ตอนที่ 284 – ฟังข้าพูด

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 284 – ฟังข้าพูด

เพียงการหันหลังหนึ่งครั้งที่แท้กลับทำร้ายนางมากขนาดนี้

เขาไม่เคยคิดเลย อาจบางทีแม้กระทั่งตัวนางเองก็คิดไม่ถึง

ฉินซีก็คือฉินโส่วจิ้ง ตอนที่นางตระหนักถึงจุดนี้ได้พยายามให้ตัวเองยอมรับมัน แต่เขากลับใช้ทัศนคติอันเมินเฉยปฏิเสธการเข้าใกล้ของนาง ดังนั้นนางตัดสินใจว่าฉินโส่วจิ้งมิใช่ฉินซี

แต่การสรุปนี้มันผิดไปทั้งหมดเลย!

เวลานั้นเขาเป็นเพราะอะไรหรือ เพราะว่ามีความรู้สึกที่ดีต่อนางเล็กน้อยแต่ถูกผู้ฝึกตนแปลงเทพสองท่านนั้นทำร้ายความภาคภูมิใจในตนเอง เขาปฏิเสธการเข้าใกล้ของนางเป็นเพราะความภาคภูมิใจในตนเองอันไร้ความหมายถูกทำร้ายไปหน่อย แล้วก็เพราะว่า…..ในเวลานั้น ความรู้สึกของเขายังไม่ได้มากมายขนาดนั้น

“นั่นเป็นเพราะ…..”

ครั้งนี้นางให้เวลาเขา แต่เขากลับพูดไม่ออกเลย

เพราะว่าเวลานั้นยังไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งขนาดนี้ต่อนาง? ถึงนี่จะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าหากเขาเอาประโยคนี้พูดออกจากปาก เช่นนั้นก็จะไม่มีความหวังแม้แต่นิดเดียวจริง ๆ แล้ว

นอกจากนี้เขายังสามารถพูดอะไรได้หรือ เขาไม่ใช่คนที่จะพูดโกหก ยิ่งไม่ใช่คนที่อ้าปากพูดคำหวานหลอกลวง เขาพูดไม่เก่ง คำพูดที่ออกจากปากเป็นจริงเสมอมา เรื่องอย่างการหลอกลวงเขาเคยทำไปเพียงหนึ่งครั้ง และหนึ่งครั้งนั้น ตอนนี้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปแล้ว

ในเวลาอันเนิ่นนาน ฉินซีไม่มีคำตอบมาตลอด ดังนั้นสีหน้าของนางจึงค่อย ๆ กลายเป็นยิ้มเย็น “พูดไม่ออกหรือ”

เขาเบือนหน้าหนี ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับสายตาของนางอย่างไร

จนกระทั่งนางรู้สึกผิดหวังอย่างสิ้นเชิง “ท่านเป็นเช่นนี้เสมอ ให้ข้าเข้าใจผิด จากนั้นล่าถอย ทำให้ข้าดิ้นรนอยู่ในวังวนเพียงคนเดียว รอจนข้าปีนขึ้นมากลับอยากจะฉุดข้าลงไปอีกครั้ง…. ข้าก่อเกิดตานแล้ว เห็นสัจธรรมแล้ว หากท่านไม่สนใจข้า ความรู้สึกก็คงจะตายไปอย่างช้า ๆ แต่เพราะอะไรท่านยังจะมาล้อเล่นกับข้า ฉินโส่วจิ้ง ท่านก็รู้อยู่ว่าข้ารักท่าน!”

รอจนตะโกนประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ได้ตระหนักว่าที่แท้มีความรู้สึกคับข้องใจขนาดนี้

ชีวิตนี้ สิ่งของที่นางสูญเสียมากเกินไป ดังนั้นนางไม่กลัวที่จะสูญเสียเลย แต่ว่า นางเกลียดความรู้สึกที่มิอาจได้รับแต่กลับปล่อยวางไม่ได้เช่นนี้!

ตอนก่อเกิดตาน นางจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างสงบนิ่ง ถ้ามิใช่ว่าในช่วงเวลานี้เขาล้อเล่นเหมือนมีคล้ายไม่มี บางทีในอีกไม่กี่ปีก็จะไม่เหลือแล้วจริง ๆ

แต่เขากลับไม่ปล่อยนาง ตลอดทางนี้ เหมือนมีใจเหมือนไร้ใจ เดี๋ยวก็ดีกับนางจนเกินไป อีกเดี๋ยวกลับเย็นชา เขาไม่เหมือนกับจิ่งสิงจื่อที่เล่นตลกกับนางอย่างชัดเจน ถ้าหากเป็นอย่างนั้น บางทีความรู้สึกเล็กน้อยนั้นที่นางเหลืออยู่ก็จะจางหายไม่เหลือร่องรอยไปแล้ว เขาเพียงยืนอยู่ในระยะห่างที่เหมือนใกล้เหมือนไกล ทำให้นางเข้าใกล้ไม่ได้ ตีจากไม่ได้ ไม่เต็มใจจะจากลา

“พูดไม่ออกหรือ” อารมณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปีระบายออกมาแล้ว แต่ไม่มีคำตอบอันใด โม่เทียนเกอใจเย็นลง ตอนที่เขากำลังจะพูดก็หยุดเขา นางเงยหน้าขึ้นสูง จ้องมองเขาอย่างเจือด้วยความหยิ่งผยองเล็กน้อย “เช่นนั้นอะไรก็ไม่ต้องพูดแล้ว ก่อเกิดตานข้าผ่านมาแล้ว จิตวิญญาณใหม่ข้าก็จะเดินทางต่อไป! เรื่องของวันนี้จบลงแค่ตรงนี้ ข้าไม่อยากจะฟังเหตุผลอะไรอีก ก็ขอให้ท่านรักษาระยะห่างด้วยในภายภาคหน้า!”

“ไม่ใช่….” เขาจะหยุดลงในเวลานี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อนางพูดประโยคนั้นออกมา! “เทียนเกอ…..”

ไม่อาจะถอยไปไกลกว่านี้ ดังนั้นโม่เทียนเกอได้แต่หมุนตัวหันหลังให้เขา พอมองไม่เห็นท่าทางของเขาก็อาจจะไม่ใจอ่อน

แต่แขนทั้งคู่ของเขาโอบมาจากแผ่นหลัง ในช่องว่างแคบเล็กนางไม่อาจจะสลัดหลุดได้เลย

ลมหายใจของเขาก็อยู่ข้างใบหูนาง นำพาความตื่นเต้นอันยากจะควบคุมมาด้วย “เจ้าจะให้ข้ารักษาระยะห่างได้อย่างไร เจ้า……เจ้าบอกว่าเจ้ารักข้า…..”

“แล้วอย่างไรเล่า” นางยิ้มเย็นชา “ท่านมิใช่รู้แต่แรกแล้วหรือ”

“ข้าไม่รู้!” เขารัดร่างของนางอย่างแรง “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความรู้สึกดีต่อ ‘ฉินซือเกอ’ คนเก่า แต่ข้าไม่รู้ว่าความรู้สึกของเจ้ามีมากเท่าไหร่ ข้านึกว่า ข้านึกว่า…..” เขาตื่นเต้นจนพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่บ้าง “เจ้าสามารถก่อเกิดตาน จะต้องไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว….. อย่างน้อยก็ไม่ได้มากขนาดนั้น…..”

พูดออกมากองหนึ่งอย่างวุ่นวายสับสน เขาเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง ถามอย่างจริงจังว่า “เพราะอะไรเจ้าถึงสามารถก่อเกิดตานได้”

โม่เทียนเกอตะลึง โมโหเป็นการใหญ่ “อะไรคือการร้องว่าทำไมข้าก่อเกิดตานได้ หรือว่าข้าก่อเกิดตานไม่สำเร็จแล้วท่านจึงจะดีใจหรือ”

“ย่อมมิใช่!” ฉินซีกระวนกระวายเสียจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “แต่ว่า…..แต่ว่า…..ข้าไม่มีทางผูกจิตวิญญาณได้เลยนะ! ข้าคิดหาหนทางมามากมาย โอสถ ฝึกสภาวะจิตใจ แม้กระทั่ง…. แม้กระทั่งให้ซือฟุใช้วิชาลับเข้าห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของข้า แต่พ่ายแพ้ล้มเหลวเสมอเลย ไม่มีเหตุผลเลยที่เจ้าสามารถ……”

“ท่านผูกจิตวิญญาณไม่ได้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?!” นางยิ่งโมโห “ปล่อยนะ!”

“ไม่ปล่อย เจ้าพูดมาขนาดนี้แล้วข้ายังปล่อยข้าก็เป็นคนโง่แล้ว! ซือฟุรู้เข้าจะต้องตีข้าตายแน่!”

“ท่าน…..”

“เจ้ารอหน่อย” เขาสงบจิตใจลงได้นิดหน่อยแล้ว “เจ้าให้ข้าคิดหน่อยว่าจะพูดอย่างไร”

คิดไปคิดมา เขายังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีต่อเหตุการณ์เบื้องหน้า ดังนั้นคิดจนถึงท้ายสุดแล้วฉินซีจึงยอมแพ้ “ช่างเถอะ ข้าพูดตั้งแต่เริ่มต้นเลย เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ไม่อนญาตให้เจ้าพูดนะ”

“อาศัยอะไรข้า…..”

คำพูดถัดมาถูกเขาสกัดเอาไว้ โม่เทียนเกออ้าปากจะกัดอย่างโกรธ ๆ แต่ฉินซีไม่ให้โอกาสนาง ยึดกรามของนางเอาไว้ กัดที่ลิ้นของนางไม่ให้นางพูด

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงยุติการพัวพันครั้งนี้ ลมหายใจไม่นิ่ง นางหอบหายใจอย่างยากเย็น “ท่าน…..”

เขาแทรกไประหว่างฟันของนางหยุดนางเอาไว้ “พูดหมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปไม่อนุญาตให้เจ้าพูด ถ้าเจ้าอยากพูด เช่นนั้นพวกเราใครก็ไม่ต้องพูดทั้งนั้น”

“……” โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องอย่างมาก ทำไมอย่างกับว่าถูกเขาจูงจมูกไปเลยเล่า แต่ถ้าหากไม่ฟังคำพูดเขาก็คล้ายกับว่าจะไม่ได้……..

เห็นสีหน้าสับสนของนาง ฉินซีอดยิ้มมิได้ สางเส้นผมยาวที่กระจัดกระจายของนาง พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ฟังข้าพูด ได้ไหม”

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงเงียบเป็นการยอมรับ เหมือนกับว่า…..ไม่เงียบยอมรับก็ไม่ได้

“ข้า……ยอมรับ ตอนเริ่มแรกสุดไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย ข้าเพียงรู้สึกว่าเป็นฉินซีอย่างเรียบง่าย ความรู้สึกที่คบหากับเจ้านั้นดีมาก ถ้าหากในเวลานั้นข้ากลับไปเป็นฉินโส่วจิ้ง เจ้าจะต้องเว้นระยะจากข้าไปไกลแน่ ๆ อีกอย่าง เจ้าขี้ระแวงขนาดนั้น หากเป็นฉินโส่วจิ้งไปช่วยชีวิตเจ้า เจ้ายังจะสนิทสนมกับข้าอย่างนั้นอีกหรือ”

โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบ แต่จากสีหน้าของนาง เขาได้รับคำตอบแล้ว

ฉินซียิ้ม “เจ้าเหมือนกับ….กลัวว่าจะก้าวข้ามพลังของตนเองอยู่ตลอด ก็อาจจะเพราะอย่างนั้น ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย ข้าสามารถเข้าใจได้ ปกป้องความลับเช่นนั้น เจ้าจะต้องระวังไปเสียทุกที่ แต่ความตื่นตัวอย่างนั้นจะทำให้เจ้าปฏิเสธพลังทุกอย่างที่ตนเองไม่สามารถควบคุม ถ้าหากข้าเป็นฉินโส่วจิ้ง เช่นนั้นเจ้าจะต้องไม่มอบความไว้วางใจให้ข้า ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะช่วยชีวิตเจ้า พาเจ้ากลับโรงเรียนเสวียนชิง เจ้าก็จะเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเสวียนชิงได้ยากมาก ใช่หรือไม่”

“……..” โม่เทียนเกออยากจะปฏิเสธมาก แต่สิ่งที่พูดมันเหมือนจะไม่ผิดอีกแล้ว แรกสุดคนที่ทำให้นางไว้วางใจคือฉินซือเกอ ดังนั้นพอนางมาถึงโรงเรียนเสวียนชิงจึงค่อย ๆ ยอมรับชีวิตเช่นนี้ จากนั้นพบว่าการไว้วางใจคนรอบตัวมันไม่ได้ยากขนาดนั้นเลย ถึงแม้ว่าภายหลังนางจะผิดหวังในตัวฉินซือเกอ แต่ว่าหลัวเฟิงเสวี่ย, เยี่ยจิ่งเหวิน, เสวียนอินซือซู,ซือฟุ……. คนเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกว่าความไว้วางใจมิใช่สิ่งที่น่ากลัวขนาดนั้นเลย

ฉินซือเกอไม่ได้เป็นสาเหตุทั้งหมด แต่เป็นสาเหตุแรกสุด

“แน่นอน ตัวข้าเองก็ชอบความรู้สึกเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ร่วมระดับชั้นนั้นผ่อนคลายกว่ามาก สามารถพูดจาและทำเรื่องราวบางอย่างได้อย่างไม่ต้องเก็บงำ”

ในช่วงนั้น นางรู้สึกได้จริง ๆ ว่าเขาจริงใจและเถรตรง ไม่มีการอำพราง สัตย์ซื่อ สะอาดหมดจด แต่ว่า……

“จากนั้นคือการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ” ฉินซีพูด “เรื่องราวนั้น ข้าไม่รู้ว่าควรจะอธิบายกับเจ้าอย่างไร แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่า ในเวลานั้นข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้เล็งใส่เจ้าเลย”

ไม่ได้เล็งใส่นางแล้วยังจะทำหน้าซังกะตายอย่างนั้นหรือ โม่เทียนเกอโมโหขึ้นมา “ท่าน……”

“นี่! ข้าบอกแล้วอย่างไร ตอนนี้ไม่อนุญาตให้เจ้าพูด”

โม่เทียนเกอปิดปากลงอย่างโมโหยิ่งกว่าเดิม

“อาจบางทีเจ้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจจะพูดเรื่องราวนี้ออกมา “เจ้าค้นพบหรือไม่ว่าข้าที่ออกมาจากในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของผู้อาวุโสแปลงเทพทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส”

โม่เทียนเกอคิดดู พยักหน้า ถึงจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่เวลานั้นนางใช้ตาเปล่าก็ยังมองออก

ฉินซียิ้ม เย้ยหยันตนเองอยู่บ้าง “ที่จริงนั่นเป็นเพราะว่า ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ผู้อาวุโสหยวนเป่าท่านนั้นพูดว่าข้าที่มีลูกประคำวิญญาณพลังหยางในร่างเหมาะสมที่จะฝึกวิชาของเขา จึงทรมานข้าไปรอบหนึ่ง….”

เมื่อเผชิญกับสายตาตั้งคำถามของโม่เทียนเกอ เขาได้แต่เอ่ยจนหมดสิ้นว่า “เขาให้ข้ากินสิ่งของประหลาดพิสดารจำนวนมาก แล้วยังใช้วิธีการอันจับต้นชนปลายไม่ถูกมากมาย ทรมานจนแทบจะเอาชีวิตข้าไปครึ่งตัว ก็เพราะเหตุนี้ข้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาบอกว่า นี่เพื่อแปรเปลี่ยนร่างกายของข้า ให้ข้าเข้าใกล้ร่างหยางแท้ถึงขีดสุด อย่างนี้…..อย่างนี้ก็สามารถ…..เป็นเตาหลอมของเจ้า……”

พูดถึงตอนท้ายสุด เขาแทบจะไม่มีเสียงแล้ว

โม่เทียนเกอเบิกตาโต สุดท้ายพูดออกมาว่า “เตาหลอมหรือ”

“อืม” เขาหน้าแดงเล็กน้อย เบือนหน้าไป “เขาพูดว่า ถึงข้าไม่ได้เป็นร่างหยางบริสุทธิ์แต่กำเนิด แต่ร่างเป็นรากวิญญาณคู่ทองไฟ ทั้งหมดเป็นคุณลักษณะหยาง ยิ่งหลอมกลืนกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางอีก ขอเพียงค่อย ๆ ฝึกศาสตร์หยางบริสุทธิ์ของเขาไปก็จะกลายเป็นเหมือนร่างหยางบริสุทธิ์ไม่มีผิดเพี้ยน…… ถ้าเช่นนั้น เป็นเตาหลอมของเจ้าจึงจะสามารถเช้าให้เจ้าฝึกตนอย่างรวดเร็ว……”

โม่เทียนเกอจ้องเขาตลอด แทบจะไม่กล้าเชื่อว่าตนเองได้ยินอะไร เตาหลอม? นางกลัวมาตลอดว่าเพราะร่างของตนเองจะถูกบังคับให้กลายเป็นเตาหลอม ผลคือเขาก็……กลัวว่าจะกลายเป็นเตาหลอมของนาง? นี่นี่นี่……นี่มันเรียกว่าเรื่องอะไร?!

ฉินซีกระแอมเบา ๆ รู้สึกอยู่ไม่สุขมากภายใต้สายตาของนาง “ข้ายอมรับ…..คำพูดนั้นของผู้อาวุโสหยวนเป่าโจมตีข้าหนักมาก ดังนั้น พอออกมาข้าก็รีบกลับไปกักตนรักษาบาดเจ็บ เลื่อนขั้นเป็นจิตวิญญาณใหม่แต่เนิ่น ๆ ก็เพราะเหตุนี้ถึงได้มาลงที่เจ้า……”

โม่เทียนเกอใบ้กินอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน เดิมทีนางนึกว่าไม่ว่าเขาจะพูดเหตุผลอะไรออกมา นางยังจะรู้สึกโกรธแค้น แต่ว่า แต่ว่าเหตุผลนี้…… น่าขำเกินไปแล้ว น่าขำจนทำให้นางแม้แต่จะพูดยังพูดไม่ออก แม้แต่จะโมโหยังไม่มีแรงจะโมโห……

“เทียนเกอ” เขาพูดอย่างรกระสับกระส่าย “ข้า…..เจ้าหัวเราะเยาะข้าอยู่ใช่หรือไม่”

“…………” เงียบไปพักใหญ่ นางพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ใช่ ข้าหัวเราะเยาะท่านอยู่”

“จริง ๆ ด้วย…..” เขาถอนหายใจ เย้ยหยันตัวเอง “ข้ารู้ว่านี่มันน่าขำมาก แต่ว่า…..ข้าคิดว่าเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอกว่าสำหรับข้าแล้วนี่เป็นความอัปยศมากขนาดไหน”

“ข้าไม่เข้าใจ” นางพูด ถัดมาคว้าคอเสื้อของเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “แต่ข้ารู้ว่าท่านถูกหลอกแล้ว!”

………………………………………..

ตอนนี้มันจริงจังไหม แต่เราขำแปลก ๆ โดยเฉพาะตอนที่ฉินซีท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่าทำไมน้องก่อเกิดตานสำเร็จล่ะ 55555

ตอนที่ 285 – คนโง่สองคน