บทที่ 13 เจตจำนงอันแน่วแน่ดั่งเหล็กกล้า

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 13 : เจตจำนงอันแน่วแน่ดั่งเหล็กกล้า

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ ‘หนู’ เจ้าเล่ห์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

หากดูผิวเผินแล้ว ‘หนู’ รูเอนดูเหมือนพ่อขายข้อมูลธรรมดา ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นคนที่คอยจับตาดูกลุ่มต่าง ๆ จากเงามืด และปลอดภัยไร้ร่องรอยมาตลอดสามทศวรรษ แม้จะเปลี่ยนแปรพักตร์จากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งเสมอ ๆ

ทว่าท้ายที่สุดชายคนนั้นกลับต้องมาเสียชีวิตในร้านหนังสือธรรมดา ๆ แห่งนี้โดยไม่ทันได้ร้อง หรือทิ้งร่องรอยใด ๆ เหลือไว้เลย

ยิ่งกว่านั้นรูเอนยังเสียชีวิตจากประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมและการประเมินที่เขาภาคภูมิใจมาก

จี้จือซู่กลับไปนั่งตรงเก้าอี้อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอรู้สึกราวกับว่าตนนั่งอยู่บนเตียงหนาม มือของนักล่าสาวสั่นเครือขณะที่กำลังถือถ้วยน้ำชาในมือ สายตาจ้องไปที่การ์กอยล์หินอย่างประหม่า

ตัวตนของปีศาจที่กลืนกินมนุษย์อย่างไร้ความปรานี กลับกลายเป็นประติมากรรมอันเงียบสงบไม่ขยับเขยื้อนในชั่วพริบตา กลับมายังจุดเดิมหันหน้าไปทางประตูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จี้จือซู่ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดวงตาสีแดงเลือดของการ์กอยล์นั้นดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้…

นี่ต้องเป็นคำเตือนจากเจ้าของร้านแน่ ๆ! จี้จือซู่คิดขณะมองหลินเจี๋ยด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก

หลินเจี๋ยสังเกตเห็นความเคลือบแคลงใจและการดูหมิ่นของรูเอน แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายต่ำต้อยเกินกว่าจะจัดการด้วยตัวเองเลยสั่งให้การ์กอยล์กำจัดทิ้งแทน!

ที่หาข้ออ้างเดินออกไปก่อนก็เพราะไม่อยากดูรูเอนตายอย่างอเนจอนาถสินะ!

เดี๋ยวก่อนนะ พอมานึกดูดี ๆ แล้วหลินเจี๋ยไม่ได้พูดแก้ตัวด้วยซ้ำ เขาแค่บอกว่ามีบางอย่างที่เขาจัดการและจะกลับมาภายในห้านาที ที่เขาพูดเมื่อตอนนั้น หมายถึงการฆ่ารูเอนงั้นเหรอ?!

สะ… สมกับเป็นผู้ใช้มนตร์ดำจริง ๆ! ความสง่างามควบคู่กับความเย่อหยิ่ง ผสมผสานเข้ากับความโหดเหี้ยม… นี่มันโหดร้ายกว่าสิ่งที่นักล่าอย่างพวกเราต้องเผชิญเสียอีก!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนอย่างไวลด์จะมาปรากฏตัวที่นี่! ไวลด์ ผู้ใช้มนตร์ดำระดับทำลายล้างผู้ฉาวโฉ่ เขาคงจะเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของร้านแน่ ๆ …

“อย่ามัวซึมกะทืออยู่เลย บอกสิ่งที่คุณคิดมา ฉันจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่เอง” หลินเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้มเมตตาขณะเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

กระดูกสันหลังของจี้จือซู่สั่นสะท้าน พลางค่อย ๆ ถอนสายตาออกจากการ์กอยล์หิน “มะ… ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่สงสัยว่านายพอจะให้ฉันยืมหนังสืออีกเล่มได้ไหม…? ขอโทษจริง ๆ ที่ลูกน้องของฉันทำตัวไม่สุภาพ แต่ได้โปรดเชื่อฉันเถอะ นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของฉัน”

จี้จือซู่หวาดกลัวสุดขีดไม่ต่างอะไรไปจากเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผู้ไร้เดียงสา ทั้งที่แท้จริงแล้ว เธอเป็นถึงนักล่าเลือดเย็นที่เพิ่งทำลายสำนักงานใหญ่ของกลุ่มนักล่า ‘หมาป่าสีขาว’ ไป

อย่างไรก็ตามการได้เห็นคนที่เพิ่งพูดคุยกันไม่นานถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ มันก็ทำให้จิตใจของเธอรู้สึกสั่นคลอนไปถึงแก่น

ความกลัวที่ครอบงำร่างกายของนักล่าสาวมากล้นจนไม่สามารถอธิบายได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่น่ากลัวที่สุดสำหรับจี้จือซู่ก็คือ แม้แต่เธอก็ยังไม่สามารถแม้แต่จะตอบสนองการเคลื่อนไหวของการ์กอยล์ได้ทัน ทำให้เธอทำได้เพียงแค่เฝ้าดูรูเอนตายต่อหน้าต่อตา

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเป้าหมายของการ์กอยล์หินเป็นจี้จือซู่ มันก็เป็นไปได้ที่เธอจะถูกมันกินไปเงียบ ๆ ไม่ต่างอะไรจากที่รูเอนโดน

ก่อนหน้านี้นักล่าสาวมองหลินเจี๋ยด้วยความเคารพอย่างสูง แต่ตอนนี้เธอทั้งรู้สึกกลัวและเคารพพอ ๆ กัน

หลินเจี๋ยหัวเราะเบา ๆ “ได้สิ ที่นี่คือร้านหนังสือนะ เลือกหนังสือที่คุณอยากจะยืมไปได้เลย! คุณลองเลือก ๆ หนังสือบนชั้นวางดูสิ”

“อย่างไรก็ตาม ทุกคนสามารถยืมหนังสือได้เพียงทีละสามเล่มเท่านั้น ราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อยหากคุณต้องการซื้อหนังสือ และมีเพียงชั้นที่วางอยู่ด้านหลังคุณเท่านั้นที่ขาย” หลินเจี๋ยกล่าวขณะที่ชี้ไปยังชั้นวางสามชั้นด้านหลังจี้จือซู่ หนังสือบนชั้นเหล่านั้นเป็นหนังสือที่เขาอ่านจบแล้วและได้ทำสำเนาสำรองเอาไว้

จี้จือซู่ส่ายหัว เธอจะกล้าแหย่จมูกเข้าไปในห้องเก็บหนังสืออันลึกลับไร้ขอบเขตแห่งนี้ได้อย่างไร จนถึงตอนนี้นักล่าสาวเพิ่งอ่านไปถึงแค่บทนำของหนังสือเลือดและสัตว์ร้ายด้วยซ้ำ

หญิงสาวกลัวว่าหากเจาะลึกลงไปในความรู้ต้องห้ามมากเกินไปอาจจะทำให้เธอเสียสติ สำหรับตอนนี้ จี้จือซู่จึงทำได้เพียงรอให้ความสามารถของตัวเองเพิ่มขึ้นก่อน

“นายช่วยแนะนำหนังสือที่เหมาะสมกับฉันหน่อยได้ไหม? ฉันว่าจิตใจของตัวเองยังอ่อนแอเกินไป” จี้จือซู่วางมือบนเข่าพร้อมถามอย่างระมัดระวัง

เห็นได้ชัดว่าจี้จือซู่เป็นหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งเย็นชา สุขุม และโดดเดี่ยวในวัยยี่สิบ แต่ในขณะนี้เธอกลับทำตัวเหมือนลูกแมวที่น่าสงสารและพยายามจะอ้อนวอนขอความโปรดปรานจากเจ้าของ

หลินเจี๋ยได้แต่งุนงงกับสิ่งนี้

ทำไมมันเหมือนกับว่าเธอเพิ่งเจอเสือมาในช่วงห้านาทีที่เราไม่อยู่กันนะ เสียงพูดของเธอก็เบากว่าเมื่อก่อนด้วย

เธอคงได้รับบาดแผลทางจิตใจมาสินะ

หลินเจี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ คือการที่ลูกน้องของจี้จือซู่ออกไปจัดการกับธุระเรื่องเร่งด่วนอย่างกะทันหัน

ในช่วงที่หลินเจี๋ยขึ้นไปชั้นบน เขาได้ยินสิ่งที่เหมือนจะเป็นการโต้เถียงของคนสองคน

กรณีนี้ชายหนุ่มเดาว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นคงจะไม่เห็นด้วยกับการที่นายหญิงเข้ามาที่ร้านหนังสือเก่า ๆ แห่งนี้ พร้อมแนะนำให้นายหญิงอยู่ห่างจาก ‘คนโกง’ แต่จี้จือซู่ได้คัดค้านเรื่องนั้น เนื่องจากความไว้วางใจที่มีต่อหลินเจี๋ย

ท้ายที่สุด ทั้งสองก็ทะเลาะกัน และผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ก็อาจจะกลับไป เพื่อรายงานพฤติกรรมของนายหญิงให้ทางตระกูลรับทราบ

อืม…เป็นไปได้ นิสัยแบบนี้คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณหนูคนนี้ต้องเจอกับคนเลว ๆ

“ในเมื่อคุณต้องการแบบนั้น ฉันก็มีหนังสือที่จะแนะนำให้”

หลินเจี๋ยลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นและหยิบหนังสือออกมา เขาปัดฝุ่นบนนั้นพร้อมหันกลับมาและพูดด้วยรอยยิ้มอันเมตตา “อ้อ อีกอย่าง ลูกน้องของคุณดูจะเข้าใจอะไรผิดไปนิดหน่อยนะ”

“ความภักดีที่แท้จริง ควรจะแสดงผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด”

จี้จือซู่รู้สึกสั่นกลัว เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

ตราอักขระที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณในหมู่ผู้ใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราแห่ง ‘ความภักดี’ นี้ เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชนชั้นสูงและตระกูลที่ร่ำรวย

แน่นอนว่าวิธีที่จอมเวทแต่ละคนวาดสัญลักษณ์ออกมาย่อมแตกต่างกัน และมีเพียงผู้สร้างตราอักขระเท่านั้นที่จะรู้วิธีกำจัดมัน

ถ้าตราของรูเอนสูญเสียประสิทธิภาพ นั่นก็หมายความว่า…

ผู้ใช้เวทศักดิ์สิทธิ์เฮย์วู้ด ที่คอยสนับสนุนบิดาของเธอ อาจขายวิธีการกำจัดตราอักขระให้ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

หลินเจี๋ยผลักหนังสือข้ามเคาน์เตอร์และพูดต่อ “นายกำลังบอกว่าคนอื่นอาจจะคิดเรื่องร้าย ๆ อะไรก็ได้ โดยที่เราไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ใช่ไหม?”

“ไม่มีวิธีใดที่เราจะเปิดดูหัวใจของบุคคลตรงหน้าได้อย่างหมดจด สิ่งเดียวที่คุณสามารถเชื่อและพึ่งพาได้มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้น”

“ดังนั้นจงพยายามต่อไป! ไม่มีใครสามารถเอาชนะคุณได้เมื่อเจตจำนงของคุณแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า”

จี้จือซู่รับหนังสือด้วยมือทั้งสองข้าง จ้องมองไปที่หน้าปกและพึมพำ “เหล็กกล้า…”

หลินเจี๋ยยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย

ใช่แล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘เจตจำนงแห่งเหล็กกล้า’!

“ตั้งใจอ่านให้ดี ถ้าหากคุณได้เรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้ มันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างแน่นอน”

“ด้วยวิธีนี้สักวันหนึ่ง เมื่อคุณนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณจะไม่รู้สึกสำนึกผิดต่อความผิดพลาดของตัวเองและวิธีที่คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ”

“คุณมีภารกิจของตัวเอง”

ขณะที่จี้จือซู่เดินออกจากร้านหนังสือไป และกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน คำพูดของเจ้าของร้านหนังสือนั้นก็ยังคงดังกึกก้องอยู่ภายในใจของเธออย่างต่อเนื่อง

นักล่าสาวเหลือบมองหนังสือในมือของเธอ ‘เจตจำนงแห่งเหล็กกล้า’ และค่อย ๆ พลิกเปิดหน้าปก

ทันใดนั้น พลังที่หญิงสาวไม่รู้จักก็ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าทุก ๆ สิ่งรอบตัวนั้นชัดเจนขึ้นมา