ตอนที่ 45 สงครามป้องกันเมืองหลวง

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

เสาแห่งแสงดิ่งลงมาจากฟากฟ้า

มันช่างเจิดจ้าเหลือเกิน แม้กระทั่งท่ามกลางสนามรบ เหล่าทหารก็ยังมิวายต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่และหันไปมอง

เมื่อแสงนั้นสลายลง ความหวังของมนุษยชาติ และเหล่าอัศวินผู้กวาดล้างปีศาจก็ปรากฏตัวขึ้น

อัศวินที่มาถึงนั้นคือเหล่าอัศวินในหมู่อัศวินที่มีหน้าที่ในการปกป้องเซนต์…องครักษ์ทั้ง 11

ทุกๆคนนอกจากวิสเคานท์ฟ็อกซ์ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นครูใหญ่ของสถาบันอัศวิน ได้มารวมกันที่นี่แล้ว

ที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาคือความหวังของมนุษยชาติ เซนต์เอลริส และเหล่านักเรียนจากสถาบันอัศวินที่เธอเข้าเรียนอยู่(แล้วก็มีเจ้าแว่นท่าทางน่าสงสัยปนอยู่ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นใครหรือมาทำไม)

ยืนอยู่ด้านซ้ายของเอลริสคือองครักษ์ส่วนตัวของเธอ เลย์ล่า ผู้ทำหน้าที่คุ้มกันเธออยู่  ส่วนด้านขวาก็คือเวอร์เนลผู้ได้รับดาบประทานโดยตรงจากเซนต์

“อีกา”มองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนว่ามันจะคาดการณ์ผิดเสียแล้ว

“เซนต์เอลริส…เจ้ามาถึงที่นี่เร็วเกินไปแล้ว…ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น…ทำไมพวกองครักษ์จึงอยู่กับเจ้าด้วย…”

“อีกา”รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเอลริสนั้นถูกเพื่อนมนุษย์ของเธอคุมขัง

มันไม่รู้หรอกว่าไอ้มนุษย์หน้าโง่คนไหนมันเลือกที่จะทำเช่นนั้น แต่นี่ถือเป็นโอกาสทองสำหรับเหล่าปีศาจในช่วงเวลาที่เอลริสถูกกักบริเวณอยู่นี้

แน่นอนว่าหากพวกมันบุกเข้าโจมตีอาณาจักรใดสักที่ เอลริสก็คงจะบินตรงมาในทันที แต่มันก็ไม่นึกว่าพวกอัศวินจะตามเธอมาด้วย

อัศวินพวกนี้คือคนทรยศต่อเอลริส

ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะพาพวกทรยศเช่นนั้นมายังสนามรบกับเธอด้วย มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอลริสมีวิธีที่สามารถเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากด้วยความเร็วสูงได้

ถึงเอลริสจะมา เธอก็คงมาคนเดียว ต่อให้คนอื่นๆอยากจะตามมาด้วย ก็ไม่ควรมาถึงได้เร็วขนาดนี้

แต่ในวินาทีนี้ การคาดการณ์เช่นนั้นก็ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ผิด

เอลริสสามารถพาคนอื่นๆมาด้วยได้ นอกจากนี้ยังมาถึงเร็วมาก แถมความสัมพันธ์ระหว่างเธอและอัศวินของเธอก็ไม่ได้ดูจะบาดหมางกันเลย

ข้อมูลที่มันได้มาผิดพลาดเช่นนั้นหรือ…? หรือว่าเจ้าพวกนี้คืนดีกันแล้ว?

ไม่ว่าจะเพราะอะไร เจ้า”อีกา”ก็รู้ตัวแล้วว่าตอนนี้มันกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

“โอะ โอออว…ตรงนั้นคือท่านเซนต์!”

“ท่านเซนต์มาถึงแล้ว!”

“พวกท่านองครักษ์เองก็อยู่ด้วย!”

การมาถึงของเอลริสปลุกกำลังใจของเหล่าทหารบิลเบอรี่

เธอผู้นั้นคือความหวังของมนุษยชาติ สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม เซนต์เอลริส เพียงเธอมีตัวตนอยู่ก็เพียงพอที่ปลุกความกล้าหาญในจิตใจของผู้คนแล้ว

“อีกา”พยายามที่จะหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ มันจึงกระพือปีกสร้างพายุอีกครั้ง

เพียงเอลริสปรายตามอง พายุใหญ่นั้นก็หยุดอยู่กับที่ ก่อนที่จะพุ่งเข้าหากองทัพปีศาจแทน

ปีศาจมากมายถึงพายุพัดปลิวว่อน ทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพปีศาจเป็นอย่างมาก

ในระหว่างนั้น เอลริสก็ใช้เวทมนตร์รักษาทหารที่บาดเจ็บและอ่อนล้าทุกนายจนหายเป็นปลิดทิ้ง

.

เอาล่ะ มาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรบิลเบอรี่แล้ว

จำนวนศัตรูมากกว่าตอนอาณาจักรรูตินโดนบุกแฮะ

ก็นึกว่าชั้นล่าพวกปีศาจเล่นจนจะสูญพันธ์แล้วซะอีก แต่ดูเหมือนจะเหลือรอดอยู่เยอะกว่าที่คิด

แต่เจ้าพวกนี้ก็น่าจะเป็นกองสุดท้ายแล้ว

สงสัยจะพาพวกที่เหลือรอดมารวมตัวกันสำหรับการต่อสู้ชี้ชะตาไรงี้แหงเลย

เพราะว่าแม่มดไม่ยอมขยับก้นออกมาจากใต้ดินของสถาบัน พวกปีศาจเลยต้องปกป้องตัวเอง

…แต่ว่าดิ้นรนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าชั้นมาแล้วไงล่ะ!

ก็รู้สึกผิดนิดหน่อยล่ะนะ แต่ไหนๆก็อุตส่าหืมารวมตัวกันแล้วทั้งที ชั้นจะส่งไปสบายให้เร็วๆแล้วกัน

พอจบตรงนี้ไป ก็คงไม่มีฝูงปีศาจให้กระทืบเล่นอีกแล้ว ก็ขอเอาจริงซักหน่อยนะเออ

รอบนี้มีพวกเวอร์เนลมองอยู่ด้วย ก็ต้องอวดหล่อกันหน่อย

“Aurea Libertas”[*อิสรภาพทองคำ]

ท่าไม้ตาย: ใช้คำที่ดูเท่ๆจากภาษาอื่นมาเป็นชื่อท่า – ฉบับพิเศษ!

รอบนี้ไม่ใช่สุภาษิตนะ เป็นระบอบการปกครองทางการเมืองที่ใช้ในโปแลนด์ช่วงปี 1600 โดยมีขุนนางเป็นใหญ่ในสังคม

ราชาจะยังครองราชย์อยู่ เพียงแต่ว่าจะไม่มีอำนาจในการขับเคลื่อนรัฐบาลอีกแล้ว

ในระบอบนี้ ราชาจะยังเป็นผู้นำของประเทศ แต่จะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับรัฐบาล แยกกันคนละส่วนไปเลย

แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับสถานการณ์ตอนนี้เลย ชั้นแค่เลือกมาใช้เพราะมันเท่เฉยๆ

พอพูดชื่อท่าเสร็จปุ๊บ แสงสีทองก็ถูกยิงขึ้นฟ้า จากนั้นก็กระจายออกกลายเป็นลำแสงจำนวนมากพุ่งเข้าใส่พวกปีศาจ

การโจมตีจะหลบพวกเดียวกันและจู่โจมใส่ปีศาจเท่านั้น จำนวนปีศาจในสนามรบค่อยๆลดลงอย่างรวดเร็ว

“อย่าปล่อยให้เจ้าเซนต์ทำตามใจชอบ! ฆ่าเธอซะ!”

เจ้ากานั่นน่าจะเป็นแม่ทัพสินะ เห้นมันออกคำสั่งพวกปีศาจอยู่นี่

อีกาเป็นสัตว์ที่ฉลาดอยู่แล้ว ยิ่งกลายมาเป็นมหามารนี่ยิ่งแล้วใหญ่

ชั้นเคยเห็นในเน็ตมาว่ากาสามารถมีสติปัญญาได้เทียบเท่ากับเด็กเจ็ดขวบด้วยนะ

เจ็ดขวบก็เพียงพอที่จะทำให้คนเราเข้าใจตัวเองแล้ว

ความทรงจำจากสมัยสามสี่ขวบนั้นจะจำยาก แต่ความทรงจำจากช่วงเจ็กขวบขึ้นไปจะมีโอกาสถูกจดจำมากกว่า เป็นสติปัญญาประมาณนั้นนั่นแหละ

ถ้าซักเจ็ดขวบก็น่าจะพูดชัดแล้วก็อ่านตัวฮิรางานะได้คล่องแล้ว

ถ้าเป็นยุคชั้นก็จะเริ่มติดเกมคอนโซลกันแล้ว แต่ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้ก็จะติดสมาร์ทโฟนแทน

ยิ่งกลายเป็นมหามารก็ยิ่งฉลาด…เจ้าอีกาตัวนั้นก็คงจะมีมันสมองเทียบได้กับมนุษย์ทั่วไปล่ะมั้ง

พวกปีศาจประเภทนกหันมาทางนี้ตามคำสั่งของเจ้ากา

กะจะโจมตีจากทางอากาศสินะ

ทางฝั่งนี้มีชั้นคนเดียวที่บินได้ พอชั้นตัวเริ่มลอยปุ๊บ พวกคนอื่นๆบนพื้นก็ถูกฝ่ายตรงข้ามเมินซะหมด แล้วหันมารุมชั้นคนเดียว

ชั้นลอยจากพื้นเบาๆและพุ่งตัวศัตรูด้านหน้า

แค่ใช้เวทย์แสงรวมกันเป็นการโจมตีแบบ AOE แล้วยิงตู้มก็จบแล้ว

“A picture is worth –“

“อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ท่านเอลริส!”

ตอนที่ชั้นกำลังจะยิง สต๊อกโกะก็กระโจนมาด้านหน้าแล้วจัดการปีศาจนกไปบางตัว

เฮ้ย เกะกะเว้ย! เธอเกือบโดนลูกหลงแล้วนะรู้มั้ย!

แถมพวกองครักษ์คนอื่นก็ทำตาม มาอยู่ด้านหน้าชั้นแล้วยิงเวทมนตร์ใส่ปีศาจนกตัวอื่นๆ

อย่าเลย ไม่ต้องก็ได้ จริงๆนะ ไปปกป้องพวกอัศวินกับทหารราบอ่อนๆเหอะ

ช่วยไม่ได้ ชั้นเลยต้องเปลี่ยนเวทย์ที่จะใช้ เปลี่ยนเป็นลำแสงยิงจากระยะไกลแทน

เพราะงี้ไงชั้นถึงชอบโซโล่มากกว่า

ถ้ามีพวกพ้องอยู่เยอะเกิน มันก็จะขวางไม่ให้ชั้นใช้เวทย์โจมตีหมู่ได้สะดวก

ถ้ามีแต่ศัตรูนี่ชั้นคงยิงระเบิดลูกใหญ่ตูมเดียวตายเกลื่อนไปแล้ว พอมีฝ่ายเดียวกันอยู่ด้วยนี่ชั้นเลยทำได้แค่โจมตีแบบปกติ

อยากพุ่งเจ้าใส่กลางวงล้อมศัตรูอ่าา

อยากใช้เวทย์ใหญ่ล้างทั้งสนามอ่าา~

“ท่านเอลริส! อย่าออกห่างมากเกินไปขอรับ! พวกเราอัศวินจะปกป้องท่านเอง!”

แค่ก้าวไปข้างหน้าก้าวเดียวก็เจอแบบนี้แล้ว

ไม่ต้องมาปกป้องชั้น ตูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นโว้ย

เข้าใจผิดอะไรกันอยู่รึเปล่าเนี่ย ชั้นไม่ใช่เจ้าหญิงบอบบางที่จะเป็นลมเป็นแล้งได้ตลอดเวลาถ้าไม่ถูกเอาใจใส่นาเหวย

“Fortune favors the bold”

ตอนนี้คงต้องเสริมพลังพวกเดียวกันก่อน

ถึงชั้นจะชอบเล่นโซโล่มากกว่า แต่ถ้าไม่ใช้เบื้ยให้คุมก็คงน่าเสียดายแย่ ก็เปลี่ยนกลยุทธ์หน่อยแล้วกัน

ดาบแห่งแสงมากมายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน เสียบทะลุร่างของปีศาจ และมาปักอยู่ต่อหน้าเหล่าทหาร

ดาบนี้สร้างจากเวทย์แสง เป็นอาวุธใช้ง่ายที่ไม่มีวันบิ่น

แถมมีบัฟเสริมให้ด้วย ใครที่จับมันจะได้รับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าส่งตรงจากด้ามดาบ ปลดขีดจำกัดของร่างกาย ดึงพลังฉุกเฉินยามไฟไหม้ออกมา

ว่ากันว่ามนุษย์เราสามารถใช้พลังได้เพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์จากประสิทธิภาพโดยรวมเท่านั้น

ถ้าปล่อยไว้เฉยๆร่างกายจะทนไม่ไหวเอาได้ เลยต้องผสมเวทย์รักษาอัตโนมัติเสริมเข้าไปด้วย

ทหารที่ถือดาบนั้นก็จะสามารถใช้พลังได้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนตอนไฟไหม้ ส่วนร่างกายที่ทำท่าจะรับพลังไม่ไหวก็จะถูกรักษาในทันที

บวกกับการปิดกั้นความเจ็บปวดเข้าไปด้วย

ปิดท้ายด้ายการเร่งการผลิตโดปามีนในสมอง ทำให้พวกเขากระตือรือร้นและกล้ากาญขึ้น กลายเป็นทหารที่สมบูรณ์แบบ

แหม ไอ้นี่มันการกระทำของตัวร้ายรึเปล่าเนี่ย ชั้นทำเองยังคิดงั้นเลย

ก็ลองใช้กับตัวเองมาแล้วล่ะนะ ไม่มีผลข้างเคียงอะไรด้วย

ไม่เป็นไรแหละ ไม่มีผลเสียให้เห็นในทันทีซักหน่อย

ชั้นก็ไม่ผิดไรนา อย่างน้อยนี่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พวกเขาตายหรือทิ้งสนามรบแล้วหนีไป ทหารแบบนั้นน่ะมีอยู่เยอะแยะ

อย่างน้อยดาบนี้ก็ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลง ก็ถือว่าไม่แย่มาก แต่…อา ก็ยังถือว่าเป็นการกระทำที่เลวอยู่ดีนั่นแหละ

“ทหารทั้งหลาย ยกดาบขึ้นมาซะ!”

ทันทีที่พวกทหารยกดาบขึ้นมา กำลังใจของพวกเขาก็พุ่งขึ้นสูงเหมือนโดนโด๊ปยาและเข้าสู้กับพวกปีศาจ

โอ้! โอ้! โมเมนตั้งเริ่มมาละ

เมื่อกี๊ยังเป็นหมาใต้ตีนอยู่เลย ตอนนี้กลายมาเป็นนักรบขจัดปีศาจไปแล้ว

แต่ละคนแสดงพลังของนักรบให้เห็น

ในระหว่างที่คอยมองพวกทหารทั้งหลายสู้อยู่ พวกองครักษ์คนอื่นๆก็มาคุกเข่าต่อหน้าชั้น

“ท่านเอลริสขอรับ โปรดมอบดาบแห่งแสงนั้นให้แก่พวกเราด้วย”

เอ๋? พวกนายก็อยากได้ดาบยาโด๊ปด้วยเหรอ?

พวกนายเก่งพอแล้วนา ระดับนี้แล้วไม่จำเป็นแล้วมั้ง?

ถึงชั้นจะคิดแบบนั้น แต่ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะอยากได้มาก ก็เลยให้ดาบไป

“โออว…พลังของข้าเอ่อล้นออกมา!”

เพราะว่าขีดจำกัดโดนปลดแล้วไงล่ะ

“อาา รู้สึกมีแรงใจขึ้นมาเลย”

เพราะว่านายโดนโด๊ปยาไงล่ะ

“บาดแผลของข้าค่อยๆรักษาตัวแล้ว”

ถ้าไม่มีการรักษาให้ล่ะก็ ป่านนี้ร่างกายของพวกนายคงจะพังไปแล้วล่ะ

พวกอัศวินทั้งหลายที่กำลังใจเริ่มมาก็เข้าร่วมกวาดล้างปีศาจนกทั้งหลายด้วย

อืมม ไม่มีอะไรทำเลยน้า~

สถานการณ์ถูกพลิกกลับ กองทัพบิลเบอรี่กลับมามีแรงใจอีกครั้งและเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม ไม่มีศัตรูตัวไหนเหลือรอดมาถึงชั้นเลย

ผลการต่อสู้มันออกมาแล้ว ยังไงพวกเราก็ไม่แพ้แล้วล่ะ

ชนะละ อยากกลับบ้านไปอาบน้ำแล้ว

“เวรเอ๊ย อย่างน้อยที่สุดขอแค่เซนต์ไปด้วย!”

เข้าใจว่ายังไงฝ่ายตัวเองก็พ่ายแพ้แล้ว เจ้าอีกาหันมาหาชั้น กะจะลากชั้นไปตายด้วยสินะ

มันพุ่งมาทางนี้เหมือนกันกระสุนปืน ดูจะแรงไม่ใช่เล่น

พวกอัศวินพยายามที่จะหยุดมันไว้ แต่เจ้ากามันเร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะตอบสนองได้ทัน

อา ก็ใช่ว่ามันจะทำอะไรชั้นได้น่ะนะ

จริงๆถ้ามันหนีไปได้ต่างหากที่จะเป็นปัญหา แบบนี้แหละดีแล้ว

ชั้งกางแขนออก ทำท่าเตรียมจะจับเจ้ากาไว้

ถ้าปล่อยมันหลุดไปได้จะแย่เอา เพราะฝ่ายเดียวกันจะกลายมาเป็นตัวถ่วง แถมมันยังเร็วพอตัว อาจจะหลบลำแสงของชั้นได้

ชั้นถึงจะล่อให้มันพุ่งเข้ามาหาตรงๆ จะได้ผนึกการเคลื่อนไหวแล้วจัดการมันซะ

“ท่านเอลริส…ทำไม…! อย่าบอกนะว่าท่านพยายามที่จะปกป้องทหารด้านหลังท่าน…!?”

เหมือนสต๊อกโกะจะเข้าใจอะไรผิดแฮะ

มีทหารอยู่ด้านหลังชั้นด้วยเรอะ? ไม่เห็นรู้เลย

ก็ไม่สำคัญอ่ะนะ ยังไงก็ได้

เข้ามาเลยเจ้ากา ลอยมาหาป๊ะป๋ามะ

จากนั้นก็จงสิ้นหวังที่การโจมตีของแกทำอะไรชั้นไม่ได้ซะ

“ท่านเอลริส!”

ก็คิดอย่างนั้นน่ะนะ แต่จู่ๆเวอร์เนลก็กระโจนเอาตัวมาบังชั้นไว้เพราะอะไรไม่รู้

แล้วหลังของเขาก็ถูกจะงอยของเจ้ากาแทงเข้าให้

เอ๊ะ เดี๋ยวดิ นาย…

นายทำบ้าอะไรฟร๊าา!?

____________________________

จะลงนิยายเรื่องนี้ทุกวันจันทร์, พุธ และเสาร์ในเวลาช่วง บ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็นนะครับ