บทที่ 37 เรื่องราวในออฟฟิศ

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 37 เรื่องราวในออฟฟิศ

บทที่ 37 เรื่องราวในออฟฟิศ

เมื่อเห็นคนอวดกล้ามของตนเองต่อหน้า อู๋ฝานจึงยิ้มตอบรับ “ร่างกายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่สอนไม่ใช่เหรอครับ?”

“เหอะ ไอ้คนอ่อนแอ ฉันต่อยหมัดเดียวก็ล้มได้เป็นสิบคนแล้ว” อีกฝ่ายกล่าวตอบกลับมา

“ถ้าอย่างนั้น ลองดูไหมล่ะครับ?” เมื่อได้ยินคำยั่วยุจากเพื่อนร่วมงานใหม่แบบนี้ อู๋ฝานไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย

“ลองกับฉันเนี่ยนะ ประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างเหยียดหยัน

“ไม่สิ พวกเราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ล้อกันเล่นยังพอว่า แต่อย่าทำลายมิตรภาพต่อกันเลย” ซุนเยวี่ยรีบลุกขึ้นยืน

ชายคนนั้นฮึมฮัมเสียงเย็นชาตอบรับเพื่อไว้หน้าซุนเยวี่ย ก่อนจะเมินเฉยอู๋ฝานและกลับไปยกดัมเบลของตัวเองต่อ ส่วนทางด้านอู๋ฝาน เขายิ้มให้ซุนเยวี่ยเพียงอย่างเดียว ไม่กล่าวคำอื่นใดอีก

“อู๋ฝาน นายเพิ่งมาใหม่ ให้ฉันพาทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ไหม?” ซุนเยวี่ยเอ่ยถามอู๋ฝาน

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” อู๋ฝานกล่าวตอบ “ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยนี้มาก่อน เคยมาที่นี่บ่อย ๆ ผมคุ้นเคยดีแล้วครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว” ซุนเยวี่ยตอบกลับ “แต่ว่าค่าบ้านในเจียงโจวแพงมากเลย โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยหรือใจกลางเมือง ค่าบ้านสูงจนน่าตกใจเลยทีเดียว ในเมื่ออยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย นายคงจะรวยไม่ใช่น้อย”

“ผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ผมอยู่แค่บ้านเช่าเองครับ” อู๋ฝานอธิบาย

“เหอะ ก็ไม่ได้ดูเหมือนคนรวยอยู่แล้ว” ชายที่อยู่ข้างเคียงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงดูหมิ่น เพียงแต่ไม่ได้ก้าวร้าวเหมือนเมื่อครู่

“ครอบครัวของเสี่ยวหลี่อยู่ที่เจียงโจว ครอบครัวเขาทำกิจการบริษัท ค่อนข้างมีฐานะทีเดียว” ซุนเยวี่ยกระซิบบอกอู๋ฝาน

คำพูดนี้แฝงความริษยาอยู่ไม่น้อย

อู๋ฝานปรายตามองยังชายหนุ่มคนที่อยู่ด้านข้างตนเอง อีกฝ่ายมีอายุกว่าตัวเขาไม่มาก ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจที่อาจารย์ซุนเยวี่ยใช้คำสุภาพ

อีกฝ่ายเป็นลูกเศรษฐีที่มาทำงานที่นี้ แต่ก็เท่านั้น ไม่รู้ทำไมถึงมาเป็นอาจารย์ อีกทั้งยังมาเป็นอาจารย์พละ ในเมื่อไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน ทำไมถึงมาออกความเห็นเรื่องตัวเขาถึงขนาดนี้กัน?

ขณะอู๋ฝานนึกสงสัย ประตูออฟฟิศก็เปิดออก เรือนร่างงดงามเดินเข้ามา

พอคุณชายหลี่ที่ยังคงออกกำลังกายอยู่เมื่อครู่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ก็วางดัมเบลในมือลงพร้อมเข้าไปกล่าวคำทักทายทันที

“หย่าเฟย มาแล้วเหรอ? เหนื่อยไหม? เดี๋ยวไปรินชาให้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงคึกคะนอง

ดวงตาของอู๋ฝานเปล่งประกายขึ้นมา

ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาน่าจะมีอายุราว 25-26 ปี ใบหน้าละเอียดอ่อนราวแกะสลักขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง เรือนร่างโค้งเว้า ทุกอิริยาบถมีท่าทีของความสง่า ทุกย่างก้าวของเธอเหมือนมีท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์

ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหญิงงามผู้มีรูปร่างและหน้าตาดีเยี่ยม!

“ไม่เป็นไร” หญิงสาวปฏิเสธเสียงเรียบใส่ชายหนุ่มผู้กระตือรือร้น “บอกไปหลายครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่าหย่าเฟย ให้เรียกด้วยชื่อเต็ม ไม่ก็อาจารย์เกิ่ง”

“หย่าเฟย พวกเราคุ้นเคยกันดี ไม่เห็นต้องทำเป็นห่างเหินต่อกันเลย” ชายหนุ่มไม่คิดสนใจต่อท่าทีเฉยชาของหญิงงาม ใบหน้ายังคงประดับยิ้มแย้ม แตกต่างจากตอนพูดคุยกับอู๋ฝานอย่างชัดเจน

หญิงสาวทราบความในใจของชายหนุ่มตรงหน้าดีจึงเมินเฉย ในตอนนี้เอง เธอได้ตระหนักว่าในออฟฟิศมีคนแปลกหน้า

“ขอแนะนำตัวให้รู้จักก็แล้วกัน” ซุนเยวี่ยลุกขึ้นเอ่ยคำ “หญิงงามคนนี้คือเกิ่งหย่าเฟย เป็นอาจารย์ยิมนาสติก ส่วนคนนี้คืออู๋ฝาน เป็นอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่”

“สวัสดีครับ” อู๋ฝานกล่าวทักทาย

“สวัสดีค่ะ” เกิ่งหย่าเฟยไม่ได้มีท่าทีเฉยชาเหมือนเมื่อครู่ “คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย ถ้าหากอาจารย์ซุนไม่แนะนำตัวให้ คงนึกว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเรา”

“อาจารย์เกิ่งก็ดูเด็กเช่นกันครับ เด็กกว่านักศึกษาในคลาสด้วยซ้ำ” อู๋ฝานกล่าวชม

เกิ่งหย่าเฟยคลี่ยิ้ม ในฐานะผู้หญิงโดยเฉพาะหญิงงาม ใครกันจะไม่ชอบโดนชม

“เหอะ เจ้าลิ้นสามแฉก” ชายหนุ่มเข้ามาก่อกวนทำลายบรรยากาศ “หย่าเฟย ระวังตัวด้วย สังคมทุกวันนี้มีคนไม่น้อยที่ใช้คารมล่อลวงหญิงสาวและเอาอกเอาใจ แต่แท้จริงแล้วมีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝง”

“หลี่ปิง! ฉันพูดกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำเหมือนพวกเราสนิทกัน!” เกิ่งหย่าเฟยเผยท่าทีโกรธเกรี้ยวออกมา

“ก็ครอบครัวของพวกเราสนิทกัน ฉันไม่อยากเห็นเธอโดนหลอกนะ” ชายหนุ่มนามหลี่ปิงโต้แย้ง

“ฉันเบื่อจะพูดกับนายเต็มทนแล้ว!” เกิ่งหย่าเฟยยิ้มขออภัยให้อู๋ฝาน ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะของเธอ

“ฮึ่ม เจ้าคางคก อย่าได้คิดจะกินเนื้อหงส์เชียวล่ะ!” หลี่ปิงกล่าวบอกอู๋ฝาน ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง

“เสี่ยวหลี่ตามจีบอาจารย์เกิ่งมานานแล้ว” ซุนเยวี่ยเข้ามากระซิบบอกอู๋ฝาน

“ไม่แปลกใจครับ” อู๋ฝานตอบรับ

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลี่ปิงจะแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ หลังจากรู้ว่าอู๋ฝานไม่ได้มีเงินอะไร ท่าทีเป็นปรปักษ์ก็ลดทอนลงไปบ้าง ก่อนหน้านี้คงกลัวว่าเขาจะกลายเป็นคู่แข่งไล่ตามจีบเกิ่งหย่าเฟย

เพราะสาวสวยสะพรั่งอย่างเกิ่งหย่าเฟยย่อมทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายตกหลุมรักโดยง่าย โดยเฉพาะกับอู๋ฝานที่ยังหนุ่มและยังไม่ได้แต่งงาน จึงถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ

อู๋ฝานกลับไปที่นั่งของตัวเองพลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มได้แต่ขบขัน ไม่คิดเก็บมาใส่ใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานมามาก เขาพบเห็นความสัมพันธ์ในที่ทำงานมาไม่น้อย หลี่ปิงถือว่ายังดูน่ารักเสียด้วยซ้ำ

อู๋ฝานไม่คิดเก็บเรื่องหลี่ปิงมาใส่ใจจริงจัง อย่างไรแล้วเขาก็ไม่ได้มีแผนจะเข้าออฟฟิศบ่อย ๆ ไม่น่าจะมีโอกาสได้พบเจอคนพวกนี้บ่อยนัก

หลังจากนั้นไม่นาน ออฟฟิศมีคนมาเพิ่มอีกสองคน รวมแล้วมีอาจารย์พละถึงหกคนในออฟฟิศ อาจารย์อีกสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ พวกเขามีอายุไล่เลี่ยกับซุนเยวี่ย แถมยังแต่งงานแล้ว

แปะ ๆ

หลังจากที่ทุกคนมาถึง อาจารย์ซุนเยวี่ยก็ลุกขึ้นปรบมือแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ถือเป็นวันแรกของการทำงานภาคเรียนใหม่ หลังเลิกงานแล้วพวกเราไปกินมื้อเย็นด้วยกันหน่อยเป็นไง?”

“ผมไปด้วย!” หลี่ปิงยกมือขึ้นเป็นคนแรก จากนั้นจึงหันมองไปยังเกิ่งหย่าเฟย “พวกเราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ควรไปด้วยกันนะ”

เกิ่งหย่าเฟยไม่มองหลี่ปิงแต่อย่างใด แต่ก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ

อาจารย์อีกสองคนก็ตอบตกลง เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนร่วมงานจะไปทานมื้อเย็นร่วมกัน โดยเฉพาะวันแรกของการทำงานอย่างวันเปิดภาคการศึกษาใหม่

“อาจารย์อู๋ล่ะ ว่าไง? ไปไหม?” ซุนเยวี่ยเอ่ยถามอู๋ฝาน

“ปาร์ตี้มื้อเย็นถือเป็นระบบ AA*[1] คนที่ไม่มีเงินก็อย่าคิดว่าจะมากินฟรีได้ล่ะ” หลี่ปิงเอ่ย

อู๋ฝานไม่คิดไปแต่แรกอยู่แล้ว เพราะตอนกลางคืนเขาต้องไปตั้งแผงขายของ แต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน แม้ว่าจะไม่มีแผนมาที่นี่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ควรทำตัวห่างเหิน อีกทั้งหลี่ปิงก็ผีเข้าผีออกเหลือเกิน หากปฏิเสธ เขาจะกลายเป็นคนที่คิดอยากกินฟรีขึ้นมาน่ะสิ

“ไปครับ ผมไปได้” อู๋ฝานกล่าวตอบ

“ตกลงตามนี้ ไว้ไปพร้อมกันหลังเลิกงาน” ซุนเยวี่ยตอบรับพร้อมให้ข้อสรุป

[1] ระบบ AA หมายถึง ระบบแบ่งกันจ่ายอย่างเท่าเทียม