโคมแดงไม่ แต่พวกเจ้ากลับทำให้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แปดเปื้อนต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้าด้วย!” ผู้เป็นอาจารย์ชี้นิ้วอันสั่นเทาของตนไปที่หนานกงเลี่ย ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วคำรามออกมาด้วยความโกรธว่า “ออกไปนอกห้องทั้งหมด! หันหน้าเข้าหากำแพง แล้วทบทวนความผิดของตนเองเงียบๆ ซะ!” 

แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอันไพเราะและอ่อนโยนก็ดังก้องมาจากด้านนอก เป็นตู๋ซูเฟิงนั่นเอง 

“เจ้าสำนัก!” ท่านอาจารย์ยืนตัวตรงทันที 

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ลง แล้วกลับไปห่างเหินเย็นชาอีกครั้ง 

คิ้วเรียวของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดเข้าหากัน นางเข้าใจผิดไปเองหรือ ทำไมนางถึงรู้สึกว่าสายตาที่เจ้าสำนักใช้มองนางนั้นดูแปลกๆ ชอบกล 

“ดูเหมือนว่าในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าก็เริ่มทำความรู้จักเบื้องต้นกันไปแล้ว” ตู๋ซูเฟิงมองไปทั่วทุกทิศ จากนั้นสายตาของเขาจึงมาหยุดลงที่คนทั้งสาม แต่แทนที่จะตำหนิติเตียนพวกเขา ริมฝีปากของเขากลับยกขึ้นด้วยความพอใจ “เห็นทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ อาจารย์อย่างข้าก็รู้สึกยินดียิ่งนัก” 

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น มุมปากของทุกคนก็กระตุกขึ้นพร้อมกัน ท่านเจ้าสำนัก มีตรงไหนที่ทำให้ท่านเห็นว่าพวกเขารักใคร่กลมเกลียวกันหรือ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีแต่ความเคียดแค้นจนอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายทั้งนั้น! 

ตู๋ซูเฟิงยังคงหัวเราะ ก่อนจะเคลื่อนสายตาของเขาไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย 

น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ เจ้าหลานชายภูเขาน้ำแข็งของเขากลับอดทนปล่อยให้เด็กสาวคนนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้! 

หากเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ป่านนี้ที่นี่คงจะอาบไปด้วยเลือดสูงกว่าสามฉื่อแล้ว อย่างไรเสียคนที่สามารถทำให้โทสะของเจ้าเด็กคนนั้นสงบลงได้ก็มีเพียงแค่ฮ่องเต้พระองค์เดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ นั้นล้วนแต่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย 

อืม ไม่ธรรมดาทีเดียว บางทีเขาน่าจะลองตรวจสอบประวัติของเด็กสาวคนนี้ดูให้ละเอียด บางทีอาจจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นก็ได้ 

มุมปากของตู๋ซูเฟิงยกขึ้นเล็กน้อยราวกับได้ดูการแสดงที่น่าสนใจ จากนั้นเขาก็ประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วจึงปรบมือขึ้นสองสามครั้ง “เอาล่ะ ทุกคนมายืนเรียงกันตรงนี้” 

“จะให้ทำอะไรล่ะ” ตั้งแต่ที่ตู๋ซูเฟิงมาถึง หนานกงเลี่ยก็มีท่าทีเอาการเอางานขึ้นมาเล็กน้อย จะมีก็แต่น้ำเสียงที่ติดจะเกเรของเขาเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข 

เด็กชายหัวโล้นที่ยืนอยู่ข้างตู๋ซูเฟิงจ้องมองเขาอย่างดุร้าย จากนั้นก็เตะเขาจนกระเด็นด้วยขาเพียงข้างเดียว! 

“ไป๋… แค่ก เจ้า!” หลังจากที่หนานกงเลี่ยกระโดดกลับมาตั้งตัวได้แล้ว เขาก็ตะโกนลั่นหมายจะเข้าไปหาเรื่อง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ ชื่อที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นของเขาก็เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘เจ้า’ อย่างรวดเร็ว 

ใบหน้าของเด็กชายหัวโล้นแข็งกระด้าง เขากัดซาลาเปาในมือเข้าเต็มปาก แล้วเตือนอย่างน่าเอ็นดูว่า “ตั้งคำถามกับท่านเจ้าสำนัก สมควรตาย!” 

ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยมอง นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กชายหัวโล้นน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน นางอยากยื่นมือออกไปหยิกแก้มเขานัก 

แต่น่าเสียดายที่เด็กชายหัวโล้นระวังตัวแจ ดูเหมือนว่านอกจากเจ้าสำนักแล้ว เขาก็ทำตัวโหดเหี้ยมเย็นชากับใครก็ตามที่พยายามจะเข้าใกล้เขาอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝงทั้งนั้น 

แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเขาดูคล้ายกับเจ้าหมอนั่นอยู่หน่อยๆ นะ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยลอบมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ยิ่งนางมอง ความคล้ายคลึงของสองคนนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ 

แต่หลังจากคำนวณอายุอยู่ในใจอย่างรอบคอบแล้ว นางก็คิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ 

แม้ท่าทางของผู้ชายคนนี้จะน่าเกรงขามเพียงใด แต่เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น หรือต่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้กำเนิดบุตรชายอายุห้าหกขวบออกมา 

แต่สิ่งที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยคาใจที่สุดก็คือท่าทางของตู๋ซูเฟิง เจ้าสำนักผู้นี้ดูอ่อนโยน ไม่เป็นพิษเป็นภัย ตั้งแต่เข้ามาที่นี่จนถึงตอนนี้ก็ยังเอาแต่ยิ้มไม่หุบ เหมือนกับว่าต่อให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เขาก็ยังจะสามารถรักษาความสุขุมเยือกเย็นของตนเอาไว้ได้ 

คนที่สามารถทำได้ถึงขนาดนั้น ย่อมไม่ใช่แค่เจ้าสำนักธรรมดาๆ แน่! 

เหมือนตู๋ซูเฟิงจะสังเกตเห็นสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขางมองนางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ดูเหมือนทุกคนจะสงสัยว่าข้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ กฎระเบียบของสำนักไท่ไป๋ในปีนี้จะแตกต่างจากปีก่อนๆ อีกสักครู่พวกเจ้าทุกคน รวมถึงบรรดาศิษย์ใหม่จากหอชั้นเลิศ หอชั้นเยี่ยม และหอชั้นดีจะได้เลือกวิชาเอกในอนาคตด้วยตัวเจ้าเอง ทั้งยังสามารถเลือกหลักสูตรวิชาตามความชอบของตนได้ด้วย แต่จงจำใส่ใจไว้ให้ดีว่าเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเลือกวิชาใดไปแล้ว เจ้าจะต้องแข่งขันกับคนที่เลือกสาขาเดียวกันที่งานทดสอบความสามารถซึ่งจะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนนี้ หากพวกเจ้าไม่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานได้ล่ะก็… น่าเสียดายยิ่งนัก ที่พวกเจ้าจะต้องเสียสิทธิ์ในการเป็นศิษย์ของสำนักแห่งนี้ไป” 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข่าวนี้เป็นระเบิดลูกใหญ่สำหรับบรรดาศิษย์ใหม่จากหอสามัญ ทุกคนตัวแข็งค้างอยู่กับที่ แล้วมองหน้ากันด้วยความตกใจ 

แต่ดูเหมือนตู๋ซูเฟิงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังตื่นเต้นไม่พอ เขาลูบคางของตน แล้วกล่าวเสริมว่า “จริงสิ ข้าลืมบอกไป อัตราผ่านมีเพียงแค่สามในสิบเท่านั้น ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี” 

ด้วยอัตราการผ่านเพียงแค่สามในสิบ อย่าว่าแต่หอสามัญเลย แม้แต่ศิษย์ใหม่จากหออื่นๆ ก็คงรู้สึกกลัวอยู่ในใจไม่ต่างกัน 

ดังนั้น การเลือกวิชาเอกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเลือกถูก ก็อาจจะช่วยให้พวกเขาสอบผ่าน แต่ถ้าหลับหูหลับตาเลือกวิชาเอก “พลังลมปราณ” เข้าล่ะก็ พอถึงเวลาทดสอบ พวกเขาคงได้ตายอย่างอนาถเป็นแน่! 

“ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีคนที่รับมือได้ยากหลายคนทีเดียว มู่หรงฉางเฟิง แล้วก็เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ พวกเขามีฝีมือเก่งกาจสะดุดตา เห็นได้ชัดว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้!” 

“คนที่เลือกวิชาเอกพลังลมปราณก็เหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ไม่มีผิด” 

“แหงล่ะ คนอย่างเราอย่าไปเลือกหนทางสู่ความตายเลยจะดีกว่า” 

“คนต่อไป เฮ่อเหลียนเวยเวย!” 

เสียงทุ้มต่ำของท่านอาจารย์ขานชื่อนาง ตัดบทคนที่กำลังกระซิบซาบกันอยู่โดยรอบ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยบิดขี้เกียจด้วยความเกียจคร้าน นางยกมือขึ้นนวดต้นคอของตน แล้วบิดตัวไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างงดงาม จากนั้นก็เดินตรงไปหาอาจารย์ 

อาจารย์ยื่นม้วนกระดาษโบราณหน้าตาเก่าๆ สีเหลืองในมือให้กับนาง หลังจากที่เห็นว่านางเป็นศิษย์จากหอสามัญ เขาก็ชี้นิ้วไปด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “สาขาผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาไปทางนั้น เจ้าเดินตรงไปได้เลย” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว นางเคลื่อนสายตาลงมองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า “ข้าเลือกเอกพลังลมปราณ ไม่ใช่การปรุงยา” 

“เจ้าว่าอะไรนะ ต้องการเลือกเอกพลังลมปราณหรือ” อาจารย์ทำหน้าเหมือนไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะได้ยิน และเผลอขึ้นเสียงสูงถามนาง 

ทันใดนั้น! 

สายตาของทุกคนก็มารวมกันที่เฮ่อเหลียนเวยเวย 

พวกเขาหัวเราะออกมาเสียงดัง “นังคนไร้ค่าคนนี้โง่หรือเปล่า” 

“คนที่มีคะแนนสอบเป็นศูนย์เช่นนางกล้าที่จะเลือกสาขาพลังลมปราณเป็นเอกหรือ นางต้องการจะทำอะไรกันแน่ อยากเป็นตัวตลกหรือไง” 

“ถึงนางจะอยากเป็นจุดสนใจ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เลยนี่ นางคงเป็นคนบ้าผู้ชายจริงๆ นางทำได้ทุกอย่างเพื่อมู่หรงซื่อจื่อ!” 

“พวกเจ้าบอกว่านางทำสิ่งนี้ก็เพื่อมู่หรงฉางเฟิงอย่างนั้นหรือ” 

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยความชั่วร้ายก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…