บทที่ 25 เมื่อเกมเริ่มต้นขึ้น

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เป็นคุณ?”นัทธีก็เห็นวารุณีด้วยเช่นกัน

วารุณีพยักหน้าอย่างจนใจ “ฉันเองค่ะ”

เธอไม่คิดว่า พ่อที่ลูกชายหามา จะเป็นนัทธี

“หม่ามี๊ รู้จักคุณอาคนนี้เหรอ ?”อารัณมองไปที่วารุณี แล้วหันมามองที่นัทธี เอ่ยถามด้วยความสงสัย

ไอริณก็จ้องมองไปที่นัทธี ราวกับเห็นสมบัติล้ำค่ายังไงอย่างงั้น ชี้ไปที่เขาด้วยความประหลาดใจแล้วพูดว่า“หม่ามี๊ คุณอาคนนี้หน้าตาเหมือนพี่อารัณเลย ”

“ห้ามพูดเหลวไหล”วารุณีรีบดันมือของไอริณลง “ขออภัยด้วยค่ะประธานนัทธี เด็กยังเล็กไม่รู้เรื่องอะไร”

นัทธีไม่ได้สนใจท่าทีของเด็กหญิงที่ชี้มาที่เขา ที่เขาสนใจคือ สรรพนามของเด็กสองคนที่เรียกวารุณี

“คุณเป็นแม่ของพวกเขาเหรอ?”

“ค่ะ”วารุณีขยี้ไปที่ผมนุ่มๆของลูกสาว

นัทธีเม้มริมฝีปากเข้าหากัน

มีเรื่องบังเอิญแบบนี้ได้ยังไงกัน แม่ของเด็กสองคนนี้ คือเธอ!

“คุณแต่งงานแล้ว?”นัทธีถามขึ้นมาอีกครั้ง

วารุณีหลุบตาลงต่ำ ตอบออกไปเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด “ใช่ค่ะ……”

อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้อยากที่จะโกหก แต่เธอไม่มีทางเลือก

ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศจีนหรือที่ต่างประเทศ การท้องก่อนแต่ง ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร

เพื่อไม่ให้ถูกประณาม และเพื่อไม่ให้คนอื่นมองลูกของเธอด้วยสายตาแปลกๆ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีคนถามถึงเรื่องนี้ เธอก็มักจะพูดเสมอว่าเธอแต่งงานแล้ว

เมื่อได้ยินคำตอบของวารุณี ดวงตาของนัทธีก็มืดมนลง ไม่รู้เพราะอะไร ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คำตอบว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ อารัณที่ดึงเขาอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “หม่ามี๊ ใกล้ได้เวลาแล้ว เราพาคุณอาไปกันเถอะ จบเกมเร็วๆแล้วรับรางวัล”

ไอริณก็ปรบมือเห็นด้วย “หม่ามี๊ เร็วเข้าไปกันเถอะ หนูอยากได้ตุ๊กตาหมี”

“เดี๋ยวก่อน”วารุณีส่งสัญญาณมือให้หยุด จากนั้นก็มองไปที่นัทธี “ประธานนัทธี ต้องขออภัยด้วยที่ลูกของฉันพาคุณมา เรื่องมันเป็นแบบนี้ เมื่อกี้เรา ……”

“ผมรู้ อารัณบอกผมแล้ว”นัทธีพูดขัดจังหวะเธอขึ้นมา

อารัณเงยหน้าขึ้น มองไปที่นัทธีด้วยความสงสัย

น่าแปลก!

คุณอาคนนี้รู้ชื่อของเขาได้ยังไง ?

วารุณีเองไม่ได้คิดมากอะไร คิดเพียงว่าตอนที่ลูกชายไปหาเขา คงได้แนะนำตัวเองไป

“ในเมื่อคุณรู้ทุกอย่างแล้ว ฉันก็จะไม่ปิดบังอะไรคุณอีก อันที่จริงเรื่องนี้เด็กๆเป็นคนตัดสินใจกันเอง ฉันไม่ได้คิดที่จะหาพ่อมาให้พวกเขาเพื่อเข้าร่วมเล่นเกมนี้”

“ดังนั้นคุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผม ?”นัทธีมองมาที่เธอ

“ใช่ค่ะ”วารุณีพยักหน้าแล้วยิ้ม

อันที่จริงแล้วการที่หาผู้ชายสักคนมาแกล้งเป็นพ่อของเด็กๆก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพราะยังไงแล้วมันก็เป็นแค่เกม

แต่จะเป็นเขาไม่ได้ !

นอกจากเขาจะเป็นเจ้านายของเธอแล้ว เขายังเป็นคู่หมั้นของพิชญาด้วย นอกจากเรื่องงาน เธอไม่อยากจะข้องเกี่ยวอะไรกับเขาไปมากกว่านี้ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพิชญา คงต้องมาหาเรื่องเธอเป็นแน่ ถึงเธอจะไม่ได้กลัวอะไร แต่แค่รำคาญเท่านั้น

“ได้ งั้นผม……”

“หม่ามี๊” นัทธียังพูดไม่จบ อารัณก็รีบพูดขึ้นว่า “หม่ามี๊ไม่ให้คุณอาเล่นเกมด้วย ตุ๊กตาหมีของไอริณจะทำยังไง ?”

“หม่ามี๊ หนูอยากได้ตุ๊กตาหมี ”ไอริณกังวลขึ้นมาทันที

วารุณีพูดต่อรองไปว่า “หม่ามี๊จะซื้อให้แล้วกันว่ายังไง ?”

“ไม่ ไอริณไม่เอาที่ซื้อ ไอริณจะเอาตัวนั้น ”ไอริณยังคงไม่ยอมท่าเดียว

วารุณีขบริมฝีปาก “แต่ว่า……”

“หม่ามี๊โกหก!”ไอริณดวงตาแดงก่ำ ปากเล็กๆของเธอก็เบะออก “หม่ามี๊รับปากแล้วแท้ๆ ว่าชนะแล้วจะเอาตุ๊กตาหมีให้ไอริณ ตอนนี้หม่ามี๊ก็ผิดคำพูด หม่ามี๊ทำเกินไปแล้ว”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลัง ขาป้อมๆทั้งสองวิ่งไปตรงหน้าของนัทธี จับไปที่มือใหญ่ๆของนัทธีแล้วเขย่าไปมา “คุณอา ช่วยไอริณได้ไหมคะ ไอริณอยากได้ตุ๊กตาหมีนั้นจริงๆ ”

เมื่อเห็นเด็กน้อยที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นัทธีก็รู้สึกใจอ่อนอย่างอธิบายไม่ถูก “ได้ แต่ต้องให้แม่หนูอนุญาตก่อนนะ ”

“หม่ามี๊……”ไอริณก็หันมองไปทางวารุณี

อารัณที่รักน้องสาวมาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่อยากเห็นน้องสาวผิดหวัง จึงได้อ้อนวอนวารุณีไปด้วย

วารุณีที่รู้สึกละอายใจกับคำพูดของลูกสาวอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยังมาเห็นสายตาที่คาดหวังของลูกชายและลูกสาวอีก จึงได้แต่ถอนหายใจลึกๆ เธอยอมแพ้แล้ว

“งั้นคงต้องรบกวนคุณแล้ว ประธานนัทธี ”วารุณียิ้มอย่างเขินอายให้กับนัทธี

ช่างมัน

ก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว

ครั้งหน้าเธอจะอยู่ให้ห่างเขาเอาไว้

“ไม่ได้รบกวนอะไร ก็แค่ช่วยเหลือเท่านั้น ”นัทธีตอบกลับอย่างแผ่วเบา

เมื่อไอริณรู้ว่าวารุณีอนุญาตแล้ว ก็ดีใจขึ้นมาทันที ดึงลากนัทธีไปยังสถานที่เล่นเกม กลัวว่าหากช้ากว่านี้ วารุณีจะเกิดเปลี่ยนใจ

วารุณีจะไม่เข้าใจลูกสาวของตัวเองได้ยังไง ได้แต่ส่ายหัวแล้วยิ้มตาม จากนั้นก็จูงมืออารัณเดินตามหลังไป

เห็นแผ่นหลังของลูกสาวกับนัทธี ดวงตาของวารุณีก็ตะลึงเล็กน้อย

คนหนึ่งตัวใหญ่กับอีกคนที่ตัวเล็ก ดูไปแล้วก็เหมือนพ่อลูกกันจริงๆ

“อารัณ หนูไปพาคุณอานัทธีมาจากไหน ? ”วารุณีเอ่ยถาม

“ชั้นบนครับ”อารัณชี้ไปยังด้านบน

วารุณีเงยหน้าขึ้นมองไปแวบหนึ่ง “อย่างนั้นเหรอ คราวหน้าห้ามทำแบบนี้อีกนะ ? มันจะเป็นการสร้างปัญหาให้คนอื่น และมันก็ทำให้แม่อึดอัดด้วย”

“เข้าใจแล้วครับ วางใจเถอะครับหม่ามี๊ คราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้ว”อารัณตีที่ไปที่หน้าอกตัวเองราวกับให้คำมั่นสัญญา

วารุณียิ้มแล้วลูบไปที่ศีรษะน้อยๆของเขา “หม่ามี๊เชื่อลูก”

ระหว่างที่คุยกัน ก็เดินมาถึงลานแข่งขันแล้ว

ชายวัยกลางคนก่อนหน้าเดินมาพร้อมด้วยเชือกสีแดงสองเส้น แล้วยื่นให้กับวารุณีกับอารัณ

อารัณรับเชือกมา แล้วก้มลงมัดขาของเขากับไอริณเข้าด้วยกัน

จากนั้นสองพี่น้องก็ลองขยับไปมาเพื่อรอให้เกมได้เริ่มต้นขึ้น

ในอีกฝั่งหนึ่ง วารุณีรับเชือกมา มองดูระยะห่างระหว่างตัวเธอกับนัทธี ก็รู้สึกถึงความลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน

เขายืนห่างขนาดนั้น แล้วเธอจะมัดมันยังไง !

เธอคลึงขมับไปมาอย่างจนใจ สุดท้ายแล้ววารุณีก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้กับนัทธี “ ประธานนัทธี ฉันจะมัดแล้วนะคะ หากคุณรู้สึกไม่สบายยังไง ก็บอกฉันได้เลย”

นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง

วารุณีคุกเข่าลง แล้วเริ่มมัดเชือก

หลังจากที่มัดเสร็จแล้ว เธอก็สะบัดมือแล้วลุกขึ้น“ประธานนัทธีคุณลองขยับดูรู้สึกแน่นไปไหม?”

เธอกลัวว่าหากมัดหลวมเกินไปแล้วมันจะหลุด จึงได้มัดมันให้แน่นขึ้น

แต่แล้วคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเธอ พอดังเข้าไปในหูของนัทธี ความหมายก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ขยับดู แน่นไหม ?

เธอไม่รู้หรือไงว่าคำพูดนี้ของเธอมันทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ ?

นัทธีรู้สึกร้อนรุ่มจนต้องคลายเนกไทออก พูดด้วยน้ำเสียงต่ำและแหบแห้งไปว่า“พอแล้ว แบบนี้แหละ”

ในตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนยืนถือปืนอยู่บนแท่นตัดสิน “ตอนนี้ทีมของเด็กและของผู้ปกครองได้เตรียมพร้อมแล้ว ผมจะนับหนึ่งถึงสาม แล้วเริ่มวิ่งได้ หากทีมของพ่อกับแม่แพ้ ทางเรามีบทลงโทษด้วยนะครับ ”

ลงโทษ ?

วารุณีตกใจ

ทำไมตอนแรกไม่บอกว่ามีการลงโทษด้วยล่ะ

“เกมแข่งขันจะเริ่มแล้ว อย่าใจลอยสิ”น้ำเสียงที่เย็นเยือกของนัทธีดังขึ้นข้างใบหู “เขาบอกแค่ทีมของพ่อแม่มีบทลงโทษ อีกทั้งยังจงใจมองมาที่พวกเรา ความหมายชัดเจนว่ายังไงเราก็แพ้ หากคุณไม่อยากแพ้ ก็ต้องจริงจังให้มากกว่านี้ ”

“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”วารุณีพยักหน้ารับ จากนั้นก็จริงจังขึ้นมา

เธอไม่ต้องการที่จะถูกลงโทษด้วยอะไรที่มันแปลกๆ

“กอดเอวผมไว้”นัทธีพูดขึ้นอีกครั้ง

วารุณีตะลึง คิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป

นัทธีเหลือบมองไปที่เธอแวบหนึ่ง แล้วอธิบายอย่างเรียบนิ่งไปว่า“สองคนสามขา สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้ใจและร่วมมือกัน หากเราไม่รู้ใจกัน เราก็คงทำได้เพียงร่วมมือกัน กอดไหล่ผมไม่ได้ คุณก็ต้องกอดเอวของผม แล้วเดินไปพร้อมกับผม หากเราต่างคนต่างเดิน ก็มีแต่จะแพ้ ”

วารุณีเข้าใจความหมายที่เขาพูดและไม่ได้ยึกยักเล่นตัวอะไร จากที่ไม่รู้ว่าจะวางมือไปตรงไหน ก็วางไปที่เอวของเขา

ในตอนนั้นเอง กลิ่นเปปเปอร์มินต์จางๆก็ลอยผ่านเข้าจมูกของเธอ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตกใจ

กลิ่นนี้ เหมือนเธอเคยได้กลิ่นมันมาจากที่ไหน ……

ช่างคุ้นจริงๆ