บทที่ 30 พระชายาเจ็ดผู้ซุกซน

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 30 พระชายาเจ็ดผู้ซุกซน
ตอนที่พูดคำนี้ น้ำเสียงของเฟิ่งชิงหัวอ่อนโยน แฝงการแสร้งทำเป็นโกรธเล็กน้อย ราวกับว่าได้รับความไม่เป็นธรรมมามากมายขนาดไหน
จ้านถิงเฟิงเกิดความสงสัยในใจ มองไปทางขุนนางราชสำนักสองท่านนั้น สองคนนี้สวมชุดเต็มยศ มองตรงไหนก็ไม่เหมือนผู้ไม่เกี่ยวข้อง
รอยยิ้มของจ้านถิงเฟิงจางลงเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วกล่าวถามว่า: “หรือว่าเจ้าต้องการจะบอกข้าว่า เจ้าไม่รู้ว่าทั้งสองคนนี้คือขุนนางราชสำนัก?”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดถึงได้มองไปทางทั้งสองคนอย่างจริงจัง แล้วก็ส่ายหน้าอย่างจริงจัง: “ไม่เคยเห็นมาก่อน? ที่แท้ขุนนางราชสำนักก็หน้าตาเช่นนี้นี่เอง ข้าก็นึกว่าส่วนใหญ่ล้วนมีหน้าตาโดดเด่นไม่ธรรมดาอย่างองค์ราชทายาทเสียอีก?”
ขณะที่กล่าวไป ยังกะพริบตาอย่างไร้เดียงสามากไปด้วย
จ้านถิงเฟิงคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้ รีบร้อนใช้มือปิดริมฝีปากเอาไว้แล้วกระแอมไปสองคำ ปรับสีหน้าท่าทางเล็กน้อย: “สองท่านนี้ก็คือต้าหลี่ซื่อชิงและรองเสนาบดีประจำกรมพิธีการที่จะทำคดีพร้อมกับเจ้า”
“อ๋อ” เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
สถานการณ์หยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ท้ายที่สุดจ้านถิงเฟิงก็เป็นคนกล่าวถามขึ้นมาอีกว่า: “พระชายาเจ็ดไม่มีอะไรจะอธิบายหน่อยหรือ?”
“อ้อ คำอธิบายหรือ มีสิ” เฟิ่งชิงหัวมองดูใต้เท้าสองท่านราวกับเพิ่งได้สติขึ้นมาจากความผิดพลาด: “เอิ่ม ใต้เท้าเจียง ใต้เท้าลู่ พวกท่านสองคนก็จริงๆเลย ทำคดีมาช้าไม่ว่า มาแล้วยังไม่แนะนำตัวอีก ในอดีตข้าไม่เคยพบปะกับบุคคลภายนอก พวกท่านไม่พูดแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพวกท่าน?”
ใต้เท้าเจียงโกรธจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว ใต้เท้าลู่ก็ยิ่งทำท่าทางเหมือนถูกฟ้าผ่า
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาก็ถูกจับโบยยี่สิบที แล้วยังถูกอุดปากเอาไว้อีก ให้โอกาสพวกเขาเมื่อไหร่กัน?
เฟิ่งชิงหัวถึงได้มองไปทางจ้านถิงเฟิงอีกครั้ง: “องค์ราชทายาท คำอธิบายนี้ ท่านพอใจหรือไม่? หากไม่พอใจ ก็เชิญท่านกลับวังไปร้องเรียนข้าเถอะ”
จ้านถิงเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมา เดิมทีเขาคิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ หากเข้าวังไปร้องเรียนจริงๆ กลับจะทิ้งจุดอ่อนของตัวเองเอาไว้
ตกลงแล้วหนานกงเยว่ลั่วคนนี้โง่จริงๆหรือแกล้งโง่กันแน่ คำพูดนี้มีเจตนาอย่างไรกันแน่?
ในใจครุ่นคิดอยู่ จ้านถิงเฟิงถึงได้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “น้องสะใภ้พูดอะไรเช่นนั้น ข้าก็แค่สอบถามความคืบหน้าของคดีนี้เท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าสอบสวนอะไรออกมาได้บ้างแล้ว?”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม: “องค์ราชทายาทเป็นห่วงฮองเฮาอยู่ใช่ไหม ตอนนี้คดีอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนอยู่เลย ถ้าอย่างไรพระองค์อยู่ฟังในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างดีกว่าไหม?”
คำพูดนี้ตรงกับเจตนาของจ้านถิงเฟิงพอดี พยักหน้าเล็กน้อย ก็เดินไปทางด้านข้างของห้องโถง
เวลานี้จ้านถิงเฟิงถึงเพิ่งได้สติกลับมาจากความรู้สึกตกใจ เริ่มตั้งแต่แรก เขาผู้เป็นถึงองค์ราชทายาทแห่งประเทศกลับยืนคุยกับนางหนานกงเยว่ลั่วตลอด
ภายในใจของจ้านถิงเฟิงเคร่งขรึมลงมาทันที เบื้องหน้ากลับไม่เปิดเผยเลยแม้แต่น้อย ฝีเท้าสุภาพสง่างาม ท่วงท่าสูงส่ง
เพิ่งจะเดินไปถึงครึ่งทาง ก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมา: “เด็กๆ ยังยืนบื้อกันอยู่ทำไม ไม่เห็นหรือว่าองค์ราชทายาทจะฟังการพิจารณาคดีด้วย? รีบไปหาที่นั่งพับได้มาอันหนึ่ง!”
อารมณ์ของจ้านถิงเฟิงราบรื่นเล็กน้อย บางทีเมื่อครู่นี้นางอาจไม่ได้เจตนา เพียงแต่ว่าชั่วขณะหนึ่งไม่ได้สังเกตเห็นตำแหน่งของทั้งสองคนเท่านั้น เพิ่งจะคิดเช่นนี้ ในตอนที่เห็นในมือของเจ้าพนักงานศาลคนนั้นเอากล่องเล็กที่ใช้แผ่นไม้ไม่กี่แผ่นต่อขึ้นมา การแสดงออกบนใบหน้าแตกระแหงออก หน้าเขียวหน้าดำไปหมด
ที่นั่งพับได้นั่นอันเล็กนิดเดียว ให้เด็กสองสามขวบนั่งยังพอว่า เขาที่เป็นคนมือยาวขายาวเช่นนี้นั่งลงไปจะดูเหมือนกับอะไร!
“พระชายาเจ็ด นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” สายตาของจ้านถิงเฟิงจ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่มีความอ่อนโยนเมื่อครู่นี้แล้ว
เฟิ่งชิงหัวเอนหลังพิงอยู่บนเก้าอี้ กุมหน้าอกของตัวเองเอาไว้แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย: “องค์ราชทายาทนี่ท่านกำลังทำอะไร ท่านจะฟังในฐานะผู้สังเกตการณ์ไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องหาอะไรมานั่งใช่ไหม ข้าไม่รู้ว่าเก้าอี้ของที่นี่อยู่ที่ไหน ก็เห็นว่ามีที่นั่นพับได้อยู่ในมุม ท่านไม่อยากนั่งหรือว่าท่านอยากจะนั่งที่นี่?”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นมาอย่างตัวสั่นงันงกก็กำลังจะเดินไปด้านข้าง สายตานั่น เหมือนกับว่ากำลังถูกอันธพาลข่มเหงรังแก