ตอนที่ 33 ผิดแผน

แต่ในเวลานี้เอง พลันมีเสียงฟิ้วๆ ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฉินกุยซั่วที่ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศปรับท่าทาง ตวัดกระบี่ฟันออกไปทางด้านข้าง

เกิดเสียงกระทบดังติงตัง ลูกศรราวห้าหกลูกถูกเฉินกุยซั่วตวัดกระบี่ปัดกระเด็นออกไป จู่ๆ ทหารนับร้อยนายที่ดักซุ่มอยู่ด้านล่างพลันวิ่งออกมาภายใต้การนำของกวนเถี่ย ถือหน้าไม้วิ่งขึ้นมาด้านบน

ก่อนหน้านี้กวนเถี่ยได้รับสัญญาณจากหลานรั่วถิง จึงนำทหารในสังกัดตนรุดมาตรวจสอบดูอย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าจะมาพบหยวนกังกำลังตกอยู่ในอันตรายพอดี ทราบดีว่าท่านอ๋องชื่นชมคนผู้นี้ แล้วเขาจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร

ด้วยการโจมตีจากห่าลูกศร หยวนกังจึงหลบเลี่ยงอันตรายพุ่งลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว

เฉินกุยซั่วรีบลงมาบนพื้น ยังไม่ทันที่จะได้หลบซ่อนตัว คลื่นลูกศรก็ถูกยิงออกมาอีกระลอก ทั้งยังมีจำนวนมากมายนัก มีธนูหลายสิบดอกถูกยิงเข้ามาเป็นกลุ่ม อาศัยเพียงการกวัดแกว่งกระบี่ยากจะปัดป้องลูกศรทั้งหมดได้ เขาพลันสะบัดแขนปล่อยพลังออกไปเป็นเกราะคุ้มกายอย่างรวดเร็ว

ลูกศรหลายสิบดอกพุ่งมาถึงเบื้องหน้าเฉินกุยซั่ว ก่อนจะหยุดชะงักอย่างรวดเร็ว ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ถูกพลังของเขาหยุดเอาไว้ ลูกศรหยุดอยู่ห่างจากเฉินกุยซั่วใกล้ไกลไม่เท่ากัน ระยะใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากลูกตาของเฉินกุยซั่วเพียงหนึ่งนิ้วมือเท่านั้น เกือบจะทำให้เฉินกุยซั่วตกใจจนหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมา

สาเหตุที่ทำให้ลูกศรที่ถูกสกัดไว้มีระยะห่างใกล้ไกลไม่เท่ากัน เป็นเพราะมีลูกศรโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนเกือบจะทำลายเกราะป้องกันที่สร้างขึ้นมาจากพลังของเฉินกุยซั่วได้ หลักการนั้นเข้าใจได้ไม่ยาก ลูกศรถูกยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พลังป้องกันที่ปะทะเข้ากับลูกศรระลอกแรกนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ขณะเดียวกันมันก็ถูกลูกศรระลอกแรกลดทอนพลังป้องกันส่วนหนึ่งลงไปด้วย แรงต้านที่ลูกศรระลอกหลังต้องเผชิญย่อมต้องลดน้อยลง ระยะโจมตีย่อมต้องใกล้กว่าเดิม

แต่การโจมตีก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ กวนเถี่ยโบกมือคราหนึ่ง ลูกศรถูกยิงออกไปอีกระลอก

เฉินกุยซั่วไหนเลยจะยังกล้าปะทะตรงๆ สภาวะที่อยู่ในระดับหลอมปราณไม่สามารถหยุดการโจมตีจากลูกศรจำนวนมากที่ถูกยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้ เขาสะบัดมือคราหนึ่ง ปัดลูกศรที่ลอยค้างอยู่ตรงหน้าให้กระเด็นออกไป จากนั้นไหวกายพุ่งออกไปด้านข้าง เคลื่อนตัวไปซ่อนอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีเสียงปึกๆ ดึงขึ้นทันที ลูกศรบางส่วนปักลงบนต้นไม้ เกิดเป็นแรงสะเทือนจนขนนกด้านหลังลูกศรสั่นไหวขึ้นมา และมีลูกศรบางส่วนพุ่งแฉลบผ่านข้างลำต้นไป

เฉินกุยซั่วถูกสกัดเอาไว้ หยวนกังเองก็วิ่งเข้าไปในกลุ่มองครักษ์แล้ว ภายใต้การปกป้องจากเหล่าองครักษ์ ทำให้เขารอดพ้นจากอันตรายชั่วขณะ

กวนเถี่ยที่มือข้างหนึ่งถือดาบไว้มองสำรวจหยวนกังตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าน่าจะไม่เป็นอะไร จึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

หยวนกังตอบอย่างเฉยชา “ไม่รู้”

กวนเถี่ยเห็นเขาอยู่คนเดียว คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเอ่ยถามว่า “ซูเจี๋ยเหรินอยู่ไหน?”

หยวนกังมองไปบนยอดเขา “ยังอยู่ในวัด!”

กวนเถี่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือไปทางลูกน้องพร้อมกล่าวว่า “ไป!” เขาต้องการไปช่วยคนที่ติดอยู่ในวัดหนานซาน

หยวนกังพลันรั้งแขนเขาไว้ เอ่ยเตือนว่า “อันตราย น่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรมากกว่าหนึ่งคน!”

กวนเถี่ยเอ่ยเสียงขรึม “กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญไม่มีทางละทิ้งพี่น้อง!”

หยวนกังชะงักค้างไปเล็กหนึ่ง มองเขาด้วยความตะลึง แววตาดูซับซ้อน

กวนเถี่ยไม่ได้คิดมากอีก สะบัดหัวไปทางลูกน้องอีกครั้ง “ไป!”

เหล่าทหารเริ่มวิ่งขึ้นเขาไป รุกคืบเข้าไปใกล้สถานที่ซ่อนตัวของเฉินกุยซั่ว

หยวนกังที่ควรหลบหนีตามแผนที่วางไว้หันกลับไปมองทางเชิงเขาแวบหนึ่ง จากนั้นเหลียวมองกลุ่มทหารที่วิ่งขึ้นเขาไปอีกครั้ง ขบกรามเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้จากไปตามแผนหลบหนีที่วางไว้ หากแต่ติดตามกลุ่มทหารขึ้นเขาไป หยิบยืมดาบง้าวที่องครักษ์ถือหน้าไม้นายหนึ่งสะพายไว้บนหลัง เร่งความเร็ววิ่งตามไป เข้าร่วมแนวทัพด้านหน้าสุด

ในขณะที่เหล่าทหารเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่เฉินกุยซั่วซ่อนตัวอยู่ จู่ๆ พลันมีคนผู้หนึ่งเหินลงมาจากคาคบไม้ด้านบน เป็นสวี่อี่เทียน เขาร่อนลงกลางกลุ่มทหาร แสงกระบี่ส่องวาบสี่ครั้ง ละอองโลหิตพุ่งกระฉูดขึ้นมาในทันใด พริบตาเดียวมีคนถูกเขาจัดการจนล้มลงอย่างต่อเนื่องห้าถึงหกคน สร้างความสับสนวุ่นวายให้เหล่าทหาร

สวี่อี่เทียนพุ่งตรงเข้าไปในกลุ่มทหาร ทหารที่อยู่รอบด้านไม่กล้ายิงหน้าไม้ใส่ ด้วยกลัวจะโดนพวกเดียวกัน จึงพากันชักดาบพุ่งเข้าฟาดฟัน ทว่าไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของสวี่อี่เทียน

เมื่อเห็นพี่น้องล้มลงไปทีละคนสองคน สองตาของกวนเถี่ยเบิกถลน คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว “ยิงธนู!”

ขณะที่หยวนกังเพิ่งจะหันกลับไปมองดูสถานการณ์ จู่ๆ เฉินกุยซั่วที่อยู่ด้านหลังต้นไม้พลันพุ่งตัวออกมา แทงกระบี่เข้าใส่ หยวนกังสังเกตเห็นจึงตวัดดาบฟันกลับไปในแนวขวางทันที

เกิดเสียงดัง เคร้ง! ดาบกระบี่ปะทะกัน เฉินกุยซั่วได้รู้ซึ้งถึงพลังอันดุดันของหยวนกังอีกครั้ง ตัวกระบี่ถูกกระแทกจนส่งเสียงดังหวึ่งๆ ฝ่ามือชาหนึบจากแรงสะเทือน

กลับเป็นหยวนกังที่ดูคล้ายจะไม่เป็นอะไรเลย เหวี่ยงดาบฟาดฟันเฉินกุยซั่วอย่างบ้าคลั่ง ทรงพลังน่าครั่นคร้าม กลายเป็นเฉินกุยซั่วที่ถูกบีบให้ต้องถอยหลังหลบเลี่ยงอย่างต่อเนื่อง เฉินกุยซั่วซัด ‘ฝ่ามือพิสุทธ์’ ตอบโต้ออกไปหนึ่งฝ่ามือ พลังฝ่ามือแหวกอากาศปะทะร่างหยวนกัง โจมตีหยวนกังจนซวนเซถอยหลังไป ทว่าหยวนกังพลันยันเท้าพยุงตัวให้มั่นคง ก่อนจะตวัดดาบฟาดฟันเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งอีกครั้งในทันใด

เสียงลูกศรถูกยิงแหวกอากาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงหลายสายพุ่งฉิวขึ้นสู่ท้องฟ้า ระเบิดดังปังๆ ติดต่อกันอยู่กลางอากาศ

ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น กลุ่มคนที่รอคอยอยู่บนทางหลวงต่างหันมองไปทางวัดหนานซาน มองเห็นลูกไฟสีแดงลูกหนึ่งระเบิดขึ้นกลางท้องฟ้า จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกหลายครั้ง ลูกไฟสีแดงหลายดวงสว่างวาบขึ้นบนท้องนภา นั่นคือสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน!

ไม่ว่าจะเป็นซางเฉาจงหรือว่าซางซูชิง ทุกคนไม่รอช้ารุดขึ้นหลังม้าในทันที ทหารม้าที่กระจายตัวออกไปเฝ้าระวังภัยในระยะใกล้ไกลต่างรีบทะยานเข้ามา เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น ทหารม้าหลายร้อยนายง้างสายหน้าไม้ กุมดาบไว้ในมือ รีบควบม้ามุ่งหน้าไป รวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อตามไปช่วยเหลือพวกพ้อง

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วแน่น เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดถึงมีสัญญาณขอความช่วยเหลือโผล่มามากมายนัก?

เรื่องราวผิดไปจากแผนการอยู่บ้าง หนิวโหย่วเต้ากังวลว่าจะเกิดเรื่องกับเจ้าลิง จึงรีบควบม้าไล่ตามไป

พวกชวีอู่จากทางจังหวัดกว่างอี้ตกตะลึง เมื่อเห็นพวกซางเฉาจงทะยานออกไปอย่างเร่งรีบร้อนรน ชวีอู่เองก็กระโจนขึ้นหลังม้าพลางโบกมือส่งสัญญาณ “ไป ไปดูกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

ทหารทั้งสิบนายควบม้าไล่ตามไปเช่นกัน

ภายในโถงรับแขกวัดหนานซาน เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซูเจี๋ยเหรินที่กำลังพูดคุยถามตอบอยู่หันขวับไปทันที

ซ่งเหยี่ยนชิงและหยวนฟางตะลึงงัน คนทั้งสามรีบวิ่งออกมา มองเห็นสัญญาณที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า

ซูเจี๋ยเหรินหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ชักกระบี่ออกดังชิ้ง ด้วยคิดจะพุ่งตัวออกไป

ซ่งเหยี่ยนชิงตาไว สะบัดมือซัด ‘ฝ่ามือพิสุทธิ์’ ออกไปหนึ่งฝ่ามือเข้าที่กลางหลังซูเจี๋ยเหริน โจมตีซูเจี๋ยเหรินจนกระอักเลือดกระเด็นออกไปกระแทกพื้น

“เฝ้าไว้!” ซ่งเหยี่ยนชิงหันกลับไปตะคอกใส่หยวนฟาง ก่อนจะเคลื่อนกายออกไปคนเดียว กระโดดขึ้นไปบนหลังคาของโถงด้านหน้า เหินทะยานออกไปดูสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

ในป่าต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อสวี่อี่เทียนเห็นอีกฝ่ายส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ก็ทราบแล้วว่าไม่ควรพัวพันต่อไป อีกทั้งยังเห็นเฉินกุยซั่วถูกกดดันจนมือไม้ปั่นป่วน สวี่อี่เทียนพลันพลิกมือซัด ‘ฝ่ามือพิสุทธิ์’ ออกไปคราหนึ่ง หนึ่งฝ่ามือล้มคนได้หลายคน จากนั้นพลันพุ่งตัวออกไป กวัดแกว่งกระบี่ตีฝ่าวงล้อม กุมกระบี่เหินเข้าโจมตีหยวนกังจากด้านหลัง

“ระวัง!” กวนเถี่ยร้องเตือน ขณะเดียวกันก็พุ่งตัวออกไปสกัดขวาง ตวัดดาบฟันใส่สวี่อี่เทียน

เคร้ง! สวี่อี่เทียนปัดดาบง้าวที่ฟันเข้ามาออกไปได้ในกระบี่เดียว พลางใช้กระบี่โจมตีจนโลหิตสาดกระเซ็น ปลายกระบี่จมหายเข้าไปในทรวงอกกวนเถี่ย

หยวนกังที่ได้รับเสียงเตือนหันกลับไปตวัดดาบใส่สวี่อี่เทียนอย่างโกรธเกรี้ยว ทว่าสวี่อี่เทียนได้ดีดตัวขึ้นสู่อากาศแล้ว เท้าไต่เหินย่ำกิ่งไม้ ร้องว่า “ไป!”

เฉินกุยซั่วกลับหลังหันรีบหลบหนีไปทันที

ลูกศรถูกยิงออกไป องครักษ์กลุ่มหนึ่งรุดตามไปพลางน้าวสายยิงหน้าไม้ แต่ท้ายที่สุดแล้วด้วยความที่อยู่ในป่าทึบจึงยากจะแสดงประสิทธิภาพสูงสุดของหน้าไม้ออกมาได้ สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วอาศัยต้นไม้เร้นกำบัง ดีดตัวขึ้นสู่คาคบไม้ เหินกายจากไป เลือนหายไปจากสายตาของเหล่าองครักษ์

องครักษ์กลุ่มหนึ่งถือหน้าไม้วิ่งขึ้นมาเฝ้าระวังอยู่ด้านหน้า องครักษ์คนหนึ่งพยุงกวนเถี่ยที่ทรุดอยู่บนพื้นขึ้นมา ตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “ท่านนายกอง! ท่านนายกอง…”

กวนเถี่ยที่ถูกเหล่าองครักษ์รายล้อมชูมืออาบเลือดข้างหนึ่งออกมา ยื่นไปหาหยวนกังที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้าง มองหยวนกังด้วยสีหน้าเปี่ยมความคาดหวัง

คนอื่นๆ ต่างมองไปยังหยวนกังเช่นกัน องครักษ์สองนายที่มุงล้อมอยู่หลีกทางให้เขา

หยวนกังก้าวเข้าไป จับมืออาบเลือดข้างนั้นของกวนเถี่ย ค่อยๆ ย่อตัวลง

กวนเถี่ยออกแรงกุมมือเขา รวบรวมกำลังเพื่อพูดกับเขา “น้องหยวน อยู่เถิด อยู่…เถิด…”

หยวนกังไม่เปล่งเสียง เพียงมองเขาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งกวนเถี่ยเงียบเสียงไปพร้อมกับศีรษะห้อยพับ ทรุดลงในอ้อมแขนของทหารที่อยู่ด้านข้างแล้ว หยวนกังก็ยังไม่ได้ให้คำตอบที่เขาต้องการ

หยวนกังสีหน้าเฉยชา ไม่สนใจสายตารอบข้างที่มองเข้ามาด้วยความเศร้าสร้อยขุ่นเคือง ยันดาบค้ำพื้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองออกไป ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านี้ องครักษ์กว่าร้อยนายที่กวนเถี่ยพามาได้ล้มตายไปกว่าสามสิบคน!

นอกวัดหนานซาน สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วเหินทะยานกลับมาพบกับซ่งเหยี่ยนชิงที่หน้าประตูวัดพอดี

เมื่อเห็นเนื้อตัวสวี่อี่เทียนมีคราบโลหิตเปรอะเปื้อนอยู่ไม่น้อย ซ่งเหยี่ยนชิงจึงถามทันทีว่า “สำเร็จหรือไม่?”

สวี่อี่เทียนส่ายหน้า “ไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าเลย แต่ปะทะกับกองทหารชั้นยอดกลุ่มหนึ่ง ก็เลยสู้กัน น่าจะเป็นทหารองครักษ์ของซางเฉาจง!”

“ไอ้ขี้ครอกช่างเจ้าเล่ห์นัก นึกหรือว่าซางเฉาจงจะคุ้มกะลาหัวมันได้?” ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยเยาะหยัน

และในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วมาจากทางเชิงเขา ดูเหมือนกำลังบุกขึ้นเขามา

เฉินกุยซั่วเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “ศิษย์พี่ น่าจะเป็นทหารส่วนที่เหลือของซางเฉาจง พวกเราต้องหลบหรือไม่?”

ซ่งเหยี่ยนชิงหันไปเอ็ดใส่ “กลัวอะไร กับอีแค่คนของซางเฉาจงจะคุมตัวพวกเราไว้ได้หรือ?”

เฉินกุยซั่วเอ่ยด้วยความวิตก “ถึงอย่างไรซางเฉาจงก็ยังเป็นจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์ พวกเราลงมือกับจวิ้นอ๋องคงไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า หากข่าวแพร่ออกไป เกรงว่าจะวุ่นวายไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น”

“ผู้ใดบอกว่าต้องลงมือกับซางเฉาจงเล่า? ข้าไม่คิดจะหาเรื่องเขา และเขาก็คงไม่อยากหาเรื่องข้าเช่นกัน จวิ้นอ๋องตกอับคนหนึ่งจะทำอันใดได้?” ซ่งเหยี่ยนชิงพูดจาดูแคลน เอ่ยเยาะเย้ยว่า “ในเมื่อข้ามาแล้ว ซางเฉาจงก็ต้องมอบคำอธิบายให้ข้า ต้องส่งตัวหนิวโหย่วเต้าออกมา!”

สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วสบตากันแวบหนึ่ง คิดๆ ดูก็พบว่าจริงดั่งว่า ด้วยกำลังของซางเฉาจงในเวลานี้คิดจะรั้งตัวพวกเขาไว้แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย

“พาตัวคนในวัดมารวมกันไว้ กันไม่ให้ปีศาจหมีตัวนั้นหลบหนีไป!” ซ่งเหยี่ยนชิงหันไปสั่งการ จากนั้นก้าวลงไปยืนบนบันไดลงเขา ยกมือไพล่หลังมองทางขึ้นเขาด้านล่างด้วยสายตาเยือกเย็น ท่าทางคล้ายกำลังรอต้อนรับอาคันตุกะสำคัญอยู่

เฉินกุยซั่วเข้าไปรวบรวมผู้คนในวัดอย่างรวดเร็ว

ทหารม้าหลายร้อยคนควบม้าขึ้นมาถึงไหล่เขา รวมตัวกับกลุ่มทหารของกวนเถี่ย ซางเฉาจงที่กระโดดลงจากหลังม้ารีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างทางอย่างร้อนใจ หยุดยืนอยู่หน้าศพของกวนเถี่ย กวาดสายตามองสลับกลับไปกลับมากับศพอีกสามสิบกว่าร่าง

ทหารที่อยู่รอบข้างตั้งท่าเฝ้าระวังขั้นสูงสุด

หนิวโหย่วเต้าที่ตามหลังมารีบสาวเท้าก้าวเข้าไป เมื่อเห็นว่าหยวนกังที่ยืนอยู่เงียบๆ ปลอดภัยดี จึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดหยวนกังจึงไม่หนีไปตามแผน

ลูกกระเดือกซางเฉาจงเคลื่อนไหวขึ้นลงเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านอ๋อง พวกเรามาตรวจดูทางนี้ พบว่าพี่หยวนตกอยู่ในอันตราย จึงลงมือช่วยเหลือ…” องครักษ์นายหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

หลังจากฟังเรื่องราวจบ หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วแน่น จ้องมองหยวนกังที่นิ่งเงียบไม่พูดจา

พอรู้ว่าซูเจี๋ยเหรินอาจยังอยู่ในวัด สายตาของซางเฉาจงจึงมองไปยังใบหน้าหยวนกัง จากนั้นมองไปยังใบหน้าหนิวโหย่วเต้า สุดท้ายโบกมือพลางตะโกนว่า “ขึ้นเขา!”

…………………………………….