บทที่ 4 ห้ามขยับนะ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 4 ห้ามขยับนะ

คนที่ยื่นมือออกมาปัดของขวัญคือเจียงมู่หลง ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ทันที “ลูกเขยไร้ประโยชน์อย่างแกกล้าเตรียมของขวัญมาให้คุณปู่ด้วยงั้นเหรอ? ไม่เข้าใจกฎระเบียบเลยหรือไง? คนตระกูลเจียงจะรับของขวัญจากคนในตระกูลเท่านั้น” เจียงมู่หลง ยิ้มอย่างเย็นชา “แล้วของขวัญนี่ราคาเกินหมื่นหรือเปล่า?”

“ไม่ถึง ผมสั่งทำขัดเข็มทองเป็นพิเศษราคาประมาณ 93,000…” มู่เซิ่งกล่าวตามความจริง

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

ก่อนที่มู่เซิ่งจะพูดจบ เจียงมู่หลงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “93,000?กล้าส่งของขวัญกระจอกๆ แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย อ้อ จริงสิ ฉันไม่ควรหัวเราะเยอะแก เพราะขนาดตัวแกยังไม่มีเงินเดือนเป็นของตัวเองเลย เงินค่าของขวัญนี่คงจะเป็นเงินของตระกูลจ้าวสินะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ เขาไม่มีงานทำ ถ้าเราไม่เลี้ยงดูเขา แล้วเขาจะเอาเงินมาจากไหน?” จ้าวหลินกล่าวอย่างแปลกใจ

ทันใดนั้น สายตารอบๆ ก็มองมู่เซิ่งด้วยความรังเกียจ พวกเขาได้ยินว่าเจียงเจิ้งจื๋อมีบุตรเขย แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้

กินๆ นอนๆ อยู่ในตระกูลเจียงแบบนี้ เห็นทีว่าเลี้ยงสุนัขคงจะดีกว่าใช่ไหม?มู่เซิ่งมองไปที่ของขวัญที่กลิ้งอยู่บนพื้น หยิบมันขึ้นมาเงียบๆ และเตือนตัวเองว่ากำหนด 3 ปีกำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาจะดีกว่า

“เจียงมู่หลง พี่หมายความว่ายังไง นี่เป็นของขวัญที่มู่เซิ่งเตรียมมาอย่างดีนะ”

เจียงหว่านได้ยินแล้วรู้สึกขัดหู เธอลุกขึ้นยืนและพูดทันที

“ของขวัญกระจอกนั่นน่ะเหรอ!ฉันจะบอกเธอเอาบุญนะ ของขวัญที่ฉันเตรียมมาคือการวินิจฉัยส่วนบุคคลของหลิวเจี้ยนหัวแพทย์ที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง แค่ปรึกษาอย่างเดียวก็มีค่าใช้จ่ายมากกว่า 2 ล้าน ถึงอย่างนั้นก็มีคนเชิญเขามานับไม่ถ้วน และถ้าไม่สำคัญจริง เขาคงจะไม่มา”

ทันทีที่พูดจบ เจียงมู่หลงก็พูดกับมู่เซิ่งด้วยความดูถูก “แค่เศษเงินของแก ยังไม่พอให้เดินทางจากเยี่ยนจิงมาเจียงหนานเลย”

“อะไรนะ? หมอชื่อดังหลิวเจี้ยนหัว?”

มีคนตะโกนเหมือนตกใจ

“หนึ่งในสี่แพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศตงหัว พระเจ้า! เจียงมู่หลงเชิญเขาได้เหรอเนี่ย!”

“ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่ามากจริงๆ…”

“เปรียบไม่ได้กับของขวัญไร้ประโยชน์บนโต๊ะนั่นเลย เจียงมู่หลงปัดมันตกพื้นก็สมควรแล้ว”

ในเวลานั้น

ผู้คนโดยรอบรวมตัวกันพากับปรบมือและส่งเสียงโห่ร้อง

ของขวัญจากเจียงมู่หลงนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว

ใบหน้าของเจียงหว่านมืดมนอยู่พักหนึ่ง เธอกัดฟันพลางชี้ไปที่เจียงมู่หลงและกล่าวว่า “เจียงมู่หลง ฉันรู้ว่าพี่มีเงิน จะโอ้อวดอะไรกันนักหนา!”

“ไม่ได้โอ้อวดสักหน่อย แต่เป็นความกตัญญูที่ฉันที่ต่อคุณปู่ต่างหาก” เจียงมู่หลงกล่าวอย่างภูมิใจ

ในเวลานี้ มู่เซิ่งยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีครุ่นคิด ราวกับว่าเขาติดอยู่ในความทรงจำเก่าๆ

เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังอยู่ในตระกูลมู่ เขาเคยได้พบกับหลิวเจี้ยนหัว

ในเวลานั้นหลิวเจี้ยนหัวเป็นเพียงผู้ช่วยตัวเล็กๆ ในทีมแพทย์จำนวนมากของตระกูลมู่

มู่เซิ่งยังจำได้อย่างคลุมเครือว่าเขาเคยอธิบายหนังสือทางการแพทย์ให้หลิวเจี้ยนหัวฟัง

ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าตอนนี้เขากลับได้เป็นถึงหนึ่งในสี่แพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศตงหัว “หลบไป อย่ามาขวางทาง!” เจียงมู่หลงหันไปพูดกับมู่เซิ่งอย่างโกรธจัด

มู่เซิ่งถือของขวัญและเดินไปที่มุมห้องโดยไม่พูดอะไร ฉากนี้ทำให้เจียงหว่านโกรธจัด อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ตอนเก็บไว้ในใจ ดวงตาของเธอฉายแววผิดหวังอย่างชัดเจน ใช่สิ… คนไร้ประโยชน์อย่างคุณจะกล้าต่อต้านได้ยังไง ถ้าเขาแคร์คงไม่ยอมโดนดูถูกมานานขนาดนี้หรอก

เรื่องที่เกิดขึ้นใน Royal Club คงเป็นแค่ลูกเล่นของคุณสินะ

เมื่อทุกคนมาถึง คนในตระกูลเจียงก็เริ่มมอบของขวัญให้กับชายชรา ของขวัญล้ำค่าทุกชนิดถูกวางไว้ทั่วทุกแห่ง มีเพียงห่อสีทองและสีน้ำเงินเท่านั้น

เจียงมู่หลงมองไปยังของขวัญยาวสีดำที่มู่เซิ่งถืออยู่ในมือ ขณะที่กำลังจะเยาะเย้ยอะไรบางอย่าง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออกทันที และชายชุดขาวเดินเข้ามา

“ขอโทษครับที่มาช้าไปหน่อย”

ชายในเสื้อคลุมสีขาวเดินเข้าไปในวอร์ดและกล่าวอย่างขอโทษ

สายตาของตระกูลเจียงจับจ้องไปที่ชายในเสื้อคลุมสีขาว “คุณเป็นใคร?”

“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำตัว” ชายในเสื้อคลุมสีขาวยิ้ม “ผมชื่อหลี่น่อง เป็นลูกศิษย์ของคุณหมอหลิวเจี้ยนหัว อาจารย์มีธุระต้องทำ เขาจึงมาไม่ได้น่ะครับ”

“อาจารย์ของผมบอกว่าถ้าท่านสามออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เขาจะมาหาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”

“หมอหลี่นี่เอง รีบๆ เร็วเข้า” เจียงมู่หลงกล่าวด้วยแววตาแปลกใจ “คุณปู่ของผมป่วยหนัก ก่อนที่เขาจะออกจากโรงพยาบาล ผมอยากให้คุณตรวจอาการให้คุณปู่ของผมสักหน่อยน่ะ”

“แต่หมอหลี่เป็นถึงคุณหมอหลิวเจี้ยนหัว คงต้องมีฝีมือเหมือนกันสินะ”

“แน่นอนครับ!”

ชายในเสื้อคลุมสีขาวยิ้มและนั่งลงข้างเตียง

คนรอบข้างไม่ได้หยุดเขา

พวกเขาได้ยินมาว่าหลี่น่องนั้นเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของหลิวเจี้ยนหัว และเขายังได้รับตำแหน่งหนึ่งในสิบแพทย์ชั้นนำในเยี่ยนจิงอีกด้วย

แม้ว่าเขาจะเทียบไม่ได้กับคุณหมอหลิว

แต่เขาเป็นคนบอกว่าเองคุณหมอหลิวติดธุระจึงมาช้า

หลี่น่องวางมือบนข้อมือชายชรา กดค้างไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นกล่าวว่า “ท่านสามเป็นโรคมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นครับ หลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาล เขารักษาหายเกินครึ่งและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการแพทย์แผนตะวันตกยังคงอยู่ในระดับปานกลาง ท่านสามมีอาการปอดบวม เขาจำเป็นต้องได้รับการฝังเข็มเพื่อกำจัดให้หมดครับ”

“เข้าใจแล้ว”

“ช่างสมกับเป็นแพทย์อัจฉริยะจริงๆ เขาสามารถมองเห็นสาเหตุของโรคได้ในพริบตาเลย”

“ถึงว่าช่วงนี้ท่านสามไออยู่ตลอด ที่แท้ปอดก็ได้รับผลกระทบจากการรักษาของโรงพยาบาลนี่เอง แย่มาก…”

“ช่วยไม่ได้ ที่นี่คือโรงพยาบาล คงหาหมอที่มีชื่อเสียงมาตรวจแบบนี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากมู่หลงที่เชิญคุณหมอหลี่มา”

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลี่น่อง

คนในตระกูลเจียงที่รายล้อมต่างพยักหน้าซ้ำๆอย่างเห็นด้วย ในขณะเดียวกันก็มองเจียงมู่หลง เจียงมู่หลงเป็นที่โปรดปรานของคุณปู่ของเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก หลังจากเชิญหมอชื่อดังมารักษาอาการคุณปู่ เกรงว่าสถานะของเจียงมู่หลงในอนาคตจะต้องมั่นคงมากเรื่อยๆ เป็นแน่

ขณะที่หลี่น่องหยิบเข็ม เสียงแปลกหน้าก็ดังขึ้นเบา ๆ “ฝังเข็มในปอดไม่ได้เด็ดขาด คุณปู่ ไม่ได้เป็นโรคมะเร็งปอดทั่วไป”

“อะไรนะ?”

หลี่น่องตกตะลึง จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้เก่งเท่าหลิวเจี้ยนหัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ฝึกวิชาการแพทย์มากกว่า20 ปีแล้ว ใครจกันที่กล้าขัดเขาเวลานี้? หลี่น่องรีบหันมองจึงเห็นมู่เซิ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง

“คุณเป็นใคร?” หลี่น่องขมวดคิ้ว

“หมอลี่กำลังรักษาโรคอยู่ แกพล่ามอะไรของแก?” เจียงมู่หลงโกรธทันที “แกรู้จักเรื่องยาหรือไง มัวชี้นู่นชี้นี่อยู่ด้านข้างเสียเวลารักษาคุณปู่ แกจะชดใช้ยังไง?”

“ถ้าแกเก่งมากขนาดนั้น ทำไมถึงยังเกาะตระกูลเรากินอยู่ล่ะ?” จ้าวหลินเหลือบมองมู่เซิ่งและพูดอย่างดูถูก

“ทุกคน อย่าเพิ่งใจร้อนกันเลยค่ะ…” เจียงหว่านยืนขึ้น เธอไม่คิดว่ามู่เซิ่งจะรักษาโรคนี้ได้ แต่ในใจเธอก็เชื่อที่เขาจริง ๆ

เธอหันกลับมาถามมู่เซิ่ง “มู่เซิ่ง คุณมีใบรับรองแพทย์หรือเปล่า? ฉันไว้ใจคุณก็ได้ แต่คุณห้ามล้อเล่นกับอาการป่วยของคุณปู่เด็ดขาด”

มู่เซิ่งส่ายหัว “ไม่มี”

เขาเติบโตขึ้นมาในตระกูลมู่ โดยอ่านหนังสือทางการแพทย์มานับไม่ถ้วน ทำไมต้องใช้ใบรับรองอะไรนั่นด้วย?

ทันทีที่พูดจบ เจียงมู่หลงกับหลี่น่องต่างพากันหัวเราะเสียงดัง

“บัดซบ ไอ้คนกระจอก แกกล้ามาชี้นิ้วสั่งคนอื่นแบบนี้หรือไง ไสหัวออกไปให้พ้นเลยนะ!” เจียงมู่หลงตะโกนอย่างโกรธจัด

“กรุณาออกไปเถอะ”

“ถูกต้อง รีบออกไปเถอะ อย่าบีบให้เราต้องทำอะไรนายเลย”

คนในตระกูลเจียงสองคนพูดด้วยแววตาโกรธเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ยังอยู่ที่นี่ พวกเขาคงลงมือไปแล้ว

“โอเค งั้นผมขอตัวนะครับ”

มู่เซิ่งถอนหายใจและเดินออกไป

ถ้าเขาบังครับให้หลี่น่องเลิกใช้เข็ม ทุกคนคงขวางเขาไว้แน่นอน ในสายตาของทุกคน เขาเป็นแค่ลูกเขยที่เกาะพวกเขากิน

เจียงมู่หลงมองไปที่มู่เซิ่งด้วยสายตาเยาะเย้ย! “ไอ้คนไร้ประโยชน์ อย่าไปพูดที่ไหนนะว่าแกมาจากตระกูลเจียง”

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากฝูงชน

เจียงหว่านส่ายหัวด้วยความผิดหวัง เธอรู้สึกละอายใจที่มู่เซิ่งไม่มีความสามารถแต่ยังคงพยายามกล้าหาญต่อหน้าเธอ แต่มันกลับทำให้เธออับอายมากกว่าเดิม

“ฮัวโหล นั่นเจี้ยนหัวใช่ไหม?”

เมื่อเดินออกจากวอร์ด มู่เซิ่งก็กดโทรออกโดยตรง

“คุณ… คุณคือคุณชายมู่เหรอครับ?”

เสียงที่ปลายสายของโทรศัพท์หยุดลง เขาไม่อยากจะเชื่อเลย… เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตของเขาจะได้ยินเสียงของมู่เซิ่ง

เมื่อ 7 ปีก่อน เขาอยู่ในตระกูลมู่ภายใต้การแนะนำของมู่เซิ่ง และในที่สุดก็กลายเป็นหนึ่งในสี่แพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด! เขาไม่มีทางที่จะลืมน้ำใจนี้เด็ดขาด!

หลังจากกลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียง เขายังสอบถามเกี่ยวกับข่าวของมู่เซิ่งอยู่ตลอด แต่หลังจากที่รู้ว่ามู่เซิ่งถูกขับไล่ออกจากครอบครัวโดยตระกูลมู่ และไม่ทราบที่อยู่ของเขา

ตอนนี้หลังจากที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เจี้ยนหัวก็จำได้ทันที

มู่เซิ่งหันมองไปรอบๆ และกล่าวต่อ “ตอนนี้คุณอยู่ที่เจียงหนานแล้วใช่ไหม? คุณกำลังติดธุระทำให้ไปไหนไม่ได้ และขอให้ลูกศิษย์ไปพบท่านสามผู้ป่วยจากตระกูลเจียงใช่ไหม?”

“คุณชายมู่ คุณรู้ได้ยังไงครับ?” ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ตะลึงงัน

“ฉันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?” มู่เซิ่งยิ้มเบาๆ น้ำเสียงของเขาสูงขึ้น และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายในทันที “เพราะว่าลูกศิษย์คนดีของคุณกำลังจะทำให้คนตายน่ะสิ!”