“มา แม่นาง กินไข่ไก่หน่อย อย่าเอาแต่กินผักกาดขาว!” ภรรยาหวังเกิงฟาคีบไข่ไก่ส่งใส่ชามซูสุ่ยเลี่ยนท่าทีเกรงใจ
“ขอบคุณท่านน้า” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มขอบคุณ
แอบเหลือบมองหลินซือเย่าที่กินข้าวอยู่ข้างนาง คีบไข่ไก่ใส่ชามเขา เห็นหลินซือเย่าเหลือบมองก็ส่งยิ้มบางให้ไม่กล่าวอันใด
หลินซือเย่าหลุบตาลง ปิดบังสายตาที่มีรอยยิ้มแฝงอยู่ลึกๆ ของเขา กินไข่ไก่ที่นางคีบให้ไปคำหนึ่ง
“จุ๊ๆ! ดูเจ้าสองคนผัวเมียสิ รักกันขนาดไหน!” นางยิ้มเดาะลิ้นสัพยอก
ตอนเช้าที่อยู่หน้าบ้านตระกูลฮัวลากนางเหลามาคุยสักครู่ จึงได้รู้ว่าซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาคิดมาแต่งงานตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัว ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อวานเพิ่งตกลงซื้อบ้านตระกูลฮัว วันนี้ตระกูลฮัวกลับกลับคำ
ตอนนั้นนางหยางเองก็มีความคิดนี้ผุดขึ้นมา แต่ติดที่สามีนางยังนั่งอยู่ในโถงตระกูลฮัว ไม่อาจตามเขาออกมาหารือได้ คิดไม่ถึงเลยว่าตาแก่ก็คิดเหมือนนาง ยังลากเขาสองคนมาคุยต่อเรื่องขายบ้านเก่าพวกเขาด้วย
นางดีใจมาก นางคิดจัดการบ้านเก่านี้นานแล้ว ห่างจากบ้านตนก็ไกล ไม่สะดวกไปดูแล บ้านทรุดโทรมจนแม้แต่ลูกชายนางแต่งงานยังไม่อยากไปอยู่ ยอมจะเบียดอยู่กับนางและสามีดีกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ขายทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า ตอนนี้ยังพอพักอาศัยได้ หากรอให้บ้านพังลงมาแล้วจะซ่อมแซมก็ใช้เงินไม่น้อย ไม่ซ่อมก็ขายได้ไม่เท่าไร
คิดเช่นนี้ นางหยางก็ต้อนรับขับสู้พวกซูสุ่ยเลี่ยนอย่างดี
……
“คือว่านะ นางหนูเอ๊ย ข้าหารือกับภรรยาแล้ว เราไม่เปิดราคาสูง ก็ราคานี้แล้วกัน” หลังอาหารกลางวัน ก็จะไปบ้านเก่าตระกูลหวังกัน หวังเกิงฟาคิดอยู่ว่าจะบอกราคาในใจตนออกไปให้ซูสุ่ยเลี่ยนฟังดีหรือไม่ จะได้ไม่ต้องรอให้นางชมบ้านเสร็จแล้วหน้าตาผิดหวัง จากนั้นจะมากดราคาตนแรงๆ
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นผู้ใหญ่บ้านยกนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นพร้อมกันส่ายไปมาหน้าตน นี่คือ…ยี่สิบตำลึง? นางแย้มยกมุมปากส่งยิ้มให้หวังเกิงฟา พยักหน้ากล่าวว่า “ท่านอาหวัง หากบ้านเหมาะสม พวกเราไม่มีปัญหา”
“เช่นนั้นก็ดีๆ” หวังเกิงฟาหัวเราะแหะๆ หุบนิ้วลงไปไพล่หลังต่อ มองไปไกลๆ เห็นชาวบ้านสองสามคนเดินมา ก็หันไปบอกซูสุ่ยเลี่ยนเบาๆ “อย่างั้น…นางหนูเอ๊ย หากเดี๋ยวมีคนถาม ก็อย่าบอกว่าข้าจะขายบ้านนะ คือว่า…แหะๆ ก่อนเจ้าจะตัดสินใจ ข้าอายหากจะแพร่ออกไป”
เขากังวลจริงๆ หากชาวบ้านคนอื่นมีความคิดเช่นตน มาดึงพวกซูสุ่ยเลี่ยนไปดูบ้านพวกเขา เทียบกันแล้ว เกรงว่านางจะเลือกบ้านคนอื่นแทน อย่างไรหวังเกิงฟาก็รู้แก่ใจดีกว่าบ้านเก่าตนเองนั้นทรุดโทรมถึงขั้นไหน
“วางใจได้ ท่านอาหวัง ข้าเข้าใจ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็พยักหน้า เดิมนางเองก็ไม่ใช่คนปากมาก ยิ่งไม่คุยเรื่องที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างกับคนอื่น
หวังเกิงฟาพยักหน้าอย่างพอใจ เป็นเด็กดีดังคาดไว้เลยจริงๆ หากไม่ใช่ว่าลูกชายตนมีแม่นางที่ต้องใจแล้ว นางหนูนี้ดีมาก ในใจหวังเกิงฟาเอาแต่คิดนั่นนี่ไม่หยุด ลืมหลินซือเย่าที่คอยปกป้องอยู่ข้างกายซูสุ่ยเลี่ยนไปเลยทีเดียว
……
บ้านเก่าตระกูลหวังตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองฝานฮัว กินพื้นที่ราวหนึ่งหมู่ เรือนหลักมีสามห้องหลัก มีห้องปีกที่ทำเป็นห้องครัวหนึ่ง ลานบ้านล้อมด้วยรั้วเตี้ยๆ หลังบ้านทางเหนือเป็นพื้นที่ว่างมีต้นอิงเถาอยู่ต้นหนึ่ง หน้าบ้านหันตะวันออกที่เดิมเป็นพื้นที่ปลูกผักผืนใหญ่ แต่หลายปีไม่ได้มาดูแล ตอนนี้มีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ตอนแรกที่บิดาหวังเกิงฟาเลือกที่นี่ก็เพราะเห็นว่าหน้าบ้านมีแม่น้ำคดเคี้ยวไหลผ่าน ทางตะวันตกสูงตะวันออกต่ำ ดังนั้นน้ำท่าที่นี่จึงกระจ่างใสจนเห็นพื้นแม่น้ำ
เพียงแต่ว่าบ้านนี้ตั้งอยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากปากทางเข้าหมู่บ้านไกลที่สุด ดังนั้นพอหวังเกิงฟาจับพลัดจับผลูได้เป็นเจ้าเมืองฝานฮัว ก็เริ่มเลือกตำแหน่งสร้างบ้านใหม่ในเมืองให้ตนเอง บิดาเขาอายุมากแล้ว เคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงไม่อาจทัดทานหวังเกิงฟา ได้แต่ย้ายไปอยู่ร่วมกับเขาในเมือง
เครื่องเรือนเดิมบ้านเก่าตระกูลหวังนั้นถูกนางฟางจัดการเรียบร้อยตั้งแต่บิดาหวังเกิงฟาย้ายบ้านไปแล้ว เหลือแต่บ้านเปล่าๆ ดังนั้นหากซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาตัดสินใจซื้อที่นี่ ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องเรือนต่างๆ อีกไม่น้อย
ซูสุ่ยเลี่ยนเดินวนรอบบ้านเก่าตระกูลหวังรอบหนึ่ง พึงพอใจกับสภาพภายนอกมาก
นอกรั้วกำแพงหน้าบ้านมีแม่น้ำคดเคี้ยวใสแจ๋วจนมองเห็นพื้นแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ข้ามฝั่งแม่น้ำที่กว้างราวเจ็ดแปดเมตรไปก็เป็นเนินหญ้าเขียวขจีผืนใหญ่ ยาวไปจรดทางตะวันตก แอบมองเห็นยอดเขางดงามลูกหนึ่ง เดาว่าเป็นยอดหนึ่งของเขาต้าซื่อกระมัง ภาพเมฆหมอกผสมผสานกับเขาคดเคี้ยวทอดตัวยาวออกไปไกล งดงามอย่างที่สุด
จากทางหลังบ้าน ทางเดินหมู่บ้านมาสิ้นสุดที่นี่ ไปทางตะวันตกก็ไม่มีทางให้ไปแล้ว ก็หมายความว่าบ้านเก่าตระกูลหวังตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้สุดของเมืองฝานฮัว หากคิดจะขยายต่อเติมห้องข้างออกอีกสองสามห้อง ขอเพียงมีเงินก็ตรงไปดำเนินเรื่องที่ในหมู่บ้านได้เลย
เพียงแต่ว่า…ซูสุ่ยเลี่ยนกวาดตามองไปยังเสาและกรอบประตูบ้านที่เริ่มใช้การไม่ได้ กำแพงด้านในยังเต็มไปด้วยรอยเชื้อราเป็นจุด กระดาษหน้าต่างก็แทบจะลอกหลุดหมดแล้ว บ้านเช่นนี้จะเอายี่สิบตำลึงหรือ นางเริ่มมองหลินซือเย่าอย่างลำบากใจ
“สิบตำลึง” หลินซือเย่าเอ่ยออกไปทันที
พอหวังเกิงฟาได้ยิน สีหน้าก็ลำบากใจไม่น้อย แอบลอบมองไปทางซูสุ่ยเลี่ยน หันไปลองกล่าวว่า “คือว่า…นางหนูเอ๊ย บ้านนี้ยังมีที่นาอีกสองหมู่นะ อยู่ทางตะวันตก ออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว คือว่า สิบตำลึงน้อยไปหน่อยไหม”
ใช่สิ ยังมีที่นาอีกสองหมู่นี่นะ ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า หันไปมองหลินซือเย่าอีกที
“สิบห้าตำลึง” หลินซือเย่ารับสายตาเชิงถามของนางมา ต่อราคาออกไป เพิ่มอีกห้าตำลึง
หวังเกิงฟาจึงพบว่าคนตัดสินใจหลักเหมือนว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาเย็นเยียบตรงหน้านี้มากกว่า ก่อนหน้าตนเองเอาแต่ไปตะล่อมซูสุ่ยเลี่ยน เห็นชัดว่าผิดทางแล้ว เพียงแต่แม้รู้ว่าคนตัดสินใจหลักคือผู้ชายคนนี้ แต่ตนเองไม่กล้าเสียงดังต่อรองราคากับเขานี่ จริงๆ นะ รอบกายหลินซือเย่ามีรังสีเย็นเยียบแผ่ออกมา ทำเอาคนอื่นที่อยู่รอบกายต่างต้องเข่าอ่อนอย่างไม่รู้ตัว
เอาละๆ มากกว่าราคาต่ำสุดที่ตนเองกับภรรยาหารือกันไว้ ก็คือสิบตำลึง เช่นนี้ก็ตกลงซื้อขายก็แล้วกัน บ้านตำแหน่งนี้เห็นชัดว่ายิ่งปล่อยไว้ยิ่งราคาลง หวังเกิงฟาคิดเช่นนี้ก็หันไปพยักหน้าให้พวกซูสุ่ยเลี่ยนอย่างแรง “ตกลง!”
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงกลับไปที่บ้านใหม่ตระกูลหวังอีกครั้ง หวังเกิงฟานำเอาแบบสัญญาจากตระกูลฮัวมาเปลี่ยนเป็นของตนแล้วก็ลงชื่อทั้งสองฝ่าย มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งมอบของ หวังเกิงฟารับเงินยี่สิบตำลึงจากซูสุ่ยเลี่ยน ในใจก็แอบเสียดายที่ต้องทอนห้าตำลึง ขณะเดียวกันกับที่ส่งมอบสัญญาบ้านและที่นาให้นางนั้นก็แอบถอนใจกล่าวว่า “นางหนูเอ๊ย วันหน้าบ้านนี้ก็เป็นของเจ้าแล้วนะ ต้องพยายามหน่อยนะ จัดการให้ดีๆ!” ถูกนางหยางหยิกแขนเข้าที หวังเกิงฟาจึงได้สติส่งยิ้มให้พวกซูสุ่ยเลี่ยนอย่างเก้อเขิน
ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางพลางพยักหน้า “แน่นอน” หันไปสบตากับหลินซือเย่า แววตาทั้งสองมีประกายดีใจลึกๆ ที่มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว ดีจริง แม้ว่าบ้านนี้ยังต้องลงแรงมีอีกไม่ใช่น้อยๆ ก็ตาม