ตอนที่ 21 จำได้
วันที่สามเดือนหนึ่ง ท้องนภาที่กระจ่างใสมาหลายวันฉับพลันมีหิมะตกหนัก
วันนี้คืองานฉลองสอบได้เป็นบัณฑิตขั้นถงเซิงของน้องชายชุ่ยอวิ๋น เฉียวเวยลุกขึ้นมาเตรียมตัวให้ตัวเองกับลูกๆ ตั้งแต่เช้าตรู่
เฉียวเวยเป็นนักศึกษาสายวิทย์ ไม่ได้ร่ำเรียนประวัติศาสตร์มาลึกซึ้ง แต่บังเอิญรู้เรื่องการสอบบัณฑิตขั้นถงเซิงอยู่บ้าง การสอบบัณฑิตขั้นถงเซิงคือการสอบในสมัยหมิงชิงเพื่อให้ได้คุณสมบัติไว้สอบเป็นบัณฑิตขั้นเซิงหยวนหรือที่เรียกกันว่าซิ่วไฉ ส่วนมากจัดสอบในเดือนสอง
ลำดับแรกคือการสอบระดับอำเภอโดยมีนายอำเภอเป็นผู้จัด สอบหัวข้อต่างๆ เช่นการเขียนเรียงความแปดส่วน การประพันธ์โคลงกลอน การอภิปรายคัมภีร์ การเขียนร่ายบังคับสัมผัส การเสนอแนวทางบริหารบ้านเมืองเป็นต้น
หลังจากนั้นก็จะเป็นการสอบระดับเมืองในเดือนสี่ โดยเจ้าเมืองของหัวเมือง เจ้าเมืองของเมืองในสังกัดมณฑล หรือไม่ก็รองเจ้าเมืองที่ปกครองเมืองอยู่จะเป็นผู้จัด บัณฑิตที่สอบผ่านในระดับอำเภอแล้วจึงจะเข้าร่วมได้
เมื่อผ่านการสอบระดับอำเภอกับการสอบระดับเมืองจึงจะได้เป็นบัณฑิตขั้นถงเซิง
หากบัณฑิตถงเซิงสอบผ่านการสอบระดับวิทยาลัยรอบสุดท้ายจึงจะได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉ
บัณฑิตซิ่วไฉในยุคโบราณละเว้นไม่ต้องจ่ายภาษี เมื่อพบนายอำเภอก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ฐานะมีหน้ามีตาพอสมควรทีเดียว
น้องชายของชุ่ยอวิ๋นเพิ่งอายุสิบปีก็ได้เป็นบัณฑิตถงเซิงแล้ว ช่างน่ายินดีน่าฉลอง
ทว่าการสอบเป็นบัณฑิตถงเซิงของน้องชายชุ่ยอวิ๋นกลับไม่ได้จัดในฤดูใบไม้ผลิ แต่เริ่มในฤดูหนาว ดูจากเรื่องนี้ เฉียวเวยคาดว่าเป็นไปได้อย่างมากว่าตนจะทะลุมิติมายังยุคสมัยที่ไม่มีในประวัติศาสตร์
เฉียวเวยหยิบเสื้อนวมตัวใหม่ที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อนออกมาใส่ให้ลูกๆ ของพี่ชายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ของน้องสาวเป็นสีชมพูอ่อน เมื่อหวีผมให้สวยงามก็กลายเป็นเทพบุตรเทพธิดาคู่หนึ่ง
เฉียวเวยใช้ผ้าที่เหลือเย็บเสื้อนวมสีชมพูให้เพียงพอนหิมะน้อย ความจริงแล้วเพียงพอนหิมะไม่กลัวความหนาว แต่บุตรสาวชอบแต่งตัวให้มัน เฉียวเวยจึงทำเสื้อให้เป็นบางครั้ง ถักเชือกให้เป็นบางคราว
หลังจากใส่เสื้อครอบครัวสีชมพูให้เพียงพอนหิมะน้อยเสร็จ เฉียววั่งซูก็เบิกบานใจอย่างยิ่ง
เพียงพอนหิมะน้อยกลอกตา ข้าเป็นตัวผู้ต่างหาก!
ครอบครัวสามคนกางร่มเดินลงจากเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยพาลูกๆ ไปเยี่ยมญาติ พวกเด็กๆ จึงตื่นเต้นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้มักได้ยินเด็กๆ ในหมู่บ้านเล่าว่างานเลี้ยงบ้านใครมีของอร่อย งานเลี้ยงบ้านใครสนุกสนาน พวกเขาฟังแล้วอิจฉายิ่งนัก
แต่มารดาไม่ชอบไปมาหาสู่กับผู้อื่น พวกเขาอาศัยอยู่บนเขาเสมือนเป็นแขกคนหนึ่ง
ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว พวกเขากินเลี้ยงกับทุกคนได้เหมือนกันแล้ว
“พี่เอ้อร์โก่วจะไปหรือไม่” เฉียวจิ่งอวิ๋นถาม เอ้อร์โก่วจื่อเป็นสหายเพียงคนเดียวของเขา
“น่าจะไปนะ” เฉียวเวยลูบหัวบุตรชายอย่างอ่อนโยน
“เถี่ยหนิวจะไปหรือไม่” เฉียวจิ่งอวิ๋นเอ่ยถามอีก เถี่ยหนิวเป็นคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวของเขา
เฉียวเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไปสิ”
น้าหลิวชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด ไม่ว่าผู้ใดในหมู่บ้านจัดงานเลี้ยงก็ไม่เคยขาดนาง
เฉียวจิ่งอวิ๋นได้ยินว่าจะได้พบเอ้อร์โก่วจื่อก็ดีใจ แต่เมื่อได้ยินว่าต้องพบเถี่ยหนิวก็หน้าบึ้งใหม่ สุดท้ายชั่งน้ำหนักในใจอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าเพื่อพบหน้าเอ้อร์โก่วจื่อจะยอมทนเจอเถี่ยหนิวก็ได้
ทั้งสามคนไปรวมตัวกับป้าหลัวก่อน ป้าหลัวเห็นเสื้อผ้าใหม่บนร่างเด็กๆ ดวงตาก็เป็นประกาย “น่ารักจริงเชียว!”
เมื่อถูกชม หางน้อยๆ ของทั้งสองคนก็ชูขึ้นสูง
แล้วป้าหลัวก็มองเพียงพอนหิมะที่อยู่ในอ้อมแขนของเฉียววั่งซู พอสวมเสื้อก็เกือบจะจำไม่ได้ น่า น่ารักเกินไปแล้ว
สี่คนกับหนึ่งตัวมุ่งหน้าไปยังบ้านมารดาของชุ่ยอวิ๋น
มารดาของชุ่ยอวิ๋นรออยู่ที่ประตูอยู่แล้ว งานเลี้ยงจัดตอนเที่ยง ตอนนี้คือเวลาเช้าตรู่ คนที่มาล้วนเป็นคนที่มาช่วยงาน
มารดาของชุ่ยอวิ๋นจับมือของป้าหลัวแล้วเอ่ยอย่างยินดียิ่งนัก “ญาติที่รักมาแล้ว รีบเข้ามานั่งเร็ว!” แล้วนางก็มองไปทางเสี่ยวเฉียว จากนั้นยิ้มอย่างดีใจ “เสี่ยวเฉียวนี่เอง แขกหายาก แขกหายาก!”
“ป้าจ้าว” เฉียวเวยทักทายอย่างมีมารยาท
มารดาของชุ่ยอวิ๋นจับมือนางอย่างอบอุ่น ถามไถ่ว่ากิจการของนางเป็นอย่างไร แล้วลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองคน “โถ แต่งตัวน่ารักเช่นนี้เชียว! ทำไมให้สุนัขใส่ด้วยเล่า”
เพียงพอนตัวจ้อย “!”
พวกเด็กๆ พากันเรียกท่านยายจ้าวอย่างอ่อนหวาน มารดาของชุ่ยอวิ๋นขานตอบอย่างดีอกดีใจแล้วพาพวกเขาเข้าไปที่ลานด้านหลัง ตรงนั้นมีเด็กไม่น้อยเล่นกันอยู่ จิ่งอวิ๋นกับน้องสาวพาเพียงพอนหิมะน้อยไปร่วมวงกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว
พวกผู้ใหญ่เริ่มทำงาน
บ้านมารดาของชุ่ยอวิ๋นมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้คนในหมู่บ้านอย่างยิ่ง ทุกบ้านทุกครอบครัวจึงได้รับเชิญ แล้วยังมีคนจากหมู่บ้านข้างๆ คนจากในตัวเมือง รวมกันแล้วก็หลายร้อยคน พวกเขาวางแผนจะจัดเลี้ยงแปดโต๊ะ โต๊ะละแปดคน ตั้งโต๊ะที่ลานว่างด้านนอก
แต่ทว่าเที่ยงคืนจู่ๆ หิมะก็ตกหนัก จัดกลางแจ้งมิได้แล้ว ตอนนี้จึงกำลังรีบเร่งสร้างเพิงกันอยู่
หลัวหย่งจื้อกำลังผูกเพิงอยู่เช่นเดียวกัน เขาโบกมือให้เฉียวเวยแต่ไกล “น้องสาว!”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “พี่ใหญ่”
ผู้ชายหลายคนด้านข้างเอะอะโวยวาย หลัวหย่งจื้อเอ่ยอย่างภูมิใจ “น้องข้างามหรือไม่ พวกเจ้าอิจฉาล่ะสิ!”
คนทั้งกลุ่มหัวเราะลั่น
มารดาของชุ่ยอวิ๋นพาเฉียวเวยกับแม่สามีของลูกสาวไปยังลานด้านหลัง ที่นั่นมีคนไม่น้อยเตรียมของที่ต้องใช้ในงานเลี้ยงอยู่ อาหาร เครื่องดื่ม ผู้จดบันทึกหนี้น้ำใจ[1]…ผู้จดบันทึกหนี้น้ำใจคือบัณฑิตซิ่วไฉเฒ่าผู้หนึ่งในหมู่บ้าน
ซิ่วไฉเฒ่าเมื่อตอนอายุน้อยเคยทำงานอยู่ในตระกูลใหญ่ที่เมืองหลวง ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดถูกไล่ออก หลายปีนี้เขาจึงใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้นและหดหู่อย่างยิ่ง แต่เพราะในหมู่บ้านมีบัณฑิตซิ่วไฉเพียงคนเดียว บางครั้งจึงรับจ้างเขียนหนังสือ จดบัญชีแทนผู้อื่นจนยังไม่ถึงกับอดตาย
ป้าหลัวกลัวว่าเฉียวเวยจะเหนื่อยจึงให้เฉียวเวยทำงานเบาๆ นั่นก็คือเป็นลูกมือของซิ่วไฉเฒ่า
หรือก็คือการเก็บเงิน ฝนหมึก ส่งกระดาษ…หรือที่จริงคือผืนผ้า กระดาษแพงเกินไป ชาวบ้านยากจนใช้ไม่ไหว
“ท่านบัณฑิตอารมณ์ร้าย เจ้าทำงานก็คล่องแคล่วหน่อย เขาถามเจ้าก็ตอบ ไม่ถามเจ้าก็อย่าพูดมาก” ป้าหลัวเตือนด้วยความหวังดี
เฉียวเวยพยักหน้า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แม่บุญธรรม”
นางไม่ได้สืบต่อความทรงจำมาจากเจ้าของร่าง พอดีจะได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักผู้คนในหมู่บ้านทั้งหมดสักหน่อย
ซิ่วไฉเฒ่ายุ่งอยู่กับการทำงานจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเวยเต็มตาสักครั้ง
สรรพสิ่งล้วนต่ำต้อย เพียงการร่ำเรียนที่สูงส่ง บัณฑิตซิ่วไฉในยุคโบราณตกต่ำอีกเท่าใดก็มีคุณวุฒิสูงส่ง
เฉียวเวยทำงานของตนเงียบๆ เก็บเงิน นับเงินและจดจำตัวอักษรอย่างแข็งขัน
ตลอดทั้งเช้าได้อะไรมาไม่น้อย ไม่เพียงจดจำคนทั้งหมดได้แล้ว ตัวเลขก็เขียนได้หมดแล้ว ชื่อก็จำได้พอประมาณ เพียงแต่…ยังเขียนชื่อตนเองไม่เป็น
เฉียวเวยคิดครู่หนึ่งก็ล้วงเงินหนึ่งร้อยอีแปะออกมาจากในถุงเงิน “ท่านบัณฑิต ข้าก็นำเงินมาเล็กน้อย”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า แล้วทำท่าบอกให้นางวางเงินลงในตะกร้า “ชื่ออะไร”
คนในหมู่บ้านล้วนรู้ว่านางแซ่เฉียวแต่ไม่รู้ว่านางชื่ออะไร ปกติแล้วก็เรียกแต่เสี่ยวเฉียวๆ
สรุปก็คือทุกคนต่างไม่รู้ชื่อเจ้าของร่าง นางจึงบอกชื่อของตนเองเสียเลย “เฉียวเวย”
เจ้าของร่างแซ่เฉียว นางก็แซ่เฉียว ไม่ว่าเจ้าของร่างชื่ออะไร นับแต่นี้ต่อไป นางก็คือตน ใช้ชื่อเฉียวเวยอย่างสง่าผ่าเผย
ทันใดนั้นพู่กันของซิ่วไฉเฒ่าก็หยุดชะงัก เขาขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าชื่ออะไรนะ”
เฉียวเวยคิดว่าเขาฟังไม่ถนัดจึงบอกอีกครั้งอย่างเสียงดังฟังชัด “เฉียว เวย”
ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้าขึ้นมามองเฉียวเวยอย่างตั้งใจ ไม่มองยังไม่เท่าไร แต่พอได้มองกลับทำให้เขาตะลึงไปทั้งร่าง
บนโลกใบนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันเช่นนี้ได้อย่างไร หน้าตาเหมือนฮูหยินทุกประการแล้วยังชื่อเฉียวเวยอีก…
เขาจำชื่อของคุณหนูใหญ่ได้ นางชื่อว่าเฉียวเวย
[1] ผู้จดบันทึกหนี้น้ำใจ เป็นคนที่ทำหน้าที่จดบันทึกว่าใครมาร่วมงานเลี้ยงบ้านไหน ให้เงินช่วยเท่าไร เพื่อที่ครั้งหน้าฝั่งที่เคยได้รับจะได้กลับไปตอบแทนให้เท่าเทียมกัน