แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าอุตสาหกรรมการบรรเทิงจะมีอนาคตที่สดใส แต่บุคลิกที่สุขุมรอบคอบของโจรกั๋วจุนจึงไม่ติดกระทําการอะไรอย่างหุนหัน

โรงแรมตระกูลโจวก็เกี่ยวข้องกับการจัดเลี้ยงและการบรรเทิงด้วย แต่เพราะมีขั้นตอนง่าย ๆ จึงยังจัดการได้

แต่ถ้าคิดเปิดร้านอาหารแบบมืออาชีพอาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น

ปัจจุบันด้วยความสามารถของโจวยั่วจนอาจทําให้ไม่สามารถเปิดร้านอาหารได้อย่างเต็มที่

ไม่มีคนที่มีความสามารถรอบตัวเขาที่สามารถช่วยให้เขาดําเนินธุรกิจการจัดเลี้ยงได้ด้วยซ้ำ

แต่หลังจากพูดคุยกันหลายครั้งโจวคั่วจุนได้หยุดความคิดนี้ชั่วคราวเกี่ยวกับการเปิดธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยง

คนที่ชักชวนโจวทั่วจุนให้เลิกทําธุรกิจอาหารและมุ่งความสนใจไปที่อุตสาหกรรมโรงแรมก็คือลูกชายคนโตของเขา โจงฟู่หยง

โจวฟู่หยง มีอายุมากกว่าโจวฟู่เหิงสิบห้าปี เขาอายุเพียง 42 ปีแต่ก็ดํารงตําแหน่งผู้จัด การทั่วไปของโรงแรมหัวเป่าแล้ว

เมื่อเทียบกับพี่ชายของเขาที่ประสบความสําเร็จอย่างมากในธุรกิจ โจวฟู่เหิงไม่มีอะไรเลย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจวฟู่เหิงตระหนักได้ว่าพี่ชายของเขามีแนวโน้มที่จะเข้าครอบครองธุรกิจของครอบครัวได้ในอนาคต แม้ว่าเขาจะเป็นที่ชื่นชอบของบิดาและเขายังดํารงตําแหน่งรองประธานบริษัทด้วย แต่เขาไม่มีความสามารถหรือผลงานในทางปฏิบัติเลย

ในอนาคตพ่อของเขาคงจะให้มรดกเขาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

สิ่งนี้ทําให้โจวฟู่เหิงเริ่มรู้สึกกลัวอนาคต

ถ้าแบบนั้นเงินจะไม่เพียงพอสําหรับเขาที่จะใช้ฟุ่มเฟือย เขาต้องได้รับมรดกของพ่อมาอยู่ในมือของเขาเอง เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกสบายใจ

ดังนั้นโจวฟู่เหิงและพี่ชายของเขาจึงต้องต่อสู้กันเอง

เพื่อโน้มน้าวพ่อของเขา โจวฟู่เหิงได้ใช้ความพยายามอย่างมากรวมถึงการซื้อและการโน้มน้าวใจพนักงานคนสําคัญของบริษัทอย่างจริงจังเพื่อมาเป็นฝ่ายตัวเองให้โน้มน้าวพ่อของเขา

โจวยั่วจนเห็นการกระทําของโจวฟู่เหิงในสายตาของเขา

หลังจากสังเกตมาระยะหนึ่ง โจวยั่วจุนก็รู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าโจวฟู่เหิงต้องการจริงจังในอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยง

ในที่สุดลูกชายสุดที่รักของเขาก็มีความกระตือรือร้นที่จะทําธุรกิจ และโจว กั๋วจุนก็ทนไม่ได้ที่จะไม่ผลักดันลูกชายของเขา

ดังนั้นเขาจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของโจวฟู่เหิงสําหรับการทําธุรกิจจัดเลี้ยงและมอบอํานาจอย่างเต็มที่ให้กับโจวฟู่เหิง

โจวฟู่เหิงผู้ซึ่งดําเนินชีวิตอย่างราบรื่นมาตั้งแต่เด็ก ก็ได้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการอีกครั้ง

เขารู้สึกว่าเขาทําได้ดีอย่างแน่นอน

แต่เมื่อวางแผนเสร็จสิ้นจริง ๆ โจวฟู่เหิงก็พบอุปสรรค

ด้วยความสามารถและงบประมาณในปัจจุบัน อาจเป็นเรื่องยากที่จะขยายโลกของเขาในด้านการทําอาหาร

หลังจากเริ่มลงมือทําโจวฟู่เหิงก็เปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว

เขารู้สึกว่ามันยากสําหรับเขาที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงย้ายเป้าหมายไปที่กลุ่มร้านอาหารที่เติบโตเต็มที่แล้ว

หลังจากนั้นเรื่องมันก็เกิดขึ้นเมื่อหนี้ของเว่ยเจียงตูถูกพบโดยโจวฟู่เหิง

ดังนั้นเขาจึงได้ความคิดไปพบกับเว่ยเจียงตูเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อเจียงตูบาร์บีคิว

คุณรู้ไหมเมื่อสองเดือนที่แล้ว เจียงตูบาร์บีคิว มีชื่อเสียงในเมืองเมจิกมาก

ชั้นบนและชั้นล่างสามารถรองรับคนได้หลายร้อยคนสําหรับการมารับประทานอาหารในเวลาเดียวกัน และสําหรับความจุนี้ก็ยังมีคิวยาวหน้าประตูทุกวัน

โจวฟู่เหิงก็จับตาดูก้อนเค้กชิ้นนี้

อย่างไรก็ตาม ราคาที่เขาเสนอให้กับเว่ยเจียงตูนั้นต่ำมากจนเว่ยเจียงตูที่เป็นหนี้ยากจะยอมรับได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งที่ของเว่ยเจียงตูเคยมีมูลค่าหลายร้อยล้าน ตอนนี้ราคาที่โจวฟู่เหิงเสนอก็เพียงพอแล้วสําหรับเขาที่จะชําระหนี้แต่ไม่เพียงพอที่จะตั้งตัวใหม่

โจวฟู่เหิงอยากจะเปิดร้านของตัวเองต่อไป และค่อย ๆ ชําระหนี้ของเขาหลังจากผ่านสักปีสองปี

หลังจากถูกปฏิเสธ โจวฟู่เหิงก็ไม่พอใจ

เขาถูกครอบครัวตามใจเสมอและเขาต้องได้ทุกอย่างตราบเท่าที่เขาต้องการ

ถ้าเขาไม่ได้เขาก็จะทําลายมัน

เขาพบว่าร้านที่เช่าที่ของเว่ยเจียงตูกําลังจะหมดสัญญา ดังนั้นเขาจึงหาข้อมูลติดต่อกับเจ้าของร้านต่าง ๆ และเสนอราคากับเจ้าของร้านเพื่อเช่าร้านด้วยค่าเช่า 32 ล้านต่อปี

เนื่องจากเว่ยเจียงตูได้เซ็นสัญญากับเจ้าของร้านนานกว่าสิบปี เขาจึงมีลําดับความสําคัญในการต่ออายุตามสัญญา

แต่หลังจากที่โจวฟู่เหิงเข้ามาสร้างปัญหา เว่ยเจียงตูก็สูญเสียเงินก้อนนี้

ถ้าเขาต้องการเช่าสถานที่นี้ต่อไป เขาต้องเสนอราคามากกว่า 32 ล้านหยวน

โดยการทิ้งค่าเช่าในลักษณะนี้ กําไรสุทธิประจําปีของเขายังสามารถได้มากกว่า 28 ล้าน ซึ่งยังเป็นที่ยอมรับได้ของเว่ยเจียงตู

แต่เมื่อเว่ยเจียงตู้เสนอราคา 32 ล้าน โจวฟู่เหิงที่เสนอราคา 33 ล้าน

ด้วยการทําวิธีนี้ราคาที่เพิ่มขึ้นตรงไปถึง 39 ล้าน!

เว่ยเจียงตูทนไม่ไหวอีกต่อไป

คราวนี้เขาตอบโต้โจวฟู่เหิงด้วยการเสนอขายกับคนอื่น

การแก้แค้นของโจวฟู่เหิงก็ไปไกลกว่านั้น

ขณะขึ้นค่าเช่า โจวฟู่เหิงก็ส่งคนไปสร้างปัญหาอย่างไร้ยางอาย

ผู้คนจากฝ่ายต่าง ๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับเจียงตูบาร์บีคิวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนําไปสู่การปิดตัวร้านเพื่อแก้ไขปัญหา

เว่ยเจียงตูต้องแบกรับปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาก็สามารถทนต่อได้อีกต่อไป

เขารู้ว่าเจ้าของกลุ่มร้านอาหารเล็ก ๆ นั้นไม่สามารถเอาชนะครอบครัวของโจวยั่วจนได้ ดังนั้นเขาจึงต้องยอมเข้าหาโจวฟู่เหิง

เขาตระหนักหด้ว่าเขาต้องยอมมอบร้านของเขาไปให้โจวฟู่เหิงในราคาที่โจวฟู่เหิงเสนอให้

แต่คราวนี้โจวฟู่เหิงไม่สนใจแล้ว

เขาได้พบร้านที่เหมาะสมกว่าสําหรับเขามานานแล้ว และได้เริ่มเข้าครอบครองและเตรียมดำเนินการแล้วด้วย

แต่เว่ยเจียงตูที่ถูกโจวฟู่เหิงคุกคามมาเป็นเวลาสองเดือนก็ไม่สามารถทํางานได้ตามปกติ และเขาก็สูญเสียธุรกิจไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง

ถึงธุรกิจจะหยุดชะงักแต่หนี้ของเขายังคงหมุนเวียนอยู่ในดอกเบี้ยและเขาไม่มีรายได้ที่จะจ่ายคืน ซึ่งทําให้เว่ยเจียงตูรู้สึกหดหู่มาก

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดข่าวต่อโลกภายนอกว่ายินดีขายเจียงตูบาร์บีคิวในราคา

เลี้ยงตูบาร์บีคิวซึ่งมีมูลค่าตลาด 500 ล้านหยวน ยินดีที่จะขายเปลี่ยนมือในราคาเพียง 300 ล้านหยวน

วันรุ่งขึ้นหลังจากข่าวถูกปล่อย ก็มีมาคนคุยกับเว่ยเจียงตูเกี่ยวกับการซื้อร้านต่อ

ทั้งสองพูดคุยกันเพียงไม่กี่คําบุคคลดังกล่าวตกลงที่จะซื้อร้านและสัญญากับเว่ยเจียงตูว่าจะเตรียมเงินเพื่อดําเนินการภายในสองวัน

อย่างไรก็ตามสองวันต่อมาชายคนนั้นกลับเปลี่ยนใจในทันใด

หลังจากนั้นเว่ยเจียงตก็ไม่สามารถติดต่อบุคคลนั้นได้

ในความสิ้นหวัง เว่ยเจียงตูก็ยังคงรอผู้ซื้อต่อไป ผู้ซื้อติดต่อมาสี่รายต่อเดือนแต่ก็จบลงด้วยผลลัพธ์เดียวกัน

ไม่ว่าคําพูดนั้นจะดีแค่ไหนในตอนนั้น แต่ภายในสองวันอีกฝ่ายก็จะกลับใจและหลีกเลี่ยงเขา

ในความสิ้นหวัง เว่ยเจียงตูก็ยังคงลดราคาขายต่อจนตกลงมาที่ 8.8 แสนหยวน

ราคานี้ดึงดูดผู้ซื้ออีกครั้ง แต่โจวฟู่เหิงก็พยายามหาที่ติดต่อของผู้ซื้อโดยตรงและข่มขู่ไป

นอกจากนี้เขายังขู่ด้วยว่าทุกคนที่กล้าซื้อร้านของเว่ยเจียงตู เขาจะหักขาของอีกฝ่ายและอย่าได้คิดเกี่ยวกับการเข้าเมืองเมจิกอีกในอนาคต

ด้วยวิธีนี้ ร้านของเว่ยเจียงตูจึงถูกทําลายด้วยมือของเขาเอง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เว่ยเจียงตูก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ

“ พ่อหนุ่ม ฉันรู้ว่าเธอรวยแต่เธอไม่สามารถทําให้คนที่ฉันทําให้ขุ่นเคือง ไม่พอใจไปด้วยได้หรอกนะ”

“คุณหมายถึงโจวฟู่เหิงเหรอ ไม่ต้องกังวลตราบใดที่คุณมอบร้านมาให้ผม โจวฟู่เหิงก็จะทําอะไรไม่ได้”

เว่ยเจียงตูก็ตกตะลึงกับความมั่นใจในตนเองของซูฟ่าน

ไอ้เด็กตรงหน้านี้เป็นใครกัน?

เขายังกล้าพูดอย่างเย่อหยิ่งอีกช่างโง่เขลาจริง ๆ

แม้ว่าเสื้อผ้าของซูฟ่านจะดูมีค่ามาก แต่นามสกุล ซู ไม่ได้มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง

คนร่ำรวยประเภทนี้ยังไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะต่อสู้กับตระกูลโจวที่มีอํานาจล้นหลาม

“อย่าพูดอย่างนั้น เดี๋ยวเคราะห์ร้ายจะมาจากปากเธอ เธอควรกลับไปได้แล้ว”

เว่ยเจียงตูกลัวว่าโจวฟู่เหิงจะได้ยินคําพูดของซูฟ่านแล้วอีกฝ่ายจะเล่นงานซูฟ่านไปด้วย

“หัวหน้าเว่ย คุณควรคิดเกี่ยวกับมันนะ ถ้าคุณยินดีที่จะขายต่อร้านให้กับผม ผมสามารถจัดการได้ทันที่และเคลียร์หนี้ให้คุณได้ด้วย”

“ถ้าเป็นกรณีนี้ คุณก็ไม่จําเป็นต้องหนีไปต่างประเทศคืนนี้กับครอบครัวตัวยนะ

หลังจากที่ท่านพูดจบ เว่ยเจียงตูก็มีเหงื่อเย็นไหลพราก!