บทที่ 44 – ชินคิโร

 

เมื่อมิวเข้ามาในเมืองเธอก็หลับตาลงพร้อมกับใช้อาณาเขตจิตมังกร.. แน่นอนว่าอาณาเขตจิตมังกรนั้นก็คือการดึงเอาจิตของมังกรออกมาด้านนอก

โดยการกางอาณาเขตจิตมังกรนั้นคือการขายจิตตัวเองออกไปรอบตัวในระยะที่กว้างใหญ่ตามขนาดของจิตมังกรแต่ละตัว

แน่นอนว่ามิวที่เป็นเทพมังกรคงนับเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดทั้งในแง่ของนามหรือแม้แต่ดวงจิต นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มิวสามารถกางอาณาเขตจิตมังกรได้กว้างมาก

กว้างในระดับที่ไม่มีมังกรไหนทัดเทียมได้.. แต่ทว่าความกว้างของซากปรักหักพังนี้มันมีใหญ่กว่าเมืองทุกเมืองที่มิวรู้จัก

แน่นอนต่อให้มิวเองก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของซากปรักหักพังเหล่านี้ บางทีมันอาจจะใหญ่เป็นประเทศเลยก็ได้ใครจะรู้

นั่นแน่นอนว่าต่อให้เป็นเทพมังกร.. ถ้าจะกางอาณาเขตจิตมังกรครอบคลุมทั้งประเทศนั่นก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเกินไป

เดิมทีอาณาเขตจิตมังกรไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อตามหาคนอยู่แล้ว เพียงแค่สร้างมาเพื่อบ่งบอกสิ่งมีชีวิตอื่นว่านี่เป็นเขตของตัวเองเท่านั้น

เป็นกลไกการแสดงถึงอำนาจของตัวเอง.. อีกอย่างมังกรเองก็เป็นประเภททำลายล้าง.. หากให้ตามหาคนในประเทศกับทำลายประเทศ

มังกรคงเลือกอย่างหลังเพราะมันง่ายกว่าเยอะนั่นแหละ.. แต่ทว่าตั้งแต่เริ่มที่หอคอยนี้มามิวก็ต้องตามหาคนมาแล้วสองรอบ

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องถนัดของเธอเท่าไหร่ แต่ทว่า… มิวในตอนนี้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่มาแล้วจากการต่อสู้กับยมทูตปริศนาในปี 2025

การขยายจิตก็ตามชื่อคือการควบคุมกระแสจิตของตัวมิวเองให้กระจายออกเป็นโดมเพื่อครอบคลุมทุกอย่างรอบตัวและสัมผัส

แน่นอนว่า.. ยิ่งอาณาเขตกว้างแค่ไหน การรับรู้ของมิวต่อทุกอณูธาตุในอาณาเขตจิตมังกรจะยิ่งมากขึ้น ข้อมูลที่ได้รับจะยิ่งมากขึ้น

ซึ่งสมองของมิวในตอนนี้ไม่สามารถทนรับข้อมูลที่มากมหาศาลขนาดนั้นได้รวดเดียวแน่ๆ ดังนั้นมิวจึงลองปรับความคิดใหม่

แทนที่จะกางอาณาเขตจิตมังกรรอบตัวและสัมผัสทุกอณูที่อยู่ในอาณาเขต.. ถ้ามิวลองขยายอาณาเขตจิตมังกรแบบว่า…..

มิวชี้นิ้วไปด้านหน้า.. ในตอนนั้นเองคลื่นจิตบางอย่างก็พุ่งตรงออกจากปลายนิ้วเธอเป็นแนวตรงไปข้างหน้า.. ซึ่งมันเกิดขึ้นเร็วมาก

เพียงพริบตาเดียวมันก็พุ่งทะลวงไปไกลเกินกว่าความกว้างของเมืองในชั้นที่สองอีก.. แต่ทว่าตัวมิวยังไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

เพราะขนาดอาณาเขตจิตมังกรแม้มันจะยาวมาก แต่ความกว้างของมันขนาดไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตรด้วยซ้ำ

ดังนั้นมันจึงขยายยาวออกไปไกลมาก.. ทะลุภูเขายักษ์กลางเมืองไปอีก มิวไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันยาวขนาดไหน

แต่เธอมั่นใจว่าความยาวนี้น่าจะถึงอีกฟากของประเทศหนึ่งได้เลย..ถ้าเป็นประเทศเล็กๆ นะ แต่ก็เพราะว่ามันไม่ได้กว้างมิวเลยไม่มีปัญหา

แน่นอนว่ามิวอาจจะไม่รู้.. แต่ว่าปลายพลังของมิวสิ้นสุดลงหลังจากมันออกห่างเธอไปมากกว่าร้อยกิโลเมตรเห็นจะได้

เมื่อมิวสัมผัสทุกอย่างในขอบเขตที่เธอยิงออกไปมิวก็เริ่มควบคุมอาณาเขตจิตมังกรของตัวเองให้มันเคลื่อนไหว..

และหมุนตามเข็มนาฬิกา…. ก่อนที่อาณาเขตจิตมังกรที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าก็ถูกเหวี่ยงหมุนรอบตัวมิว

และจังหวะที่มันหมุนรอบตัวมิวนั้น ทุกอย่างถูกรับรู้เข้าสมองมิวแบบเป็นคลื่น.. มันเลยทำให้มิวสามารถรับรู้ทุกอย่างได้โดยไม่เจ็บปวด

เมื่อมิวรับรู้ข้อมูลดังกล่าวมันก็สิ้นสุดลง และข้อมูลใหม่ก็เข้ามา.. พูดง่ายๆ คือมันไม่ได้มาพร้อมกัน.. มันทำงานเหมือนเรดาร์นั่นเอง

นี่คือท่าที่มิวคิดขึ้นมาได้สดๆ เมื่อกี้เลยก็ว่าได้..

“แต่มันก็มีข้อเสียอยู่…”

มิวพึมพำ.. ท่านี้มันหาได้แค่สิ่งที่มิวต้องการ เพราะข้อมูลที่มิวรับรู้เข้ามาผ่านการสัมผัสแบบเรดาร์นี้มันแค่แว้บเดียวเท่านั้น

เพื่อไม่ให้มิวรับข้อมูลไม่ไหว… ดังนั้นถ้าไม่ใช่สิ่งที่มิวโฟกัสข้อมูลส่วนอื่นอาจจะไม่ได้ถูกจดจำเข้าสู่สมอง

มันเป็นกลไกธรรมดาของสิ่งมีชีวิต.. คนเราจะจดจำในสิ่งที่สำคัญและโฟกัสไปกับมัน ดังนั้นบางทีหากเรามองอะไรสักอย่างแล้วที่อยู่ตรงหน้า

แม้จะมีอันอื่นที่อยู่ในเฟรมด้วย เราอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นมันหรือจดจำมัน แม้มันจะอยู่ตรงนั้นก็ตาม..

มิวก็เช่นกัน.. ในระยะร้อยกิโลรอบตัวเธอนั้นมันมีอะไรที่เธอไม่รู้มากมาย ทำให้การรับรู้พวกนั้นเป็นเหมือนสิ่งที่มิวไม่ได้โฟกัสและไม่ถูกบันทึกลงสมองไปด้วยนั่นเอง

แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะถึงมันจะสามารถหาในสิ่งที่ไม่ต้องการไม่ได้ แต่ใครจะไปใช้อาณาเขตจิตมังกรตามหาสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ตามหากันล่ะ

มิวก็ใช้เพื่อตามหาสิ่งที่ตัวเองตามหา.. ขอแค่เจอนั่นก็เพียงพอแล้วล่ะ เมื่ออาณาเขตจิตมังกรในลักษณะที่ยาวไปข้างหน้าครบกำหนด

มิวก็พยักหน้า..

“ตามหาบุคคลน่าสงสัย เธอสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า สวมชุดแปลกประหลาดที่ดูไม่ใช่ชุดของคนในโลกนี้”

มิวพึมพำถึงเป้าหมายตัวเอง… เธอสัมผัสถึงสิ่งที่คล้ายกับสิ่งนี้ได้บนภูเขาที่ห่างออกไปประมาณห้าสิบกิโลเมตรเห็นจะได้

เธอสวมชุดประหลาด.. สวมหน้ากากปิดใบหน้า.. แถมยังกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย

นอกจากตรงนั้นมิก็ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งอื่นนอกจากเจ้าคนตรงนั้นได้เลย เมื่อมิวรับรู้แล้วเธอคิดกับตัวเองสักพัก

แม้มิวจะไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ แต่เธอก็รู้ดีว่ามันค่อนข้างไกลพอสมควรแถมตรงหน้าก็มีพวกสัตว์ประหลาดคล้ายซอมบี้อยู่เยอะด้วย

เป้าหมายที่มิวต้องตามหาก็กำลังเหมือนหนีสุดชีวิตอยู่ด้วย…

“เอริเนีย.. ฉันจะพาเธอเดินทางเร็วสักหน่อยนะ”

มิวพูดแบบนั้นพร้อมกับอุ้มเอริเนียขึ้นมา สาวน้อยเองก็ยอมโดนอุ้มอย่างว่าง่ายก่อนที่มิวจะหลับตาลง

ร่างของมิวและเอริเนียค่อยๆ สลายหายไปตามอากาศธาตุ… ‘ชินคิโร’ นี่คืออัตลักษณ์ที่ยังไม่วิวัฒนาการอันหนึ่งของมิว

มิวไม่แน่ใจว่าไปซึมซับมาตอนไหน.. มันคือพลังของหอยทากลวงตาซึ่งมิวใช้มันครั้งแรกตอนย้อนกลับไปปี 2025 นั่นแหละ

แน่นอนก็ตามชื่อ หอยทากลวงตามันสามารถสร้างภาพลวงตาขึ้นมาหลอกตาผู้คนได้ มิวเองก็รู้จักตำนานหอยทากลวงตาอย่างชินคิโรอยู่บ้าง

เป็นตำนานเรื่องเล่าของญี่ปุ่น.. ว่ากันว่าชินคิโรคือไคอิ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติจากหอยทากที่สร้างภาพลวงตาขึ้นกลายเป็นเมืองกลางมหาสมุทร

มีสิ่งมีชีวิตหลายอย่างที่ต้องการจะตามหาเมืองดังกล่าว แต่ไม่ว่าจะพยายามตามมันเท่าไหร่ก็จะไม่มีทางไปถึง

นั่นแหละต้นกำเนิดของชินคิโร… ตลอดมามิวคิดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยตลอด แต่เหมือนว่าตอนมิวหลับอยู่ใต้ทะเล

มิวจะไปกลืนกินอัตลักษณ์มันมาโดยไม่รู้ตัวละมั้ง เลยทำให้มิวมีความสามารถดังกล่าวนี้… และมันก็ค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อเธอมาก

ไม่ว่าจะเป็นการพรางตัวหรือสร้างร่างลวงตาก็สามารถทำได้..

“งั้นก็…”

มิวก้าวเท้าไปข้างหน้าก่อนจะกลายเป็นเงาเคลื่อนที่ผ่านซากปรักหักพังด้วยความเร็วสูงจนแม้แต่เสียงแตกของอากาศซึ่งเกิดจากการพุ่งตัวของมิวยังแทบตามไม่ทัน

แม้จะมีอัญเชิญอัตลักษณ์ประเภทที่น่าจะเคลื่อนที่เร็วอยู่บ้าง.. แต่มิวไม่ค่อยอยากจะใช้มันเท่าไหร่เพราะควบคุมยากเนื่องจากพวกมันมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง

ถึงแม้พวกนั้นน่าจะเคารพมิวกันหมด แต่ทว่าการเรียกใช้เหมือนแรงงานทาสมิวก็ไม่ค่อยอยากทำ

ดังนั้นมิวจึงเลือกจะใช้อัตลักษณ์ที่ยังไม่วิวัฒนาการกับอัตลักษณ์มังกรเสียมากกว่า.. และแน่นอนว่าเพียงแค่นั้นก็พอแล้ว

หากไม่เจอสัตว์ประหลาดแบบสมองลึกลับนั่นกับเจ้ายมทูตนั่นอีกน่ะนะ

……….

บนภูเขากลางซากปรักหักพัง.. ที่แห่งนี้ก็เหมือนจะไม่ใช่ภูเขาจริงๆ เพราะเหมือนมันจะเกิดจากสถานที่บางอย่างที่มีสิ่งก่อสร้างบนนั้นดันมาวางอยู่ตรงนี้

เพราะบนนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพังเช่นกัน แถมยังทางสลับซับซ้อนอีกต่างหาก.. หญิงสาวคนหนึ่งนั่งซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของบ้านหลังหนึ่งที่ผุพังมากกว่าครึ่ง

“เจ้าพวกนั้นจะตามไปถึงเมื่อไหร่กันแน่เนี่ย..”

“ฉันเองก็แค่ทำตามคำทำนายเท่านั้นเอง”

“เจ้าพวกนั้นไม่ใช่แค่ไม่เชื่อ ยังมาว่าคุณยายฉันเพ้อเจ้ออีก.. คอยดูเถอะ สักวันฉันจะเอาคืนพวกแกให้หนำใจ”

“เส้นตายเหลืออีกไม่มากแล้ว…”

“ต้องตามหาให้เจอ.. ผู้ที่จะช่วยดาวของเราเอาไว้”