ตอนที่ 38 ชอบกอดต้นขา

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 38 ชอบกอดต้นขา

คืนวันพฤหัส

ที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเมืองเย่ว์ตู

เสิ่นเจียวหยางในวัยสามขวบครึ่งจู่ๆ ก็ผละจากมือพ่อแม่ของเขาและรีบวิ่งไปที่ประตูด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก เสียงเล็กๆ ตะโกนว่า “พี่สาว พี่สาว” น้ำเสียงยังร่าเริงและฟังดูตื่นเต้นมากด้วย

พ่อแม่ของเขามีสีหน้าสงสัย แต่ก็รีบวิ่งไปคว้าตัวลูกชายและจับมือเขาไว้แน่น

นับตั้งแต่ที่เขาเกือบจะถูกกลุ่มผู้ค้ามนุษย์จับตัวไปขาย ทุกครั้งที่พวกเขาออกนอกบ้าน พวกเขาก็จะจับมือเด็กชายไว้แน่นและไม่กล้าละสายตาจากเขาแม้แต่วินาทีเดียว ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ

เสิ่นเจียวหยางเชิดหน้าเล็กๆ นั้นขึ้นสูงและพูดกับแม่เขาอย่างมีความสุขว่า “แม่ครับ พี่สาว”

กันลู่ก้มลงถามลูกชายของเธอ “พี่สาวอะไร พี่สาวคนไหนเหรอครับ”

“พี่สาวที่อาบน้ำหอมๆ เล่นซ่อนหากับพวกเรา”

“เจียวหยาง ลูกแอบไปเล่นซ่อนหาอีกแล้วเหรอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไหนลูกบอกแม่ว่าจะไม่เล่นซ่อนหาอีกแล้วในอนาคตอย่างไรเล่า” ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น คุณแม่กันลู่ก็ไม่เคยได้ยินสามคำนี้หลุดออกมาจากปากเด็กชายอีก

เสิ่นรุ่ยที่จับมือเด็กชายไว้และกำลังเดินไปด้วยกันฝีเท้าชะงักกึก เขานั่งยองๆ ลงกับพื้น พูดกับลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจียวหยาง ใช่คนที่เล่นซ่อนหากับลูกตอนที่ลูกอยู่ห่างจากพ่อกับแม่สองวันนั้นใช่หรือไม่”

หัวเล็กๆ ผงกขึ้นลงทันที “ใช่แล้วๆ พ่อครับ พี่สาวเยาเยาเก่งมากเลย สุนัขตัวโตดุๆ ก็ไม่กลัว! ผมกับพี่สาวชีสยา กับพี่ชายปู้อวี๋และน้องชายหลิ่นหรานกลัวมาก พวกคุณลุงและคุณป้าใจร้ายยังบอกว่าถ้าพวกเราไม่เชื่อฟังจะปล่อยให้สุนัขตัวโตกัดพวกเรา แต่พอพี่สาวเยาเยามาพวกเขาก็ไม่กล้าดุพวกเราแล้ว!”

เสิ่นรุ่ย “เจียวหยาง พี่สาวเยาเยาอยู่กับลูกนานแค่ไหน”

“อยู่นานแค่ไหน?” เสิ่นเจียวหยางนับเวลาด้วยนิ้วป้อมๆ ของเขา

“…พี่สาวเยาเยามาแล้วก็เอานมให้น้องชายหลิ่นหรานกิน น้องชายกินขนมปังกับนมเสร็จพี่สาวก็พาพวกเราอาบน้ำหอมๆ พอนอนหลับตื่นขึ้นมาพี่สาวก็ให้ซาลาเปาพวกเรากินอีกครั้งหนึ่งแล้วพาพวกเราลงไปเล่นข้างล่าง คุณลุงกับคุณป้านิสัยไม่ดีเป็นท่อนไม้…แล้วคุณลุงตำรวจก็มา พ่อกับแม่ก็มาด้วย”

แม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะตอบได้ไม่ชัดเจนนัก แต่จุดที่สำคัญทั้งหมดล้วนพูดออกมาหมดแล้ว

เสิ่นรุ่ยและภรรยาของเขามองหน้ากัน

“พี่สาวเยาเยา” เจ้าตัวเล็กผละจากมือพ่อแม่อีกครั้งและรีบวิ่งไปหามู่เถาเยาที่เดินเข้ามาจากประตูและกำลังเดินไปทางบันไดเลื่อนทางซ้ายมือ

มู่เถาเยา “…”

อันที่จริงเธอรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เสิ่นเจียวหยางเพื่อนตัวน้อยของเธอตะโกนเรียกเธอครั้งแรกแล้ว ขณะที่เธอต้องการใช้ประโยชน์จากเวลาที่ครอบครัวทั้งสามคนกำลังคุยกัน ใครจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กๆ นี้จะวิ่งฉิวเข้ามาหาขณะที่เธอกำลังจะยกเท้าก้าวขึ้นบันไดเลื่อนพอดี

เพราะกลัวว่าเขาจะตามขึ้นบันไดเลื่อนมาด้วย มู่เถาเยาจึงดึงเท้าซ้ายของเธอที่ยกค้างไว้กลับ และถอยห่างจากบันไดเลื่อนเล็กน้อย

เสิ่นเจียวหยางกระโดดกอดหมับเข้าที่ขาเรียวยาวของมู่เถาเยาและเรียกเธอว่าพี่สาวอย่างมีความสุข

มู่เถาเยามองลงไปที่เด็กตัวน้อยๆ คิดในใจว่า ทำไมตุ๊กตาในยุคสมัยนี้ถึงชอบกอดต้นขานักนะ

ข้างนอกเป็นแบบนี้ และที่หมู่บ้านเถาหยวนซานก็เหมือนกัน ขาของเธอมันกอดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

“พี่สาว พี่สาว ทำไมพี่ถึงไม่มาเล่นกับเจียวหยางเลย” ไม่เจอกันนานมากๆๆ แล้ว!

“พี่ต้องไปเรียน” หรือต่อให้ไม่ไปเรียนก็ไม่คิดจะไปเล่นเป็นเพื่อนเธอหรอกนะ!

จู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็นึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่โรงเรียนอนุบาลด้วย เขาจึงพูดว่า “งั้นพี่สาวไปเล่นที่โรงเรียนอนุบาลกับผมนะ”

มู่เถาเยาพูดไม่ออก

ในตอนนี้เองที่เสิ่นรุ่ยและกันลู่เดินเข้ามาใกล้ และเมื่อพวกเขาเห็นหน้ามู่เถาเยาทั้งสองก็ตกใจมาก

“ประธานมู่!”

“ประธานเสิ่น คุณนายเสิ่น”

เสิ่นรุ่ยเป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ที่สุดของชุดผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ‘เซินหัว’ ของหมู่บ้านเถาหยวนซาน และชื่อเสียงแบรนด์ ‘เซินหัว’ ก็เริ่มต้นจากการร่วมมือกันกับตระกูลเสิ่นนั่นเอง

มู่เถาเยาและเสิ่นรุ่ยเคยพบกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น และหลังจากที่เธอหาผู้จัดการมือดีได้ พวกเขาก็เป็นตัวแทนเธอไปคุยธุรกิจกับเสิ่นรุ่ยมาโดยตลอด ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกได้ว่าทั้งคุ้นเคยกันและไม่คุ้นเคยกัน

เสิ่นรุ่ยพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ท่านประธานมู่ ขอบคุณคุณมากจริงๆ ที่ช่วยเจียวหยางและเด็กคนอื่นๆ ออกมา!”

ตามคำขอของมู่เถาเยา สำนักงานรักษาความปลอดภัยจึงได้สงวนชื่อและตัวตนของเธอไว้เพราะเธอไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเธอคือคนที่ช่วยชีวิตเด็กเอาไว้ แต่พ่อแม่ของเด็กไม่ได้โง่ หลังจากหลอกถามข้อมูลจากปากลูกของพวกเขา พวกเขาก็สามารถปะติดปะต่อจากข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ นั้นได้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันแค่บังเอิญผ่านไปเห็นก็เลยช่วยไว้เท่านั้น”

“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอกครับ ประธานมู่อุตส่าห์ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตราย บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ตระกูลเสิ่นของเราจะจดจำให้ขึ้นใจ” กันลู่มองไปที่มู่เถาเยาด้วยรอยยิ้มที่แผ่ไปถึงดวงตาของเธอ

แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับเด็กสาวคนนี้ แต่เธอมักจะได้ยินสามีของเธอพูดถึงบุคคลนี้ โดยบอกว่าสาวน้อย ‘เซินหัว’ นั้นเก่งในการเจรจาและทำธุรกิจนัก! ดุดันเด็ดขาดยิ่งกว่าตาแก่หลายคนในวงการเสียอีก ดูไม่เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะเลย!

ตอนนี้กันลู่เพิ่มนิยามคำว่า ‘ใจเด็ด’ ตัวหนาๆ ให้เธออีกนิยามหนึ่ง!

เด็กสาววัยรุ่นอายุสิบกว่าปี เมื่อเจอเรื่องแบบนี้แต่ก็ยังสามารถจัดการกับกลุ่มผู้ค้ามนุษย์ได้อย่างใจเย็นและเปี่ยมไปด้วยสติ!

มู่เถาเยาไม่รู้ความคิดในหัวของกันลู่ ถ้าเธอรู้ เธอคงจะบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังว่า แค่ใช้ความเร็วนิดหน่อยกับนิ้วมืออีกเพียงนิ้วเดียวก็สามารถจับกุมกลุ่มผู้ค้ามนุษย์ทั้งหมดได้ง่ายๆ เหงื่อยังไม่ทันไหลเลยสักนิด!

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอกำลังสงสัยว่าคำว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ ถูกเขียนติดไว้บนหน้าผากของเธอหรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นประกายในสายตาของกันลู่

“คุณนายเสิ่นไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ฉันค่อนข้างมีวาสนากับเด็กๆ”

“ประธานมู่ คุณมาที่นี่เพื่อซื้อของหรือเปล่า ถูกใจสิ่งไหนก็เลือกได้เลยนะคะถือเสียว่าเจียวหยางแสดงความกตัญญูต่อคุณ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่จะมาเลือกของขวัญสำหรับเด็กเพื่อมอบให้ใครบางคน”

กันลู่ถามทันทีว่า “คุณต้องการซื้อของขวัญแบบไหนเหรอคะ เด็กอายุเท่าไหร่ ให้ฉันช่วยแนะนำให้ไหม”

“ทารกชายอายุห้าหรือหกเดือนค่ะ”

“มอบให้ญาติหรือเปล่าคะ หรือว่าให้เพื่อนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณ”

“เป็นครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นเรียนค่ะ ความสัมพันธ์ธรรมดา”

“ให้พวกเราไปช่วยคุณเลือกเถอะค่ะ คนที่เลี้ยงเด็กย่อมรู้ดีว่าควรจะซื้ออะไรเป็นของขวัญ”

“พวกคุณไม่ใช่ว่ากำลังจะออกไปข้างนอกหรอกเหรอ” ทิศทางที่พวกเขาเดินไปเมื่อสักครู่นี้คือประตู

“ไม่เป็นไรค่ะ เจียวหยางเพียงแค่อยากออกไปเล่นกระดานลื่นข้างนอก แต่พอเห็นคุณ ฉันเดาว่าตอนนี้เขาคงลืมไปแล้ว” มีสนามเด็กเล่นอยู่ที่ลานกว้างนอกห้าง

มู่เถาเยามองลงไปที่เจ้าถั่วน้อยๆ ซึ่งกำลังเกาะขาเธอไว้อย่างเหนียวแน่น

“พี่สาว พี่สาว”

มู่เถาเยา “…” เธอยังจำกระดานลื่นของเธอได้อยู่ไหม

“เอาล่ะค่ะ เจียวหยาง พี่สาวกำลังจะไปซื้อของขวัญให้คนอื่น ลูกรีบปล่อยพี่สาวเร็วเข้า”

“เจียวหยางก็จะเอาด้วย!”

มู่เถาเยา “…” ไม่เคยคิดจะซื้อให้เธอเลยนะ!

เสิ่นรุ่ย “…” ควรเป็นลูกที่ซื้อให้พี่สาวด้วยซ้ำไหม!

กันลู่ “…” หน้าหนาจริงๆ ! นี่ไม่ใช่กรรมพันธุ์ที่สืบทอดมาจากฉันอย่างแน่นอน!

เสิ่นเจียวหยางปล่อยมือจากต้นขาของมู่เถาเยา แล้วเปลี่ยนไปจับมือเธอแทน เงยหน้าขึ้นอย่างน่ารัก “พี่สาวครับ เจียวหยางอยากได้รถรถ”

“โอเค” ในเมื่อผู้อื่นขอแล้ว ไม่ซื้อให้ก็คงไม่ดีเท่าไร

มู่เถาเยาจูงมือถั่วน้อยเดินไปที่บันไดเลื่อน

สองสามีภรรยาตระกูลเสิ่นเดินตามหลังทั้งคู่ไป

อันดับแรกพวกเขาไปที่แผนกของใช้แม่และเด็กก่อน กันลู่ช่วยเธอเลือกของขวัญที่เหมาะสมสำหรับลูกชายของครอบครัวเพื่อนร่วมชั้นเรียน ซึ่งของที่เลือกมาไม่ได้โดดเด่นเกินไปแต่ก็สามารถใช้งานได้จริง

มู่เถาเยาหยิบบัตรธนาคาร ใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ และกุญแจรถจากถุงผ้าของเธอแล้วยัดใส่ลงในกล่องต่อหน้าคู่สามีภรรยาตระกูลเสิ่น ก่อนจะขอให้พนักงานของร้านช่วยห่อกล่องของขวัญให้

เมื่อกันลู่เห็นของมีค่าเหล่านี้ ความรู้สึกแรกที่ผุดเข้ามาในหัวเธอคือเธอเลือกของขวัญผิดไปหรือเปล่า เธอคิดว่าอีกฝ่ายเพียงต้องการซื้อของขวัญให้ลูกชายของครอบครัวเพื่อนร่วมชั้นเรียนธรรมดา

“ประธานมู่ ขอโทษจริงๆ นะคะ ฉันไม่คิดว่าตัวเองเลือกของขวัญได้ดีเท่าไร ให้ฉันเลือกให้คุณใหม่ดีไหม”

“ไม่เลยค่ะ อันนี้ดีมาก ของพวกนี้ฉันเพียงแค่คืนให้ครอบครัวเขาไป”

กันลู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เธอไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อสักครู่นี้เธอกำลังคิดว่าจะให้บ้าน รถยนต์ หรือบัตรธนาคารอะไรทำนองนี้แก่ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตลูกชายของเธอดีหรือเปล่า แต่พอเห็นการกระทำแบบนี้แล้ว…เลือกอย่างอื่นมอบให้อีกฝ่ายดีกว่า ประเดี๋ยวจะลำบากอีกฝ่ายคิดหาวิธีส่งของคืนอีก

เสิ่นรุ่ยคิดในใจ หรือไม่ลองติดต่อกับผู้ปกครองของเด็กอีกสามครอบครัวดู แล้วมาหารือกันว่าควรใช้วิธีไหนขอบคุณประธานมู่ดี

นับตั้งแต่เด็กๆ ถูกพาตัวกลับมา ก็มีการติดต่อระหว่างครอบครัวของพวกเขากับพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ อยู่เสมอ

ก่อนหน้านี้เพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวตนของผู้มีพระคุณคือใครพวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้ว ย่อมไม่มีทางทำเป็นมองไม่เห็น จะอย่างไรก็ต้องแสดงออกถึงความขอบคุณของพวกเขาสักหน่อย!